สารอโศก ฉบับที่ 294
บันทึกจาก....ปัจฉาสมณะ

ตอน.... กู้ชาติ กู้ศาสนา ในบทเรียนประชาธิปไตย ที่งดงาม
ถ้าแม้จะแพ้พ่าย ก็ภาคภูมิ ที่ได้เสียสละ (๒)

*** มีนาคม ๒๕๔๙

บันทึกฉบับนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะรวมเหตุการณ์ ของเดือนมีนาคม และเมษายน ในฉบับเดียว แต่พอเขียนเข้าจริงๆ ไม่ไหว ด้วยเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญ ของประวัติศาสตร์ จึงลงรายละเอียดเยอะ แค่ ๑๕ วันนี่ก็ยาวมากแล้ว ต้องขออภัย หากยาวไป และการนำเสนอ มีลักษณะ คล้ายจดหมายเหตุ หรือบันทึกเหตุการณ์ ประจำวัน ด้วยมีเกร็ดของ เหตุการณ์ ที่สำคัญ เป็นแง่มุมที่นักประวัติศาสตร์ สนใจต้องการ เข้าใจว่าผู้อ่าน ก็คงเข้าใจ ในรูปแบบ ที่ต่างไป จากที่ผ่านๆมา

# # # ๑ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก ขณะที่พ่อท่านบริหารกาย อยู่ชั้นบนพระวิหาร ข้าพเจ้าทำงานในห้อง แล้วเปิดวิทยุ ฟังข่าว คลื่น FM ๙๔.๒๕ ได้ใช้ถ้อยคำ ส่อเสียด ชาวอโศก แต่ไม่ได้กล่าวชื่อตรงๆ "....ถ้าพระสมถะจริง ทำไมขอทีตั้ง ๒๖,๐๐๐ ล้าน.... ผมอยากจะถามว่า กรมการศาสนาไปไหน ทำไมไม่ดูแล พวกที่มันนอกรีต ผมได้ยิน ประชาชน เขาบ่นมานะว่า สำนักสงฆ์บางสำนัก อนุญาตให้พระไว้คิ้วได้ พอประชาชน ไปถาม ก็ชี้หน้าด่า ประชาชนว่า ไอ้พวกนี้ มาจากนรก นรกจะกินหัว ผมก็เลย ตั้งคำถามว่า การบวชเป็นพระ เพื่อตัดกิเลส ก็คือให้ปลงผมซะ....."

๘.๕๕ น. คลื่น FM ๙๖.๕ เป็นรายงานข่าวว่า "....มหาเถรสมาคม จะพิจารณา กรณีที่สันติอโศก ไปร่วมชุมนุม อย่าได้เอา มิติของศาสนา เข้าไปเกี่ยวข้อง มันไม่เหมาะสม ถ้าจะไปร่วม ก็ไปในฐานะคนไทย และมหาเถรสมาคม จะหารือ เร็วๆนี้ ถึงเรื่อง การแต่งกาย คล้ายพระ ดังที่เห็นในจอโทรทัศน์ เข้าใจว่า เป็นนักบวช ในพระพุทธศาสนา ทำให้เข้าใจได้ว่า ประเทศไทย สนับสนุนให้พระ ออกมาเล่น การเมืองได้ พระพุทธศาสนา เสียหาย คุณปรีชา กันธิยะ อธิบดี กรมการศาสนา บอกไว้...."

๑๑.๓๘ น. ขณะฉันอาหาร ได้รับการติดต่อจาก ASTV ขอสัมภาษณ์พ่อท่าน ผู้ดำเนินรายการ ได้ถามถึงท่าที ของสันติอโศก ในการชุมนุม ครั้งต่อไป มีข่าวว่า ทางสันติอโศก รู้กันกับท่านนายกฯ หรือเปล่า จึงเคลื่อนตัว

ออกจากสนามหลวงก่อน ๕ มีนาคมนี้ ทำให้ท่านนายกฯ ประกาศจะใช้เวที สนามหลวง ๓ มีนาคม เพื่อบอกถึง สิ่งที่ถูก กล่าวหามานาน ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ในประเด็นนี้ มาสู่ข่าวที่ มหาเถรสมาคม จะให้ตรวจสอบ

นักข่าว : ทางเถรสมาคมไม่สบายใจ ที่ทางสันติอโศก มาร่วมกับ กลุ่มพันธมิตรฯ ในนามของ กองทัพธรรมน่ะค่ะ

พ่อท่าน : ก็ธรรมะเป็นของทุกคน มีสิทธิในโลกนี่ ไม่ใช่แต่ของพุทธ เถรสมาคม เท่านั้น ไม่ใช่ของ พุทธศาสนาอย่างเดียว ศาสนาอื่น เขาก็ธรรมะเหมือนกัน จะถือว่าธรรมะ เป็นของท่าน อย่างเดียวได้อย่างไง

นักข่าว : แต่ถ้าทางเถรสมาคม เขาจะออกมาประท้วง สันติอโศกว่า ไม่เหมาะสม ที่จะเอาชื่อ กองทัพธรรม ท่านจะว่า อย่างไรครับ ถ้าหาก มส. จะมาเอาเรื่องครับ

พ่อท่าน : อ๋อ ถ้ามาเอาเรื่องอาตมา มส. ก็อาบัติสิ เพราะว่า เราเป็นนานาสังวาส กันแล้ว ให้ท่านไปตรวจ ธรรมวินัยสิ คือทางธรรมวินัยนี่ เราเป็น นานาสังวาส กันแล้ว ทุกอย่าง ชัดเจน ทั้งทางโลก และทางธรรม เท่าที่เป็นอยู่แล้ว ท่านฟ้องศาล เรา ท่านแยกเรา ออกมา แต่ทางธรรม เรายืนยันว่า แยกเราไม่ได้ เราบอกว่า เป็นนานาสังวาสกัน ท่านก็ไม่ฟัง จริงๆมันเป็น นานาสังวาส คือมันต่างความคิด กันแล้วจริงๆ และเราก็ได้ประกาศ นานาสังวาส มาแล้วจริง ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ทำตาม ธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้าเป๊ะ ที่เถรสมาคม มาอธิกรณ์เรา มาตู่ท้วงเรา ท่านอาบัติ ไปปลงอาบัติซะ ท่านจะมาฟ้อง มาตั้งข้อหา มาชำระคดีเราไม่ได้ ท่านทำไม่ได้ ตามธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่ จะมาตู่ท้วงเรา อย่างแรงๆ จนมากล่าว มาด่าอะไร ก็ทำไม่ได้ มีความผิด เป็นปฏิกโกสนา (การกล่าวคัดค้านจังๆ) ในธรรมวินัย มีละเอียดลออ ถูกต้อง หมดเลย แต่ทีนี้ ท่านไม่ทำตาม หลักเกณฑ์ ไม่ทำตามธรรมวินัย ท่านเอาอำนาจ อย่างเดียว และถือว่า ตนใหญ่ เล่นงานเรา เท่านั้นเอง

นักข่าว : ถ้าสมมุติว่าทางเถรสมาคม จะมาที่สนามหลวงบ้าง แล้วก็ออกมาบ้าง

พ่อท่าน : มีสิทธิๆ จะมาสนามหลวงบ้าง ก็ทำได้ ทางเราไม่มีปัญหานี่ แต่จะมา ทำอะไรล่ะ จะมาช่วยรัฐบาล ในวันที่ ๓ มี.ค. เหรอ ก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ผิดนี่ คือต้องเข้าใจว่า ต้องเลือกข้าง เลือกฝ่ายแล้ว เมื่อเกิดการแยก เป็นสองขั้ว ก็ต้องเลือกฝ่าย ฝ่ายใด ก็คือฝ่ายนั้น ส่วนประชาชน ก็ต้องไปเลือกว่า จะเห็นด้วยฝ่ายใด จะเห็นด้วย ทางด้านไหน อันใด เป็นธรรมวาที ก็เข้าข้างนั้น ก็เลือกฝ่ายนั้น นี่คือ ความเป็นกลาง เป็นสิทธิมนุษยชน ในโลก ซึ่งพระพุทธเจ้า เป็นยอดแห่ง สิทธิมนุษยชน เลย พระองค์ บัญญัติหลัก นานาสังวาส ไว้ให้แก่โลกมา ๒ พันกว่าปีแล้ว

นักข่าว : ในมุมมองของท่านสมณะโพธิรักษ์นี่ เป็นไปได้ไหมครับ ที่ทั้งสองขั้วนี่ จะประสานกันได้

พ่อท่าน : ประสานกัน ก็คือมีจุดยุติ เมื่อความเห็นของ สองฝ่าย มันต่างกัน อย่างชัดเจนแล้ว ก็ต้องมีจุดยุติ เพราะฉะนั้น จุดยุติก็ต้องรู้ว่า ตนเองอย่าไปละเมิด อย่าไปตู่ท้วง อย่าไปฟ้องร้อง ฝ่ายอื่นเขา ศัพท์ของธรรมะ เรียกว่า อย่าอธิกรณ์ สอง คัดค้าน ก็อย่าทำให้เกิด ความรุนแรง จนเกิดโกรธเป็นคดี นั่นเรียกว่า ปฏิกโกสนา จะคัดค้านกันได้ ในภาษาธรรมะ เขาเรียกว่าแค่ ทิฏฐาวิกัมม์ คือทักท้วงกัน คัดค้านกัน จะว่ากันว่า คุณผิดอย่างโน้น อย่างนี้ ก็ต้องมีศิลปะ ในการว่า อย่าให้ มันเกิดเลยเถิด ยั่วยุกันให้เกิด ความโกรธแค้น หรือทะเลาะวิวาทกัน จนเป็นคดี อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ท่านบัญญัติไว้หมด อย่างน้อยๆนี่ มาตั้งข้อหาอะไรนี่ ไม่ได้เลย ผิดธรรมวินัย มีโทษ ต้องปลงอาบัติแล้ว

๑๓.๒๑ น. ได้รับโทรศัพท์จากคุณขวัญดิน แจ้งว่า พล.ท.ปรีชา ติดต่อมา ท่านอยาก จะมาพบ พล.ต.จำลอง แต่ท่าน จำลองบอกว่า ท่านตัดสินใจ อะไรเองไม่ได้ เพราะมีกรรมการ ๕ คน ก็เลยไม่ต้องการ ที่จะพบ พล.ท.ปรีชา ตอนนี้ มาอยู่ที่ใต้โบสถ์ สันติอโศกแล้ว ต้องการจะพบ กับพ่อท่าน

ขณะเดียวกันนั้น ที่ใต้โบสถ์มีชาวบ้าน อีกกลุ่มหนึ่ง มาสนทนากับ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ต่อมาภายหลัง ทราบว่า เป็นกลุ่มเกษตรกร ที่ต้องการให้รัฐ พักหนี้ แล้วมาขอต่อรอง กับทางเรา ขอเงินส่วนหนึ่งแล้ว เขาจะนำกำลังคน ของเขา มาร่วมชุมนุมด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธว่ าพวกเราก็เป็นคนจน และไม่เคยใช้เงิน จ้างใคร มาร่วมชุมนุม

๑๓.๓๙ น. พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์ รองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และ รศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ของนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ได้ขอพบ และสนทนาด้วย พล.ท.ปรีชา แนะนำตัวเองว่า เคยไป ปฐมอโศก ไปศีรษะอโศก สมัยทัวร์นกขมิ้น ยังได้ไปค้าง ส่วน ดร.สุชาติ ก็แนะนำ ตนเองว่า เคยมาที่สันติอโศก เช่นกัน

เมื่อได้รับคำถาม ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน พ่อท่านตอบว่า เห็นสังคม แบ่งเป็นสองขั้ว ก็ต้องเลือกข้าง ผู้เป็นกลาง ก็ต้อง เลือกข้าง คนที่เราเห็นว่าถูก แล้วไปช่วยคนถูก โดยที่ไม่มีอคติ

ทั้งสองแทบไม่ได้แสดงภูมิ หรือพูดอะไรออกมา เท่าไรนัก รศ.ดร.สุชาติ ดูจะเป็นคนพูด และถามมากกว่า ประเด็น การสนทนา เป็นเรื่องเหตุผล และการตัดสินใจ ร่วมชุมนุมด้วย พ่อท่านบอกเล่า เรื่องราวทั้งหมด จุดหมายหลัก ก็เพื่อต้องการ เป็นน้ำเย็น หยดเล็กๆ หยดหนึ่ง ท่ามกลางความร้อนแรงนั้น เพื่อไม่ให้เกิด ความรุนแรง ขึ้นมาให้ได้ เท่าที่จะ สามารถ ทำได้ เราไม่ใช่ นักการเมือง เราไม่ได้ไปร่วม ในฐานะนักการเมือง เราคือ นักธรรมะ ทั้งสอง พยักหน้า ตอบรับ อย่างเข้าใจ

ดร.สุชาติ เหมือนจะถามกลับให้คิด เช่นว่า "ข้อมูลส่วนที่กล่าวหา ท่านนายกฯนั้น เป็นสิ่งที่ใ ส่ไข่หรือไม่ จริงหรือ เชื่อได้ แค่ไหน....." "ท่านนายกฯ ไม่ได้ทำอะไรผิด กฎหมายนั้น ไม่ได้ผิดแน่ แต่เรื่องของจริยธรรม ก็คงจะผิดบ้าง เพราะท่าน ยังเป็น ปุถุชนอยู่ ไม่ได้บวช....." "ท่านนายกฯ ไม่ได้ทุจริตคอรัปชั่น แน่นอน แต่ญาติพี่น้อง ไม่รับประกัน ก็คงจะมีบ้าง....." อีกคำพูดหนึ่ง ที่บอกถึง ท่าทีของ ทั้งสองท่าน ก็คือ ดร.สุชาติกล่าว เหมือนเอาตัวเอง รับประกัน แทนท่าน นายกฯว่า "ผมจะไม่ทำงาน ให้กับคนไม่ดีแน่"

เมื่อพ่อท่านบอกเล่าถึงทางออก ที่ได้ฝากให้ คนใกล้ชิด เอาไปบอก ท่านนายกฯ ทั้งสองท่าน มีท่าที ตั้งใจจด ตามข้อเสนอ ที่ให้ท่านนายกฯ ทูลเกล้าลาออก และนายกฯ กราบบังคมทูล ขอให้ตั้ง ผู้เข้ามาทำการ แก้ปัญหาชั่วคราว แต่ดูเหมือน ทั้งสองท่าน ยังเห็นว่า ท่านนายกฯ อยากจะทำงาน การเมืองต่อ จึงเป็นเรื่องยาก ที่ท่านนายกฯ จะออกจากตำแหน่ง "ท่านกลัวว่า รัฐบาลใหม่ ที่จะเข้ามา จะเข้าไปหาเรื่อง จนท่านอยู่ไม่ได้" ดร.สุชาติเผย

[ข้าพเจ้าคิด... เป็นเรื่องน่าเห็นใจท่านเหมือนกัน ถ้ายอมออก ก็กลัวจะอยู่ไม่ได้ แต่การจะให้ท่าน เดินหน้าต่อ ก็เป็นเรื่อง ลำบากยิ่งกว่า เพราะประชาชน ไม่ไว้วางใจแล้ว ขืนกลับ เข้ามาได้อีก ก็ทำงาน ลำบาก ยิ่งถ้าจะแข็งขืน ดึงดันเดินหน้าต่อ การเผชิญหน้า ของสองฝ่าย ทั้งกลุ่ม ผู้สนับสนุน และกลุ่ม ผู้คัดค้าน โอกาส ที่จะเกิดความรุนแรง ย่อมเป็นไปได้สูง ถ้าท่านคิด อย่างผู้ยอมเสียสละ ก็น่าจะเลือก การลาออก แต่ถ้าท่านคิด อย่างเห็นแก่ตัว ก็คงจะเลือก การเดินหน้าต่อ แล้วค่อย ไปแก้ปัญหาใหม่ ไปเรื่อยๆ ท่านและ ครอบครัว อาจจะอยู่ได้รอด ปลอดภัย แต่ประชาชน อาจจะตีกันตาย กลายเป็น สงคราม กลางเมืองหรือเปล่า]

เมื่อถูกรบเร้าถามว่า มีทางออกอื่นอีกไหม นอกไปจาก ให้ท่านนายกฯ ลาออก พ่อท่าน ยังคงเห็นว่า ไม่มีทางอื่นแล้ว

ข้าพเจ้า แว่บคิดขึ้นมาได้ว่า เพื่อให้ดูว่า ทางเราไม่ได้ปักใจเชื่อว่า ท่านนายกฯ ทำผิดแล้ว จึงเสนอว่า ในเมื่อท่านนายกฯ เชื่อว่า ตัวท่านไม่ได้ทุจริต ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็น่าจะอาศัย วันที่ ๓ มีนาคมนี้ เป็นเวทีไต่สวนสาธารณะ เปิดโอกาส ให้ผู้ที่กล่าวหา ว่าท่านนายกฯ ทำผิดอะไรบ้าง ได้ขึ้นไปร่วมซักถาม ไม่ว่าจะเป็นคุณสนธิ หรือใครอื่นๆ [ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านคงไม่กล้า เปิดโอกาส เช่นนั้นหรอก เพราะถ้าบริสุทธิ์ ขาวสะอาดจริง ก็คงตอบ ข้อกล่าวหาต่างๆ ไปนานแล้ว]

ถ้าท่านนายกฯ สามารถตอบข้อสงสัย ได้หมด คนฟังก็พอใจแล้วว่า ท่านไม่ได้ทุจริต เหตุการณ์ การชุมนุม วันที่ ๕ มีนาคม ก็จะไม่เกิด อาตมาคนหนึ่ง ก็จะไม่ออกไป ร่วมชุมนุมหรอก ความสงบก็จะมี ถ้ากลุ่มผู้ชุมนุม ยังจะตีรวน คราวต่อไป ก็ไม่มีใคร เชื่อถืออีกแล้ว เพราะได้ตอบไปแล้ว ยังจะมาหาเรื่อง อะไรอีก

ท่าทีของทั้งสองท่าน ขานรับข้อเสนอนี้ แล้วกล่าวชม ว่าเป็นข้อเสนอที่ดี ข้าพเจ้า ออกจะเป็นงง เป็นไปได้อย่างไร ที่ทั้งสอง ไม่คิดมาก่อนเลย กับเหตุผล ธรรมดา สามัญ เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อมั่นใจว่า ตนขาวสะอาด บริสุทธิ์จริง ก็จะกระตือ รือร้น รีบๆ เปิดโอกาส ให้ซักฟอกเร็วๆ ตนจะได้ พ้นมลทิน ประชาชน จะได้รู้ความจริงๆ ได้ถ้วนทั่ว แทนที่จะใช้ วิธีการเลี่ยง เอาเรื่องอื่น มาพูดแก้ กลบไปกลบมา อยู่อย่างนั้น ดังที่ท่าน ผู้มีอำนาจ ได้กระทำมา หรือว่า การมาของ ทั้งสองท่านนี้ เป็นเพียงวิธีการ เป็นมารยาท ของการเจรจา มาเพื่อสืบหาข้อมูล ให้มากที่สุด ส่วนคำแนะนำ ข้อเสนอ อะไร ก็ฟังไป อย่างนั้นเอง เป็นวิธีการหนึ่ง ของการทำหน้าที่ ของผู้ที่ยัง เกาะติด กับอำนาจ มากกว่า อิงอยู่กับ ความชอบธรรม ของสังคม

๑๕.๒๐ น. ได้รับโทรศัพท์จาก ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร ภาครัฐ แจ้งว่ามีประชาชน จากหนองคาย สงสัยว่า สมณะของ สันติอโศก มีหนังสือสุทธิ อย่างไรหรือเปล่า ได้แจ้งเบอร์ ของทางสันติอโศก ให้เขาไปแล้ว แต่เขาบอกอยากให้ สอบถาม แทน แล้วจะได้ โทรแจ้งกลับไป ให้ประชาชนได้ทราบ

ข้าพเจ้าตอบแทนพ่อท่านว่ามี ซึ่งในหนังสือสุทธิ ก็มีรูปถ่าย มีประวัติ ของผู้บวช วันเดือนปีเกิด และมีชื่ออุปัชฌาย์ มีชื่อ กรรมวาจาจารย์ มีพระคู่สวด เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญ ของการเป็นพระ ไม่ได้อยู่ที่ หนังสือสุทธิหรอก ดูที่การประพฤติ ปฏิบัติ ดีกว่า เพราะหนังสือสุทธิ ก็เป็นเพียง เอกสาร รับรองการบวช เป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะได้หนังสือ สุทธิ แค่ไปโกนหัวบวช ก็ได้แล้ว แต่การปฏิบัตินี่สิ สำคัญกว่าหนังสือสุทธิ

หลังจากนั้นไม่นาน ๑๕.๓๔ น. ได้รับโทรศัพท์จากสิกขมาตุ มาบรรจบ แจ้งเรื่อง ใบปลิว และเว็บไซด์ ของลูกสาว องคมนตรี คนหนึ่ง กล่าวถึง การพาคนไปตาย ของ พล.ต.จำลอง ในยุค พฤษภาคมทมิฬ

สักพักต่อมา ได้รับโทรศัพท์จาก นักข่าวมติชน คุณตวงศักดิ์ ๑๕.๕๒ น. ถามถึงข่าว ที่ออกมาว่า มหาเถรสมาคม จะประชุม พิจารณา ความผิด ของสันติอโศก

๒๐.๑๐ น. คุณแซมดินโทรศัพท์แจ้งว่า ได้รับการติดต่อจาก พล.ท.ปรีชา ทางคุณหญิง พจมาน ต้องการจะพูด โทรศัพท์ กับ พล.ต.จำลอง แต่ได้รับ การปฏิเสธ เพราะ พล.ต.จำลอง ท่านไม่ต้องการ จะพูดอะไร

๒๐.๓๕ น. คุณขวัญดินโทรมาปรึกษา เรื่องการใช้คำ ที่จะบอกผ่าน พล.ท.ปรีชา ไปถึงท่านนายกฯ โดยผ่านทาง คุณหญิง พจมาน พ่อท่าน รับฟังทั้งหมด โดยไม่ได้แก้ไข หรือเพิ่มเติมอะไร

พ่อท่านพักนอน ในเวลาสามทุ่มกว่า ขณะที่ข้าพเจ้า ยังทำงาน ฟังการรายงานข่าว ของคุณสรยุทธ และคุณกนก มีประเด็น ที่พูดถึง พระมหาเดวิด จะนำพระ และ ญาติโยม ไปร่วมสนับสนุน ท่านนายกฯ ในวันที่ ๓ มีนาคมนี้ และ ถ้าท่านนายกฯ ไม่ขัดข้อง จะขอขึ้นเทศน์ ให้กำลังใจ ญาติโยมด้วย

# # # ๒ มี.ค. ๒๕๔๙ คณะทำงาน มีคุณถึงไท คุณแก่นฟ้า คุณแซมดิน คุณขวัญดิน ได้เข้าเรียน สถานการณ์ ปัจจุบัน แก่พ่อท่าน

การลาออก มันกลายเป็นเรื่องของอัตตาไปแล้ว จึงควรหาทางออก ให้ท่านนายกฯ ไว้ด้วย ทางฝ่ายแกนนำ พันธมิตรฯ ได้คุยกันแล้ว เห็นว่า น่าจะให้ท่านนายกฯ เว้นวรรค ทางการเมือง ในการเลือกตั้ง สมัยนี้ไปก่อน แล้วหันมาตั้ง มูลนิธิ ที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคม เหมือนร็อคกี้เฟลเลอร์ ในอดีตที่เคยได้รับ การเกลียดชัง จากประชาชน อเมริกัน แต่เมื่อได้ ตั้งมูลนิธิ แล้วบริจาคเงิน บำเพ็ญประโยชน์ ซึ่งต่อมา ได้รับการยอมรับ จากประชาชน เป็นอย่างมาก นี่คือ ทางออก ที่ได้แนะนำไป

๘.๒๐ น. ได้รับการติดต่อจากคุณแซมดิน แจ้งว่าคุณหญิงพจมาน เห็นด้วยกับ ข้อเสนอ แต่อยากจะได้ยิน จากปาก ของ พล.ต.จำลอง ถ้าจะติดต่อ ให้คุณหญิง ได้พูดกับ พล.ต.จำลอง พ่อท่านจะเห็นอย่างไร

พ่อท่านไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่อยู่ที่ พล.ต.จำลอง จะยอมคุยด้วย หรือไม่เท่านั้น

ขณะพ่อท่านยังฉันไม่เสร็จ ได้รับโทรศัพท์จากคุณแซมดิน แจ้งว่าได้รับข่าว จากญาติธรรม โคราช เห็นกองทหาร จากค่ายปักธงชัย เคลื่อนขบวน เข้ากรุง มีอาวุธครบมือ มีรถถังด้วย
หลังฉัน ได้รับโทรศัพท์ จากญาติธรรม ที่อยู่ฟินแลนด์ ได้ข่าว รู้สึกเป็นห่วง พ่อท่าน สบายดีไหม

๑๗.๐๒ น. ข่าวต้นชั่วโมง FM ๙๖.๕ เครือข่ายแพทย์อาวุโส ขอให้ท่านนายกฯ เสียสละ เว้นวรรค ทางการเมืองซะ แล้วจะได้รับ การยกย่อง จากประชาชน

๑๙.๔๕ น. มีญาติธรรมชายคนหนึ่ง แจ้งว่ามีเรื่องลับสำคัญ ต้องการพูดกับ พ่อท่าน เท่านั้น เนื่องจาก อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาเป็นคนที่ ไม่ค่อยจะฟังหมู่ สำคัญกับ ความคิด ของตนจัด หลายครั้ง ละเลียดมาก จึงไม่ค่อยได้รับ ความร่วมมือ จากหมู่ ทำให้สิ่งที่เขาอ้าง ไม่น่าเชื่อถือนัก ข้าพเจ้าพยายาม ซักถาม เรื่องที่เขาคิดว่าสำคัญ แล้วพ่อท่าน ยังไม่รู้ เพื่อจะได้ บอกกับเขาว่า สิ่งที่เขาคิดเขารู้ พ่อท่านก็ทราบแล้ว เพราะมีคนอื่น เขาก็คิด เหมือนกัน เขาก็เป็นห่วง เหมือนกัน เพื่อพ่อท่าน จะได้ไม่เสียเวลาฟัง เรื่องซ้ำๆอีก ลองบอก แค่หัวข้อ หรือประเด็นก็พอ แต่เขายืนยันว่า เปิดเผยไม่ได้เลย ขอพูดกับพ่อท่าน เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้า จำต้องยอม ลองให้เขาพบได้ เผื่อว่า เขาอาจจะมีข้อมูล สำคัญมากๆก็ได้ เมื่อปล่อย ให้เขา เข้าไปสนทนาได้สักระยะหนึ่ง พอดีสมณะหนักแน่น เดินเข้าไป หยิบของ แล้วกลับออกมา บ่นเบาๆว่า วนไปวนมา ข้าพเจ้า จึงรีบเข้าไป นั่งฟังสักครู่ เห็นว่า เป็นเรื่องที่พ่อท่าน พูดมามากแล้ว จึงทักท้วงว่า เขาพูดไม่จริง แต่เขายังคงยืนยันว่า เป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อได้ฟังจากเสียง ที่บันทึกไว้ทั้งหมด ไม่มีอะไรใหม่หรือลับ ประเด็นสำคัญก็คือ การหา ทางออก ให้กับท่านนายกฯ แทนที่ จะให้ลาออก อย่างเดียว แต่เขาก็ไม่มี ข้อเสนอ ที่เป็นทางออกอะไร

เฮ้อ ถ้ามีคนที่ดึงดันอย่างนี้สัก ๕-๑๐ คน พ่อท่านและหมู่ จะเหนื่อยขนาดไหน มองในมุมดี เขาก็ยังดี ที่มีใจเมตตา แทนที่จะเกลียดชัง ท่านนายกฯ

# # # ๓ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก เช้านี้พ่อท่านนำทำวัตร เป็นการบอกถึงเหตุผล ที่ทำไม ต้องไปร่วมชุมนุม

ขอนำบางส่วน มาถ่ายทอด สู่กันดังนี้

อาตมาไม่คิดมาก่อนว่า การเข้าร่วมนี้ จะทำให้ชาวอโศก ถึงกับเจ็บปวด เคียดแค้น ชิงชัง ขนาดเลิก นับถืออาตมา แสดงพฤติกรรม ทางกาย วาจา เลือกข้างนายกฯ ชัดเจน ไม่ได้เลือกข้าง สมณะโพธิรักษ์แล้ว อาตมาว่า โอ้....เป็นไปได้ ถึงขั้นนี้น้อ อันนี้เกิดจาก ความยึดถือ

พูดกันโดยรูปธรรมง่ายๆ คนที่ไปเลือกฝ่าย คุณทักษิณนี่ ทั้งๆที่ไม่เคยพบ พูดคุยอะไร กับคุณทักษิณเลย ทักษิณไม่เคย ให้อะไรกับเขา หรือช่วยเหลืออะไร ทางจิตใจเขา เหมือนอย่างที่ อาตมาได้ช่วย จนเปลี่ยนแปลงชีวิต และจิตวิญญาณ ของเขาได้ อย่างน้อย ก็นำพา ให้ได้กุศลโลกีย์บ้าง โดยเฉพาะ ได้โลกุตระบ้าง ก็ไม่รู้ว่า เขาไปนับถืออะไร จะว่าความดี เออ.... อาตมาคงมีความดี ไม่เท่า คุณทักษิณเนาะ ถ้าจะว่า คุณทักษิณ ช่วยสังคม ประเทศชาติ ให้มีเศรษฐกิจ ดีขึ้น เรื่องเศรษฐกิจ ที่คุณทักษิณ ทำนี้ ก็ยังไม่ชัดเจนหรอก ว่าจะช่วยสังคมได้จริง หรือ ทำลาย สังคมแน่ ก็คอยดูต่อไป ก็แล้วกัน สำหรับอาตมานั้น มั่นใจด้วยตัว อาตมาเอง ว่าคุณทักษิณ อาศัย เศรษฐกิจหากิน อย่างน่าเกลียด ถึงขั้นว่า น่าเกลียด อย่างมากๆ ทีเดียว ก็เห็นๆอยู่ว่า มีคอรัปชั่น กันหนักหนา มีเล่ห์เหลี่ยม โกงกิน ทับซ้อน ใช้อำนาจหน้าที่ โลภจัด อย่างชัดแจ้ง ซึ่งเป็นความไม่ดี ไม่ควรไว้ใจ ให้ทำหน้าที่ นายกฯ ทั้งนั้น แต่เอาเถอะ ถึงจะช่วยได้จริง ก็เป็นการช่วยแค่ ทางเศรษฐกิจทุนนิยม แค่ระดับโลกีย์ อันไม่แน่นอน และไม่ยั่งยืน ซึ่งอาตมา ก็สอนก็พูด ยังกะอะไรดี อาตมาพาทำ เศรษฐกิจบุญนิยม ระดับโลกุตระ ซึ่งก็เข้าใจนะว่า ดีเยี่ยมเหนือกว่า เศรษฐกิจทุนนิยมโลกีย์ แต่ถึงกระนั้น เมื่อเกิด เหตุการณ์นี้ขึ้น เขาเลือกเอา ข้างคุณ ทักษิณแฮะ ! ถึงขั้นไม่เคารพ นับถืออาตมาแล้ว เออ.... เป็นได้ถึงปานนี้

นี่อาตมาไม่ได้ทวงบุญคุณนะ แต่กำลังพูดถึง ความยึดถือ ของคน เป็นไปได้ ถึงปานนี้ ตัดอาตมาทิ้งเลย ไม่เอาแล้ว สมณะโพธิรักษ์ ทั้งๆที่เขารู้จัก คุณทักษิณ โผล่ไม่ให้รู้ กี่ปีเลย แต่รู้จักอาตมา คบคุ้นอาตมา สนิทกว่า นานกว่าแท้ๆ สิ่งสุจริต กับสิ่งที่ ไม่สุจริต สิ่งที่ควร กับสิ่งที่ไม่ควร กุศลกับอกุศล สิ่งที่เอาเปรียบ กับสิ่งที่ เสียสละ โลกียะกับโลกุตระ โดย สัจจธรรม เราควรจะเลือกฝ่ายไหน

ผู้ที่เลือก ฝ่ายท่านทักษิณ ก็ว่าอาตมา ว่าไม่ศึกษาข้อมูล ความสองฝ่าย คนที่พูด อย่างนั้น ตื้น ตนเองนั่นแหละ ฟังความ ข้างเดียว ที่โฆษณาเผยแพร่ ด้วยอำนาจ ของทุน อำนาจรัฐ ที่คุณทักษิณ ครอบงำได้สำเร็จ อยู่ในขณะนี้ เขาก็ไม่รู้ตัว ว่าตนเอง นั่นแหละได้ข้อมูลเอียง อยู่ข้างเดียว จึงหลงศรัทธา คุณทักษิณ แบบที่เป็นอยู่

อาตมาทำงานครั้งนี้ คล้ายกับพระเวสสันดร ที่รักลูก แต่ก็ต้องยอม สละลูก ให้กับชูชกไป ลูกกัณหาชาลี ทั้งถูกลาก และ ถูกตี ต่อหน้า ต่อตา ก็ต้องยอมสละ เลือกสิ่งที่สูงกว่า

การเลือกข้าง ไม่ได้หมายความว่า จะมีกิเลสเสมอไป หรือไม่เป็นกลาง อย่างพระพุทธเจ้า พอตรัสรู้ มารก็มาอาราธนา ให้ปรินิพพาน แต่พระพุทธเจ้าไม่ยอม เลือกข้าง ที่จะทำงาน สร้างศาสนา เหมือนกับ มีตัณหา เหมือนมี ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี เป็นวิภวตัณหา หรือ ตัณหาอุดมการณ์ คือ มีความอยากทำ เพื่อสร้าง สิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคม

ทำไมอาตมาต้องตัดสินเข้าร่วม
สังคมเมืองไทย มันเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว เราไม่ได้เป็นคนสร้าง แต่มันเกิดแล้ว มันร้าย และแรง ถึงขั้น ถึงขีดจริงๆ ถึงขั้นทักษิณ โดนกดดัน ให้ออกไป ไม่มีความชอบธรรม ในการบริหารประเทศ ด้วยเหตุผล ต่างๆนานา แต่ข้อมูลเหล่านี้ ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้รับรู้ด้วย ถูกอำนาจฝ่ายรัฐ ปิดกั้นหมด ลำเอียงยิ่งกว่า ยุคสมัยใด จนกระทั่ง นักวิชาการ ผู้รู้ ผู้ใหญ่ ผู้มีฐานะ ทางสังคมต่างๆ แต่ก่อน ร่อนชะไร ก็ไม่กล้าเปิดตัว ออกมา เหมือนครั้งนี้เลย ยุคนี้ โอ้โฮ.... แสดงตัวออกมา อย่างกะ หมูไม่กลัวน้ำร้อน มีข้อมูล ทางวิชาการ มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน ที่จะเปิดเผย มีอะไรต่ออะไร ที่นำออกมาแฉ มายืนยัน เปิดตัว เป็นคณะๆ เป็นส่วนตัวบ้าง ออกมาสาธยายกัน อย่างเหลืออด เหลือทน ทั้งแฉ ทั้งแสดงออก อย่างเปิดเผย ชนิดไม่เคยเกิด ไม่เคยเป็น ถึงปานนี้ แม้คนระดับ ที่ออกมา แสดงตัวถึงขั้น ต้องแยกฝ่ายกัน ชัดๆขนาดนี้ ก็ไม่เคยทำกัน อย่างนี้มาก่อน กระนั้นก็ดี สื่ออิสระ อีกมากมาย ก็ยังไม่กล้าออกข่าว เสนอข่าว ที่เปิดกัน โจ่งแจ้งนี้กัน

มีแต่ ASTV เท่านั้น ที่เสนออยู่หนักหนา เหน็ดเหนื่อย โทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่กล้าเสนอเลย คนที่รับรู้ ข้อมูลข้างเดียว ก็จะคิด อย่างที่ภาครัฐ นำเสนอ ให้รู้เท่านั้น โอ้โฮ.... เห็นความเก่ง ของคุณทักษิณ ที่สามารถทำร้าย ครอบงำ ข้อมูล ข่าวสารได้ น่าสงสาร คนที่ไม่รู้ข้อมูล ข่าวสาร อีกด้านหนึ่ง

พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นกลาง แต่ความเป็นกลางนั้น ท่านก็ให้ข่ม คนที่ควรข่ม ยกคนที่ควรยก พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกว่า เป็นกลางก็คือ ไม่ต้องข่มคนผิด ปล่อยเขา อย่าไปว่าเขา บาปเวร เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เลยนะ จึงเป็นเรื่องที่ ไม่เข้าใจ ธรรมะ แล้วปฏิบัติไปตาม ความเห็นของตน ตนเองนั่นแหละ เกิดความลำเอียง ท่านให้เลือกฝ่าย ให้อยู่กับ ฝ่ายบัณฑิต อย่าอยู่ กับฝ่ายพาล

สำหรับอาตมา มีเหตุผลสำคัญ เหตุการณ์นี้ มันเกิดขึ้นมาในสังคม ใครจะสร้าง หรือ จะไม่สร้างก็ตาม มันเป็นไป โดยธรรมชาติ มันจะต้องเกิด อาตมาก็พูดไม่ไหว มัน อนิทัสสนัง ทุกอย่างนั้น มีมาแต่เหตุ สรุปง่ายๆ ทักษิณเป็นคนทำ มันจึงเกิด การต้าน ใครจะไปหยุด การชุมนุมนั้นได้ ไม่มีใครหยุดได้ เขานัด ๒๖ ก.พ. เอาให้แรงเลย เหตุนี้ มันต้องเกิด เราจึงจำเป็น ต้องเลือกฝ่าย ที่จะทำอะไร สักอย่างหนึ่ง เพราะเราอยู่ ในสังคมนี้ อยู่ในประเทศนี้ เหตุการณ์ในสังคม ที่เราอยู่ด้วยรุนแรง ขนาดนี้ เราจะทำเป็นเฉย ไปได้อย่างไร ถ้าเราโง่ เราไม่รู้เรื่อง ก็ไปอย่าง คนที่โง่ ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ทั้งๆที่เป็นภัย ในบ้านของตน ที่ตนเอง อยู่ร่วมด้วย แต่เขา ก็ไม่รู้ นั่นก็เป็นเรื่องของ คนโง่ผู้นั้น ก็แล้วไปเถอะ ก็เขาโง่หนะ เขาไม่ ประสีประสา จะโทษเขา ก็ไม่ได้ แต่ถ้ารู้ อยู่โทนโท่ ทว่าไม่ช่วยกัน ระงับภัย หรือ ไม่ช่วยกันทำ ในส่วนที่ดี ไม่ช่วย เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ให้ความดีงาม ถูกต้องเกิดขึ้น ในสังคม มันก็ใจจืด ใจดำ อำมหิตเกินไป อาตมา ทำงาน สร้างความดีงาม ให้เกิดขึ้น ในสังคมแท้ๆ ไม่ได้ทำงานอื่น นี่ก็เห็นๆอยู่ รู้ๆอยู่ว่า ควรจะช่วยฝ่ายไหน ฝ่ายหนึ่ง ประชาชน รวมตัวกัน อีกฝ่ายหนึ่ง กำลังทำไม่ถูกแล้ว กำลังก่อ ความเสียหาย มันเป็นเรื่อง ความไม่ชอบธรรมชัดๆ จึงจำเป็นต้อง เข้าไปช่วย และการช่วย ของอาตมา ก็มีนัยลึกซึ้ง คนจะเข้าใจยาก อาตมา ไม่ได้ไปช่วย ในประเด็น ที่เป็น การเมือง แต่อาตมา ไปช่วย ในประเด็น ที่จะไม่ให้เกิด ความรุนแรง จลาจล อันนี้ต่างหาก ที่เราทำ

เราไม่ได้เป็นนักการเมือง เราไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง จะเป็นบ้าง ก็ทางสังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้ เราจำเป็น ต้องเลือกฝ่าย ทำงานให้แก่สังคม เราขอยืนยันว่า เราทำด้วย ความเป็นกลาง ความเป็นกลางนั้น ต้องใช้ ปัญญา เหมือนกรรมการ ที่ตัดสินฟุตบอล ต้องเป็นกลาง เมื่อเห็นคนทำผิด ก็ต้องไล่ฝ่ายผิด ออกจากสนาม ก็ต้องทำ เหมือนผู้พิพากษา ต้องเป็นกลาง ตัดสิน สั่งประหาร คนทำผิด ก็ต้องทำ ความเป็นกลาง ต้องมีปัญญา ใช้ปัญญา อย่างชาญฉลาด มิใช่อยู่เฉยๆ แล้วจะเรียกว่า "ความเป็นกลาง" ดังนั้น ทั้งผู้เป็นกรรมการ และทั้ง ผู้พิพากษานี้ คือผู้ที่มี "ความเป็นกลาง" เป็นผู้กระทำ สิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีอคติ ๔ ให้ได้ ก็คือ "คนเป็นกลาง" แล้ว

ในโลกในสังคม คนฉลาด มีน้อยกว่าคนโง่ ดังนั้น ผู้รู้ดี รู้ความถูกต้อง ต้องเข้าข้าง ไปอยู่กับ ฝ่ายคนดี ฝ่ายถูกต้อง ไม่เช่นนั้น คนดี จะยิ่งน้อย จะยิ่งไม่มีน้ำหนัก ถ่วงฝ่ายชั่ว ไว้ไม่ได้ เลยถูกฝ่ายชั่ว เหิมเกริม ทำชั่วได้ยิ่งๆขึ้น หรือ ข่มเหงคนดี ร้ายแรงขึ้น เท่านั้นเอง

สัญชัยเวลัฏฐบุตร ผู้เป็นครู ได้ถามพระสารีบุตรว่า ในโลกนี้มีคนโง่ หรือคนฉลาด มากกว่ากัน พระสารีบุตรว่า คนโง่ มีมากกว่า พระสารีบุตร ชวนครูสัญชัย ไปอยู่กับ พระพุทธเจ้าด้วยกัน สัญชัยไม่ไป พระสารีบุตร เลือกไม่อยู่กับ ครูสัญชัย ไปอยู่กับ พระพุทธเจ้า ฉันใด คนมีกิเลสในโลก มีมากกว่า คนไม่มีกิเลส สรุปคือคนชั่ว มากกว่าคนดี

ถ้าเกิดการแบ่งฝ่าย น้ำหนักของคนชั่ว ก็ต้องมากกว่าคนดี เพราะฉะนั้น คนที่เป็นกลาง จริงๆ ควรเข้าข้าง คนถูกคนดี แม้คนถูก คนดี จะน้อย และการ เข้าข้างคนถูก ไม่ได้เป็น ความผิดอะไร เพราะโดยสัจจะ ต้องให้น้ำหนักกับ สิ่งที่ถูกที่ดี มากกว่า สิ่งที่ผิด นี่คือ ความลึกซึ้ง ของธรรมะ พระพุทธเจ้า

ถ้าเราจะอยู่ เฉยๆ แล้วปล่อยให้เขา ฆ่ากันตาย ใจดำไหม โอ้โฮ.. อาตมาว่า อาตมา ไม่ได้เป็นคน ใจแบบนั้น อาตมาไม่ได้ กลัวตาย แต่ก็ไม่ใช่ อยากตาย เพราะยังทำงานได้อยู่ แต่ถ้าจะตาย ก็ตาย

ถ้าจะช่วยกัน เราก็ต้องเลือกฝ่าย ฝ่ายถูกต้อง ฝ่ายดีงาม ฝ่ายสัจจะคนน้อย อาจจะแพ้ เพราะอำนาจ น้อยกว่า ทุนน้อยกว่า หรือ อะไรต่ออะไร น้อยกว่า ก็แล้วแต่

อาตมาให้สัมภาษณ์ พูดกับสื่อสารมวลชนต่างๆ ที่ได้มาสัมภาษณ์ อาตมาบอกว่า เรื่องประชาธิปไตย เมืองไทย ได้เกิด ประชาธิปไตย ที่งดงาม ขึ้นแล้ว ที่คุณสนธิ ก่อการชุมนุม ต่อต้านขึ้นมา ถึง ๑๕ ครั้งแล้ว ดี สงบเรียบร้อย มาตลอด ไม่เกิด เหตุการณ์ รุนแรง แม้จะเกิดการ เสียดแทงกัน ด้วยหอกปากบ้าง ครั้งสุดท้ายนี่ ตำรวจ ไม่พก กระบองไปเลย ข่าวต่างประเทศ ก็เผยแพร่ไปทั่วโลก แต่ในประเทศไทย ไม่ถ่ายทอดเลย อย่างนี้ มันผิดหน้าที่ ของสื่อสารมวลชนแล้ว ทั้งๆที่ มันเป็นเหตุการณ์ สำคัญของประเทศ ประชาชน ชุมนุมกัน ร้องเรียนขับไล่ ท่านผู้นำประเทศ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่สื่อสาร ไม่ทำข่าว นี่คือ ความลำเอียง ของสื่อสารมวลชน แสดงว่า ผู้มีอำนาจ ได้ใช้อำนาจ ไม่ว่าจะ โดยตรง หรือโดยอ้อมก็ตาม โดยหลักประชาธิปไตย ก็คือ การปิด หูปิดตา ประชาชน ถ้าจะว่าไปแล้ว นายกฯทักษิณ หมดเครดิต กับต่างประเทศแล้ว

เหตุการณ์คราวนี้ เป็นการชุมนุมประท้วง เป็นวิธีการของ ประชาธิปไตย ที่สวยงาม วันที่ ๒๖ ก.พ. ที่ผ่านมา เราก็นึกว่า จะยุติ แต่ก็ยังไม่ยุติ เรื่องมันชัก เคี่ยวข้นขึ้น หนักแล้ว จึงจำเป็น ต้องเข้าร่วม แต่เราก็ไม่ได้ไปทำ อย่างที่เขาทำ ใครเห็นบ้าง มีคนขอร้อง ให้พวกเรา ตะโกนตามเขา ท้ากกกสิน ออกไป แต่พวกเรา ก็ไม่ได้ตะโกนร้อง อย่างที่เขาทำกัน

ประเด็นที่เราจะไปทำ คือ เราจะไปทำงานของเรา หรือเราจะไปทำงาน ที่เรามุ่งหมาย และงานที่ว่านั้น ก็ได้แก่ เราจะไปช่วย ไม่ให้เกิด ความรุนแรง ไม่ให้เกิด จลาจล ไปช่วยเสริมน้ำหนัก ให้เกิดความสงบ สันติ เพราะเท่าที่คุณสนธิ ได้นำพากัน ทำมาก่อนแล้วนั้น เป็นการประท้วง ล้มผู้นำประเทศ ที่สงบ สันติ มาได้ดี เหลือเกิน เราจะมีความสามารถ ขนาดไหน เราก็จะทำตามภูมิ ตามความสามารถของเรา เรามุ่งมั่น จะไปช่วย ในประเด็นนี้ นี่ต่างหากคือ งานของเรา เราพยายาม ทุกรูปแบบ -ทุกกรรมกิริยา ที่เรามีภูมิปัญญาเห็นว่า จะมีผล มีน้ำหนัก ช่วยให้เกิดความสงบ สันติได้จริง ป้องกัน ไม่ให้เกิด ความรุนแรง ได้จริง แม้แต่ได้ขอร้องกัน ว่าบนเวทีนั้น อย่าได้ใช้ คำหยาบกันเลย เราก็พยายาม กำชับกำชากัน แม้แต่เอา สมณะ ไปนั่งอยู่ ในที่อันพึงควร เพื่อสร้างรูป แบบแห่งความนิ่ง ความสงบ ความสำรวม เราก็พยายามทำ พยายาม สร้างสมณสารูป อันจะช่วย ให้สงบเย็น หรือ สวดมนต์ แสดงธรรม เอื้อเฟื้อเจือจาน เสียสละ ช่วยในความมีน้ำใจ อันเป็นมิตร แก่กันและกัน ช่วยไปทุกๆสถานะ ที่จะเป็น หยดน้ำเย็น หล่อหลอม ไม่ให้เกิด ความเร่าร้อน รุนแรง เป็นต้น

ภาพของพวกเราไปเดินธรรมยาตรา เป็นเหตุการณ์ที่ คนมีปัญญา เขาประทับใจ อย่างนักข่าว เขาชมพวกเรา ปุ๊บปั๊บ เข้าแถวพร้อม สงบเรียบร้อย อาตมาว่า เป็นกายธรรม ที่คนไม่เคยเห็น จะสะดุด เราไปทำหน้าที่ ที่จะทำความเย็น เราไม่เก่งการเมือง แบบที่ เขาทำกัน เราไม่มีความรู้ ความสามารถ ในการเมือง แบบนั้น ความรู้ที่เขาแฉกัน เขาทำกันเอง เราไม่ได้มีความรู้ อย่างนั้น

วันที่พูดกับคุณจำลอง ที่ศาลีอโศก ในเรื่องที่เรา จะออกมาร่วม ครั้งนี้ อาตมา ก็เกรงใจ คุณจำลอง เพราะมีความสัมพันธ์กับ คุณทักษิณ มาก่อน แต่เมื่อจำเป็น ต้องเลือกฝ่าย เพื่อเข้าทำงาน เราก็ต้องเลือก เพราะมันเป็น "นานาสังวาส" กันจริงๆ แล้ว และงานนี้ เป็นงานที่ จะเกิดผล ต่อสังคม แก้ปัญหาให้แก่ ประชาชนไทย ทั้งมวล ไม่ใช่เพื่อ คนใดคนหนึ่ง เป็นงานเพื่อ ประเทศชาติแท้ๆ

ถ้าสุดวิสัย มันจะรุนแรง แม้ที่สุด เราอาจจะต้องบาดเจ็บ อาจจะต้องตาย ถึงตาย เราก็ต้องไป เหตุการณ์ในสังคม มันถึงขั้นแล้ว จะทำดูดาย ยังไงกัน ถ้าไม่ไป มันเป็น การเห็นแก่ตัว ใช่ไหม ขี้กลัว เอาตัวรอด เป็นยอดเดี่ยว อย่างที่ เขาอธิบาย ความเป็นกลาง เข้าข้างตัวเอง เจาะช่อง เอาตัวรอด ปล่อยให้คนอื่น แบกสังคมไป เราไม่เกี่ยว คนอย่างนั้น ก็คือคนอย่างนั้น ก็ช่างเขา

สรุปแล้วเราไม่ได้เป็นคนใจดำ เราต้องอนุเคราะห์ ต้องช่วยโลก เราไม่ได้อะไร เราไปเสียสละ เราถูกด่าด้วยซ้ำ จริงๆนั้น เราก็ได้ช่วย คุณทักษิณในเชิงหนึ่ง คือ ช่วยให้คุณทักษิณ หยุดทำบาป อย่าทำบาป ให้มากไปกว่านี้เลย บาปที่ทำมาแล้ว มันมากแล้ว จริงๆ

อย่างร็อคกี้เฟลเลอร์ เคยขี้โลภ อะไรๆก็เป็นของเขาหมด ทำให้ประชาชน อเมริกัน เขาไม่ชอบมาก แต่ต่อมา เขาเปลี่ยน มาตั้งมูลนิธิ แล้วบริจาค ช่วยเหลือสังคม อย่างจริงใจ ทำกุศลจริงๆ หยุดโลภ มาเสียสละกันให้จริง ทุกวันนี้ ก็ได้รับ การยอมรับ จากประชาชน ทั่วโลก มีคนทั่วโลก บริจาคสบทบเป็นทุน แห่งการกุศล ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่มีบทบาท ไปทั่วโลก เราก็อยากให้ คุณทักษิณ กลับตัวกลับใจ เหมือนอย่าง ร็อคดี้เฟลเลอร์บ้าง เราไม่ได้ปรารถนาร้าย กับคุณทักษิณเลย จริงๆ

๗.๑๕ น. สมณะรูปหนึ่ง เล่าข้อมูลที่ได้รับมา จากคุณ ส. คือ ท่านกับคุณ ส. เป็นสหาย ที่เคยเข้าป่า สมัยที่พรรค คอมมิวนิสต์ เติบโต ในยุค หลังเหตุการณ์ นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ปัจจุบัน คุณ ส. มีตำแหน่ง ในคณะรัฐบาล คุณ ส. ได้โทรมาคุยด้วย ๒ ครั้ง พยายาม ที่จะทัก เตือนชาวอโศก ขออย่าเข้าร่วม การชุมนุม เพราะคาดว่า จะเกิดเหตุการณ์ ที่รุนแรง และ ถามถึงจำนวน ของชาวอโศก นอกจากนี้ คุณ ส. ยังได้วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะ คุณทักษิณ มีความสามารถมาก จึงทำให้.... ไม่ชอบ ต้องการจะล้ม

ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง จากบุคคลในเครื่องแบบ สีเขียว เชื่อว่าเหตุการณ์ จะไม่รุนแรง เบื้องบน จะทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลง ได้รัฐบาลใหม่ อย่างช้า วันที่ ๔ มี.ค. นี้ เพราะมีบทเรียน จากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ และวันมหาวิปโยค ในเดือนตุลาฯ มาแล้ว จึงไม่มีใคร อยากให้เกิด

หากเลยวันที่ ๔ ไปแล้ว นายกฯยังไม่ยอมลาออก วันที่ ๕ อาจจะเกิดเหตุการณ์ ที่รุนแรงได้ จึงอยากจะให้ ชาวอโศก ระมัดระวัง อย่าประมาท แต่ไม่ควรหวั่นกลัว จนเกินไป และควรจะมี ๕-๖ คน ผลัดเปลี่ยนกัน ดูแลกัน เป็นกลุ่มย่อยๆ ส่วนการ กินอาหาร ควรกินให้น้อยไว้ จะได้ไม่เป็นปัญหา ที่จะต้องขับถ่าย

สำหรับพ่อท่าน มองอย่างหวังๆว่า ครั้งนี้มันจะเป็นเหตุการณ์ ที่พิเศษ ที่ทำให้ นานาประเทศ รู้จักประเทศไทย ในเรื่องของ ประชาธิปไตย ที่ไม่รุนแรง

หลังฉัน พ่อท่านเปิดดู การเสวนา ถ่ายทอดจาก ASTV ในหัวข้อ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๗ : ทางออก จากวิกฤติการเมือง จัดที่โรงแรม ปทุมวัน ปริ้นเซส โดยมี ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ดำเนินรายการ มี ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ คุณโสภณ สุภาพงษ์ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

ระหว่างดูรายการ พ่อท่านแนะให้ สมณะพิสุทโธ ช่วยบันทึกไว้ด้วย

๑๕.๐๕ น. ญาติธรรมคนหนึ่ง เสนอให้เคลื่อนการชุมนุม ไปปิดล้อมที่ ทำเนียบรัฐบาล แต่พ่อท่านเห็นว่า ไม่เหมาะ จะเป็นการ กดดัน รุนแรงไป เราจะเสียได้ แล้วพูดถึงเรื่อง หลายคนกำลัง ช่วยหาทางออกให้

๑๖.๕๙ น. นักข่าวไทยโพสต์ โทรมาขอสัมภาษณ์ เกี่ยวกับวันที่ ๕ มีนาคม ที่จะถึงนี้ ทางสันติอโศก จะเคลื่อนตัว อย่างไร จะทำ อะไรต่อ จะอยู่อย่างไร

พ่อท่าน : ยังตอบอะไรตอนนี้ไม่ได้ ต้องดูเหตุการณ์ ในวันนี้ก่อน เนื่องด้วย ท่านนายกฯ และ พรรคไทยรักไทย จะเปิดปราศรัย ที่สนามหลวง [ด้วยมีข่าวว่า ท่านนายกฯ อาจจะลาออก หลังการปราศรัยแล้ว สองข่าวที่ว่า เบื้องสูง อาจจะตัดสิน ยอมเปื้อนอีกครั้ง เพื่อยุติปัญหา ความรุนแรง ก่อนที่คนไทย จะฆ่ากันเอง] เหล่านี้เป็นปัจจัย ที่จะแปลว่า เราจะทำอะไรต่อไป ได้อย่างไร

# # # ๔ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก เช้านี้ หมอวีระพงษ์เข้าพบ ด้วยเป็นห่วงว่า จะเกิด ความรุนแรง ขึ้นมา เกรงว่าอโศก จะเปลืองตัวมากไป อีกทั้งเห็นว่า พ่อท่าน จะหนักเหนื่อยเกินไป กับกิจนี้ ซึ่งได้รับคำตอบ จากพ่อท่านว่า พวกเราก็ พยายามที่สุด ที่จะไม่ให้เกิด ความรุนแรง ขึ้นมา นี่คือ สิ่งที่เราไปทำ ส่วนตัวพ่อท่าน ไม่รู้สึกว่า หนักเหนื่อยอะไร ไปก็ได้ แต่นั่งอยู่เฉยๆ ให้เห็นว่า มีสมณะแค่นั้น อ่านนั่น อ่านนี่ อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ไม่ได้ไปเพ่นพ่านที่ไหน ไม่รู้สึกว่า ยากลำบาก อะไร อากาศก็ร้อนบ้าง เป็นธรรมดา

ขณะฉันอาหาร ได้รับโทรศัพท์จาก คุณหนึ่งฟ้า แจ้งว่า คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ติดต่อมาว่า พรุ่งนี้อยากจะมา กราบพ่อท่าน พร้อมกับ ตัวแทน เกษตรกร ที่สนามหลวง หลังจากพ่อท่าน ได้ไปถึงที่นั่น และจะแถลงข่าว ยืนยันว่า สิ่งที่พ่อท่าน นำพา กองทัพธรรม มาประท้วง เรียกร้อง ให้ท่านนายกฯ ลาออก นั้นถูกต้อง ชอบธรรมแล้ว เท่ากับเป็นการ ประกาศ เลือกข้าง ต่อหน้าสื่อมวลชน

๑๑.๒๒ น. FM ๙๖.๕ คุณสุทิน วรรณบวร นักข่าวเอพี วิเคราะห์สถานการณ์ ที่สุดของปัญหา ท่านนายกฯ จะจบโดยสงบ เชื่อว่า คุณทักษิณจะต้องไป นักกฎหมาย ที่อยู่แวดล้อม พยายามหาทางปิดล้อม อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ ก็อยู่ไม่ได้ ขอให้ เอาหลัก รัฐศาสตร์มาใช้

๑๒.๑๖ น. FM ๙๖.๕ ข่าวต้นชั่วโมง มีประเด็นที่ท่านนายกฯ พูดที่สนามหลวง เมื่อวาน โดยกล่าวว่า อยากจะคุยกับ คุณสนธิ พล.ต.จำลอง และ คุณเสนาะ นักข่าว ได้นำเรื่องนี้ ไปถาม พล.ต.จำลอง ซึ่ง พล.ต.จำลอง ได้เขียนจดหมาย เปิดผนึกว่า จะไม่ขอพบกับ ท่านนายกฯ หากพูดกัน ก็จะเสนอ ให้ลาออก เหมือนเดิม ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ก็พร้อม จะยอมรับ

ข่าวต่อมา อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ได้แถลง มั่นใจว่า พลังประชาชน จะได้รับชัยชนะ แม้ไทยรักไทย จะได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้ง ก็ตาม แต่ที่สุดแล้ว จะอยู่ไม่ได้ นายกฯ กำลังถูกคัดค้าน จาก ๓ พลังใหญ่ พลังประชาธิปไตย พลังจารีต พลังภาคธุรกิจ ซึ่งกำลังแสดงพลัง ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับการชุมนุมของพลังประชาชน ไม่ควรใช้วิธีรวบรัด แต่ควรใช้วิธีรุก แล้วก่อให้เกิด ความแข็งขืน แบบอาริยะ คือ ทำให้เกิด ความไม่ยอมรับ ท่านนายกฯ ขยายวง ขึ้นเรื่อยๆ และระหว่างนี้ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ก็ควรมีการ ปรับตนเอง ด้วยการเพิ่ม บุคลากร ที่มีลักษณะ อหิงสาเข้าไป อย่างเช่นคุณโสภณ

๑๖.๓๐ น. เดินทางไปวัดบึงทองหลาง เพื่อร่วมเผาศพ พ่อของคุณน้อมคำ ปิยะวงค์รุ่งเรือง เสร็จแล้ว กลับมาที่ สันติอโศก
๑๘.๐๐ น. ประชุมสรุปปัญหา จากการชุมนุมครั้งก่อน รวมถึง ที่จะไปพรุ่งนี้
ทางปฐมอโศก แจ้งปัญหา ครั้งที่แล้ว ตำรวจพยายามกัน ไม่ให้มาเข้าร่วม ชุมนุม
คุณธำรง แจ้งเรื่อง การเดินทาง พรุ่งนี้ จะใช้รถของเราเอง เพราะที่บริษัทถูกขู่
คุณแซมดิน แจ้งเรื่อง การเจรจา กับกลุ่มพันธมิตรฯ จะต่อสู้แบบ ยืดเยื้อ และไม่เลิกดึก ให้ข้อมูล กับประชาชน ไปเรื่อยๆ สื่อหนังสือพิมพ์ จะเริ่มให้ข้อมูล กับประชาชนแล้ว

พ่อท่านให้ข้อคิด ที่เราไปนี่ ต้องการเพื่อให้สังคมเห็นว่า การประท้วง อย่างสงบ สันติ มีในโลก เพื่อช่วยไม่ให้เกิด ความรุนแรง คนที่เขากลัว จะได้กล้า มาร่วม

อาตมาจะไม่ร่วมมือ ถ้ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือกรรมการพันธมิตรฯ จะใช้วิธี เคลื่อนไป กดดัน อย่างนี้ มีโอกาส จะรุนแรง และ เสียเลือดเนื้อได้ ไม่ควรจะเลิกดึก และควรเชิญ นักวิชาการ ที่มีความรู้ ในด้านต่างๆ มาให้ความรู้ ไปเรื่อยๆ การทำอย่างนี้ เป็นการกดดัน ด้วยปัญญา เป็นประชาธิปไตย ที่งดงาม

คุณธำรงบอก ที่ประชุมพันธมิตรฯ ต้องการให้กองทัพธรรม เป็นทัพหน้า มันเป็นเครดิต ความเชื่อถือ ของเขา แล้วเขาจะเป็น ทัพหนุน ทัพเสริม

คุณแซมดิน การเคลื่อนทุกครั้ง จะโปร่งใส จะประสานบอก ตำรวจก่อน เพื่อสะดวก ในการทำงาน ของตำรวจ นักข่าว ก็ไปตั้งกล้อง ไว้ก่อนได้ การเคลื่อน อย่างสงบ ความปลอดภัย จะสูง แล้วมวล จะมาร่วมเยอะ

ประเด็นการเคลื่อนตัวไปที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้หญิงจะลำบาก ในเรื่อง ห้องน้ำ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา มีห้องน้ำ สามารถใช้ได้ ตลอดเวลา

แถวริ้วขบวน จะเป็นแถวตอน เรียง ๖ ถ้าพวกเรา กระตือรือร้น ก็สามารถ เคลื่อนขบวน ได้เร็ว คราวที่แล้ว ภายใน ๑๕ นาที

การไปนอนคราวนี้ ไปนอนแบบหมาๆ แมวๆ ควรมีสัมภาระน้อย เพื่อการเคลื่อนตัวเร็ว ยังไม่รู้เหตุการณ์ จะเป็นอย่างไร วันแรก ก็จะไปดูก่อน มีผู้อยากจะให้ ไปต่อรอง เรื่องการนอน ที่ถนน แต่ที่ประชุมเห็นว่า มันไม่เหมาะ

พ่อท่านเสริมว่า มีสมณะไฟแรง อยากจะไปร่วม เอาพระสูตร มาอ้างด้วยนะ ถึงขนาด อยากจะไปปักกลด ที่สนามหลวง คราวนี้ ที่ประชุม เขาก็ไม่อยาก ให้เอาพระ มาร่วมเดินด้วย

อาตมาก็ดูกระแสของสังคม ขณะนี้ ก็เห็นว่า ยังไม่น่าจะเอาสมณะ เข้าไปร่วม เดินด้วย ที่เราทำอยู่ ครั้งวันที่ ๒๖ นั้น ก็ถือว่าดีแล้ว หลายคน สัมผัสแล้ว ก็รู้สึกดี ยุทธการนี้ ยิ่งกว่า ๓ ก๊กอีก

สำหรับความร่วมมือ พวกเราก็ฝึกกันไป หลายอย่าง อาตมาไม่ได้คิด มาถึงวันนี้แล้ว มันเกินคาด แม้แต่เราโดนจับ ขึ้นศาล มันเป็นเรื่องดี ทำให้เป็นไปได้ ถึงขนาดนี้ มันไม่น่าเกิด ถ้าไม่มีเหตุอย่างนี้ มันทำไม่ได้ พวกเราออกมาได้นั้น เป็นเรื่องดี ถ้าไม่มี เหตุการณ์นี้ คำว่า นานาสังวาส ก็มีแต่ใน พระไตรปิฎก เป็นเรื่องที่เกิดกับ สังคมจริง ไม่ได้เลย ไม่เช่นนั้น ก็มีแต่นิกาย อาตมาทำให้ นานาสังวาส ปรากฏ เพื่อยืนยันถึง พระปัญญาธิคุณ ของพระพุทธเจ้า ได้จริงในยุคนี้ ในยุคพระพุทธเจ้า ไม่มี แม้แต่สังคมสงฆ์ เถรสมาคม ก็ยังไม่มีความชัดเจน แจ่มแจ้ง ในเรื่องนี้ อาตมาต้องอธิบาย ต้องเขียนลงไป ในหนังสือ เพื่อเผยแพร่ ถึงทฤษฎี ที่วิเศษยิ่ง ของพระพุทธเจ้านี้แก่โลก

การไปร่วมชุมนุมคราวนี้ กระแสมาว่า เถรสมาคม จะเอาเรื่องเรา อาตมา ก็ต้องยอม ให้ท่านเอาเรื่อง แล้วจะบอกให้ พวกท่าน ไปปลงอาบัติเถอะ อย่ามาหลงผิด ว่าเราอยู่ใน คณะของท่าน ท่านว่าเราด้วยซ้ำ กล่าวหา ว่าเราทำสังฆเภท ด้วยซ้ำ ที่จริง ท่านอธิกรณ์ ฟ้องร้องไม่ได้ คราวที่แล้ว เราก็บอก ความถูกต้อง ของธรรมวินัยนี้ แต่ทางโน้น ไม่ยอมทำตาม ธรรมวินัย ถ้าเถรสมาคม จะมาตู่ท้วง ก็ต้อง ไปปลงอาบัติ อาตมาก็ไม่คิดว่า จะเป็นไป ถึงปานนี้ มันเป็นไปตาม ธรรมวินัย

๒๐.๓๔ น. นักข่าวมติชน ได้โทรมาสอบถาม เรื่องการเคลื่อนตัว พรุ่งนี้ ถามการไม่ใช้ คำว่า "ทักษิณ....ออกไป" แล้วจะใช้ คำอื่นไหมครับ แล้วถามถึง การปราศรัย ของท่านนายกฯ เมื่อวาน กับข่าวที่ว่า จะมีการปิดถนน ซึ่งเป็นประเด็นย่อยๆ ใช้เวลาไม่นาน

# # # ๕ มี.ค. ๒๕๔๙ เช้านี้พ่อท่านนำทำวัตรเช้า แล้วส่งสัญญาณเสียง ไปยัง พุทธสถาน ต่างๆ เป็นการให้นโยบาย ในการชุมนุม หรือ ยุทธศาสตร์ ในการชุมนุม ครั้งนี้ เริ่มด้วย ความเป็นมนุษย์ วนเวียนตาม กรรมวิบาก มานาน นับชาติ ไม่ถ้วนแล้ว เพราะมนุษย์ หลงอยู่กับ โลกีย์สุข ทำให้หลงวน อยู่ในวัฏฏสงสาร หลงติดเปลือก หลงติดโลกีย์ ไม่ได้สนใจ โลกุตระ

สังคมที่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะ ไม่รู้โลกุตระ แล้วเขา จะทำอะไรได้ นานาสารพัด แต่พวกเรา ได้มาศึกษาธรรมะ ของพระพุทธเจ้า แล้วมีปัญญา เข้าใจรู้โลกุตระ แต่ถ้าใคร ยึดติดกับภูมิของตน ก็ไปไม่รอดได้ เพราะหลายอย่าง มันจะมี ปฏินิสสัคคะ เหมือนกัน

ต่อมาเป็นการอธิบายถึง ทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ทาน ศีล ปริจจาคะ (เสียสละความสุขของตน เพื่อความสงบ เรียบร้อย ของบ้านเมือง) อาชชวะ (ความซื่อตรง) มัททวะ ตปะ (ข้อขัดเกลาตน มีศีลเคร่ง) อักโกธะ (ไม่โกรธ) อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ขันติ (ความอดทน) อวิโรธนะ (ไม่คลาดจากธรรม)

มาถึงวันนี้ เราจะต้องถึงขั้น ออกมาปรากฏตัว และเข้ามาทำงาน กับสังคม ถึงเวลาวาระ เราก็ต้องเข้ามาร่วม เราจะได้พิสูจน์ พวกเราด้วย ว่าเรามีความอ่อนโยนไหม มีความไม่โกรธไหม มีความอดทนไหม มีความไม่เบียดเบียนผู้อื่นไหม แม้จะหนักหนา เหน็ดเหนื่อย ลำบาก เราทนได้ไหม หัดอดที่ใจเรา การไปคราวนี้ เรามียุทธศาสตร์ว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกันออกมา ให้มากๆๆ ให้หมดๆๆ

ถ้าหมู่กลุ่มไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องใจร้อน เย็นเรื่อยไป ไปคราวนี้ มันยาวก็ยาว เป็นการต่อสู้ ด้วยความซื่อตรง จริงใจ เสียสละ เป็นการรบ ที่สุดยอด ของมนุษย์ คือ รบด้วยมือเปล่า รบด้วยการไม่โกรธ ไม่เบียดเบียน และมีลักษณะของคน ที่มีธรรม อยู่ในตัวด้วย

ถ้าจะต้องอยู่เป็นเดือน ก็ต้องอยู่กัน อย่างงานเพื่อฟ้าดิน ก็อาจจะต้อง เลื่อนไปอีก พวกเรา อยู่ยาวได้ เพราะได้ฝึกหัด กินน้อย ใช้น้อย มากันแล้ว ใครที่ไม่ได้ฝึกอดทน ต่อแดดร้อน ลมฝน ก็ต้องฝึกบ้างๆ เผื่อจะได้ไป กอบกู้อะไร จากสิงคโปร์ หรือ อเมริกา

ส่วนไขความจริงกัน ออกมาให้มากๆ ให้หมดๆๆ นั้นคือ ความจริง ที่ตัวนายกฯ ได้กระทำไว้ ก็ให้ผู้รู้ พูดกันออกมา เอาผู้รู้ ทั้งหลาย มาอธิบาย มาให้ความรู้ ให้มากๆ

แหม..... ปัญญาสมโภชคราวนี้ เราไม่ต้องแสดง ปัญญาเอง ให้คนอื่น เขาแสดงปัญญา เราไปเป็นตัวจริง เป็นมวลให้

๘.๔๒ น. ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรม เป็นห่วงเรื่อง การเคลื่อนตัว โดยให้อโศก นำขบวน เกรงว่า พวกเราจะถูกหลอกใช้ ให้เป็นเครื่องมือ ทำให้สถานการณ์ รุนแรง ถ้าปิดถนน มันจะทำให้ คนเดือดร้อน ซึ่งไม่ใช่วิธีการของ สัตยาเคราะห์ ถ้าเกิด เขาแรงมาก เราไม่ร่วม ได้ไหม

๙.๐๙ น. ขณะพ่อท่านยังฉันอยู่ ได้รับโทรศัพท์ จากคลื่น FM ๙๔ ถามการเคลื่อนตัว ของกองทัพธรรม ในการไปร่วม ชุมนุม วันนี้ สถานีวิทยุต่างๆ รายงานข่าว การเคลื่อนตัว ชุมนุม ในวันนี้

๑๒.๐๘ น. FM ๙๖.๕ อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ได้แนะนำเกี่ยวกับ การชุมนุม ที่ไม่อยาก ให้รวบรัด ควรมีความอดทน และ อดกลั้น อย่างอาริยะ

๑๒.๔๓ น. นักข่าว TV ๙ & ASTV ขอสัมภาษณ์ ประเด็นคำถามแรก ที่นักข่าวถาม ก็คือ ได้ข่าวว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับ การเคลื่อนตัว ไปปักหลักที่ อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย

พ่อท่านตอบว่า จะบอกว่าไม่เห็นด้วย เดี๋ยวจะขัดแย้งกัน เพราะเขามีมติออกมา เมื่อคืนนี้ แล้วว่า จะเคลื่อนย้าย ก็เคลื่อนย้ายกันไป ไม่มีปัญหาอะไร คนเรา มีความเห็น ไม่เหมือนกันได้ เพียงแต่อาตมา อยากที่จะให้เป็น การชุมนุม ที่สงบ ตามที่ ได้มี ยุทธศาสตร์ว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกัน ออกมา ให้มากๆๆๆ ให้หมดๆๆๆ หมายความว่า ถ้าจะต้อง ต่อสู้กันยาวนาน ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ ต่อสู้กัน อย่างเย็นๆๆ เย็นแปลว่า นิพพาน นะ มีสันติ อหิงสากัน อย่างแท้จริง ทีนี้ก็สู้กัน ด้วยปัญญา สู้กันด้วย ภูมิธรรม ให้พ่ายแพ้กัน ด้วยความจริง ที่ต้องจำนน ไม่จำเป็น ต้องใช้มีดไม้ แล้วก็เอา ชนะกัน อย่างนี้

๑๓.๒๒ น. พล.ต.จำลอง และคณะแกนนำของอโศก ได้เข้าพบ พูดคุย กับพ่อท่าน คุณแก่นฟ้า เปิดประเด็นเรื่อง การโกง ภาษี ของบริษัท ที่ให้บริการ สัญญาณ โทรศัพท์ มือถือ บริษัทหนึ่ง ซึ่งดอกเตอร์คนหนึ่ง ได้มาให้ข้อมูลไว้ พ่อท่านแนะ ให้ทำเป็น รายการ บอกให้ประชาชนรู้ อย่างเดียวกับที่ ดร.วุฒิพงษ์จัดทำ

พ่อท่านย้ำยุทธศาสตร์ของการชุมนุม ในครั้งนี้ว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง กันออกมา ให้มากๆๆ ให้หมดๆๆ

พล.ต.จำลองได้เปิดเผยข้อมูล ในวงทหาร ที่ยืนยันว่า ไม่ใช้กำลังแน่

สำหรับประเด็นที่มีผู้เป็นห่วง เรื่องการเคลื่อนตัว อันเนื่องมาจาก ความคิดที่ว่า ถ้าไม่ทำให้ รัฐบาลเดือดร้อน รัฐบาล จะไม่คิดแก้ไข จึงเกิดความคิด ที่เคลื่อนมาจาก สนามหลวง เพื่อปิดถนน ราชดำเนิน รถยนต์จะได้แล่นไม่ได้ พ่อท่านเห็นว่า การปิดถนน เพื่อกดดันนั้น มันไม่ดี เพราะกำลังจะ ชนะอยู่แล้ว อย่าไปทำ ให้มันเป็นเหตุ ที่เขาเอาไปอ้างว่า เราทำให้ ประชาชน เดือดร้อน ย้ำยุทธศาสตร์ ที่กล่าวไว้ ตอนทำวัตรเช้า ไม่อยากให้ใจร้อน พวกเรา ประท้วงได้ยาว

๑๔.๒๕ น. คุณวิทยาและภรรยา เจ้าของหนังสือพิมพ์ เส้นทางเศรษฐกิจ ได้มา นมัสการ และนำเอาหนังสือ มาถวาย พ่อท่าน สนทนาเรื่อง ของสถานการณ์ บ้านเมือง

พ่อท่านพูดเหมือนกับที่พูดมาแล้ว หลายๆครั้งว่า เป็นความงดงาม ของประชาธิปไตย ไม่เคยมี อย่างนี้มาก่อน และ การชุมนุม ต้องมีทิศทาง ให้เย็น ให้สงบ

ออกจาก สันติอโศก โดยรถ"ทัวร์ทีป" คุณแดนดินขับ มีญาติธรรม อาสารักษา ความปลอดภัย ร่วมนั่งมาด้วย ๓ คน ถึงสนามหลวง ๑๕.๔๖ น. กลุ่มคน ทยอยกันมา เรื่อยๆ แดดยังร้อน พวกเราส่วนใหญ่ มานั่งรออยู่บริเวณ ด้านตรงข้าม มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ยังไม่มีเต็นท์กาง เนื่องจาก สถานการณ์วันนี้ ยังไม่มีอะไร แน่นอน สมณะ สิกขมาตุ และ ญาติโยม นั่งรายล้อม รอบพ่อท่าน

๑๖.๑๙ น. ชายกลางคน นำเอากฎหมาย เกี่ยวกับที่ดิน มาถวาย
๑๖.๒๘ น. มีผู้นำเอาถุงยาพื้นบ้าน ตำราหลวง มาถวาย บอกได้รับจากพระ วัดสุวรรณาราม ฝากมา ให้ถวายสมณะ มียาหม่อง ยาดม

นักข่าวเอพี ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน สมณะที่มากันอย่างนี้ มากันอย่างไร แล้วหลักปฏิบัติ เป็นอย่างไร

พ่อท่าน : ตั้งแต่ตื่นเช้า สำหรับที่นี่ ยังไม่แน่ว่า จะทำอย่างไร ถ้าอยู่ที่วัด ก็จะทำงาน ทำอาหาร ทำอะไรกัน ตามหน้าที่อื่นๆ ด้วย ๙ นาฬิกา ก็มาฟังธรรม แล้วรับประทาน อาหารกัน หลังจากนั้น ก็แยกย้ายกันไปทำงาน

นักข่าว : ปกติสมาชิกของกองทัพธรรม จะใช้ชีวิตแบบสมถะ ใช่ไหมครับ การมาอยู่ อย่างนี้นานๆ จะเป็นปัญหา หรือ อุปสรรค กับสมาชิกบ้างไหม

พ่อท่าน : มันก็ลำบากเหมือนกัน แต่ลำบาก เราก็ต้องสู้ ที่นี่แดดมันร้อน ลำบาก เราก็ต้องยอม เพราะนี่เป็น การทำงาน และเราก็ได้ ฝึกฝนด้วย กิเลสเราจะติด จะยึดที่นั่ง ที่นอน ที่ไป ที่มา อากาศร้อน อากาศหนาว ติดยึดทั้งนั้นแหละ เราก็ หัดวาง หัดปล่อย ไม่ว่าจะเป็นภาพ เป็นเสียง เป็นกลิ่น เราต้องอ่านใจ อ่านกิเลสเรา แล้วลดกิเลสเรา

นอกจากนี้ เป็นการซักถามเกี่ยวกับ การปฏิบัติศาสนกิจ บิณฑบาต สวดมนต์ และการปฏิบัติ

ต่อมามีผู้ฝากเงินมาให้ มีทั้งผู้ไม่ประสงค์ จะออกนาม ที่อยู่บนรถเมล์ แล้วฝากให้กับเด็ก มาให้

นอกจากนี้ มีหลายคน มาทักถามพ่อท่าน ว่าจำเขาได้ไหม ซึ่งพ่อท่าน จำไม่ได้สักคน

๑๖.๕๙ น. มีนักศึกษามหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิต ได้มาขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน เหตุที่มา ร่วมชุมนุม พ่อท่าน ตอบสั้นๆ ไม่ได้อธิบาย อะไรมาก ว่า เพื่อช่วย ไม่ให้เกิดความรุนแรง

อีกคำถามหนึ่ง ที่หลายคน อยากจะรู้ แต่ไม่มีใครถามอย่างนี้ อยากให้ท่าน ให้โอวาท หรือแนวทาง การแก้ไข กับท่านนายกฯ หน่อย

พ่อท่าน : มิบังอาจ

หญิงมีอายุอีกคน ได้มากราบพ่อท่าน "ท่านมีบุญคุณ กับชีวิตดิฉัน มาตลอด" (ดูหน้าแล้ว ไม่เคยเห็นมาก่อน เข้าใจว่า พ่อท่าน ก็คงจำไม่ได้ ว่าเป็นใคร) พร้อมกับแนะนำ เพื่อนหญิงอีกคน ที่อยู่ในวัย ไล่เรี่ยกัน ว่าเป็นนายทหาร ที่ต่อสู้กับ ความถูกต้อง มาตลอด

๑๗.๒๗ น. คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ได้มากราบพ่อท่าน แล้วกล่าวว่า สิ่งที่พ่อท่าน ทำนี้ ถูกต้องแล้ว และมันจะเป็น บรรทัดฐาน ต่อไปว่า นักการเมือง ต้องถูกตรวจสอบ

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงตนเอง ได้ลาออกจาก กรรมการบริหาร ของพรรค ไทยรักไทย มาได้ ๒-๓ วันแล้ว ไม่ทันได้ สนทนา อะไรกันนัก เนื่องจาก สภาพสถานที่คน ผ่านไปมา นมัสการกันมาก

คุณสมพงษ์ อดีตภรรยา ดร.กู้ศักดิ์ โกมลฤทธิ์ ซึ่งเป็นประธาน มูลนิธิธรรมสันติ คนแรก ได้มานมัสการ แล้วปวารณา จะเอาน้ำดื่มมาให้

มีชายพิการคนหนึ่ง ได้มากราบ แล้วบอกเล่าว่า "ได้เห็นอาจารย์ จากจอทีวี อยากมากราบ"

ริมทางเดิน รอบนอก ด้านหลังที่สมณะนั่ง มีกลุ่มนายตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ ได้มาทักทาย ประชาชน ท่าทีเป็นมิตร และ หยุดคุย กับญาติธรรม ก่อนผ่านเลย ต่อไปจุดอื่น (ทราบภายหลัง ว่าเป็น พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ)

๑๗.๔๐ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน สนทนากัน เล็กน้อย ก่อนคุณสนธิ ขอตัวไปที่เวทีใหญ่
๑๘.๑๑ น. ได้ยินเสียงอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ขึ้นพูดที่เวทีใหญ่ กล่าวถึง การเห็นกงจักร เป็นดอกบัว แม้ผมเอง ก็เคยถูกหลอก มาก่อน

๑๘.๑๓ น. คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ได้มากราบพ่อท่าน ขณะที่เวทีใหญ่ มีนักเรียน เตรียมอุดมฯ ขึ้นกล่าวถึงการมาร่วม
๑๘.๓๐ น. อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ก็มานมัสการ แล้วเอาแถลงการณ์ ที่เพิ่งจะเขียน มาแจก อยากให้เป็น การชุมนุม อย่างอดทน อดกลั้น โดยใช้สติ ปัญญา ความรู้ เป็นพลัง และเห็นว่า พลังธรรมะ จะช่วยให้เกิด ความสงบ สันติได้

๑๘.๕๖ น. พล.ต.จำลอง สนทนากับอาจารย์ไพบูลย์ สักพักใหญ่ๆ ก่อนทั้งสอง จะจากกันไป นักข่าวสนใจ สัมภาษณ์ อาจารย์ไพบูลย์ต่อ

๑๙.๒๔ น. งิ้วธรรมศาสตร์เริ่มแสดง พวกเราไม่เห็น การแสดงบนเวที เนื่องจาก อยู่ในมุมที่ คนยืนฟัง บังเวทีหมด ครู่ต่อมา ได้รับการบอกเล่าว่า ประมาณสามทุ่ม กลุ่มผู้ชุมนุม จะเคลื่อนตัว ไปที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เพื่อความสะดวก ในการทำงาน ของฆราวาส พ่อท่าน กำหนดเวลาสองทุ่ม สมณะ และสิกขมาตุ จะเคลื่อนตัว กลับสันติอโศกก่อน

๒๐.๓๒ น. นักข่าววิทยุ FM ๙๔ ได้โทรศัพท์ มาขอสัมภาษณ์ ถามถึงผลของ การชุมนุม พอใจหรือไม่ อย่างไร และ เรื่องที่คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ได้มากราบ นมัสการ และให้กำลังใจ กล่าวเห็นด้วย ในการตัดสินใจ ทำอย่างนี้ และ จะชุมนุมกัน อย่างนี้ อีกนานแค่ไหน

ถึงสันติอโศก มีสมณะและญาติโยมบางส่วน กำลังเปิดดูรายการ ถ่ายทอด จากสนามหลวง พ่อท่านเอง ก็ขึ้นไป เปิดดูในห้อง ด้วยต้องติดตาม สถานการณ์ เกรงจะเกิดเหตุร้าย ทำให้พ่อท่าน ยังไม่พักนอน อยู่ดูการถ่ายทอด การเคลื่อนขบวน จากสนามหลวง ไปอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย

ประมาณสามทุ่มกว่า ผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนตัว มีขบวนกองทัพธรรม นำหน้า แต่เนื่องจาก กลุ่มคนจำนวนมาก การควบคุม ลำบาก ทำให้มีคน จำนวนหนึ่ง เคลื่อนตัวไปก่อน จากอนุสาวรีย์ฯ เคลื่อนตัวไปต่อ ที่หน้าทำเนียบ ภาพกลุ่มคน จำนวนมาก ที่รายล้อม อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย ดูจะเข้ากับ สถานการณ์ ได้มากกว่า ที่สนามหลวง เป็นภาพ ประวัติศาสตร์ ที่หาดูได้ยาก

ตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อตำรวจกั้น และไม่ยอมให้ขบวน ผู้ชุมนุมผ่าน แล้วมีกำลังทหาร หน่วยปราบจลาจล เคลื่อนกำลังเข้ามา เกรงความวู่วาม ของอารมณ์คน ที่อาจจะเป็นเหตุ ให้เกิดความรุนแรงได้

นอกจาก ASTV ที่รายงานข่าว และภาพตลอดแล้ว ยังมีช่องอื่นๆ รายงานเป็นระยะๆ แม้แต่ช่อง ๑๑ และไอทีวี ที่อยู่ภายใต้ อำนาจของ ท่านนายกฯ แน่นอน ก็อุตส่าห์ ถ่ายทอด รายงานด้วยเหมือนกัน

พ่อท่านดู จนประมาณตีสอง จึงได้พักนอน เพื่อตื่นในเวลา ก่อนตีห้า เดินทางไป บิณฑบาต ให้กำลังใจ กับพวกเรา ที่ไปร่วมชุมนุมด้วย

# # # ๖ มี.ค. ๒๕๔๙ พ่อท่านลุกตื่น ๔.๕๐ น. ออกจากสันติโศก ๕.๓๐ น. เดินทางไป สนามหลวง

เสร็จจาก บิณฑบาตแล้ว นักข่าวหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐได้ขอสัมภาษณ์ พ่อท่านตอบว่า เป็นสิ่งที่ ไม่เกิดเหตุการณ์ รุนแรงเลย เราจะอยู่ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ให้มากๆๆๆ ให้หมดๆๆๆ

นักข่าว : ถ้าการเคลื่อนตัว อย่างสงบอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ พ่อท่านเห็นว่า สันติอโศก จะร่วมด้วยทุกครั้ง ใช่ไหมครับ

พ่อท่าน : เราได้ทดสอบมาแล้วถึงความเป็นคนสงบ สันติ อหิงสา เป็นคุณธรรม หรือคุณภาพ ของกลุ่มชุมนุม ต่อต้าน เป็น ประชาธิปไตยของไทย ซึ่งมีคุณภาพ ขึ้นมาแล้วจริงๆ ชุมนุมมา ๑๘ ครั้งแล้ว ยังสงบเรียบร้อย อย่างนี้ ดี มันจะชนะกัน ด้วยการ แสดงความจริง แสดงความรู้ ให้ประชาชน ได้รู้ขึ้นมาว่า ใครถูก ใครผิด ใครดี ใครชั่ว ใครจริง เขาก็จะเลือกๆๆๆ นั่นคือ ความเห็นของปวงชน เป็นประชาธิปไตย ที่แท้จริง

๘.๑๕ น. พล.ต.จำลอง ได้มาสนทนาเหตุการณ์ การเคลื่อนตัว เมื่อคืน ได้ทำอย่างที่ พ่อท่านว่าแล้ว คนเป็นแสน ไม่เกิด ความรุนแรงอะไร ทั้งๆที่ ตำรวจก็เยอะ แต่ไม่ได้กระทบ กระทั่งอะไรกัน พ่อท่านกล่าวชมว่า ได้ดูอยู่ งดงามมาก

๘.๕๑ น. สวดมนต์เสร็จ พ่อท่านอธิบายถึง การตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้คนที่ผ่านไป ผ่านมา บริเวณนั้น ได้เข้าใจ ไปด้วย จากคำอธิบายถึง การตั้งจิตอธิษฐาน ดังนี้

การตั้งจิต ของตนๆ อธิษฐานไม่ได้แปลว่า "ขอ" อธิษฐานนั้น คือการตั้งใจ -การตั้งจิต "การขอ" นั่นเป็นการกระทำ ในศาสนา แบบเทวนิยม เป็นศาสนาที่ นับถือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับถือพระเจ้า บันดล บันดาล นับถือพลังที่อยู่นอกตัว ก็เป็นอำนาจ ที่จะทำให้เป็นไป บันดาลให้เป็นไป

ศาสนาเทวนิยม เป็นอีกชนิดหนึ่ง ส่วนศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนา อเทวนิยม เป็นศาสนาที่ เชื่อกรรม เชื่อวิบาก ไม่ได้เป็นศาสนา ที่จะเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยบันดล บันดาล คอยกำหนด ทุกอย่างในโลก ในมหาจักรวาล ตามที่ศาสนา เทวนิยม เขาเชื่อถือกัน

ผู้ใดยังไม่เข้าใจ ศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คงจะอธิษฐาน แบบเทวนิยม คืออธิษฐาน แบบขอ อ้อนวอนร้องขอ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้สิ่งที่มีอำนาจ อะไรต่างๆนานา ช่วยบันดล บันดาล อย่างนั้น อย่างนี้ นั่นเป็นการเข้าใจผิด ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ยังไม่เข้าใจ ศาสนาพุทธ เพียงพอ เพราะฉะนั้น การอธิษฐาน ก็ต้องเข้าใจ ในเรื่องของศาสนาพุทธ ให้ถูกตรง ถ้าไม่ถูกตรง ก็ผิดไปเรื่อยๆ

ศาสนาพุทธเชื่อกรรม เชื่อวิบาก แต่ชาวพุทธส่วนมาก ก็ปฏิบัติผิด ตั้งแต่ต้น ที่มีมิจฉาทิฐิ จึงไม่เชื่อกรรม กรรมชั่วกรรมดี ไม่เชื่อ ไม่พึ่งกรรมของตน กรรมเป็นของตนไม่เชื่อ จึงไม่ได้เห็น ความสำคัญ ในเรื่องกรรม ไม่ได้ระวัง เรื่องกรรม ไม่พึ่งกรรม แต่ไปพึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปพึ่งสิ่งที่ไม่ใช่ อำนาจกรรม ไปพึ่งสิ่งอะไร บันดลบันดาล จึงกลายเป็น คนที่เผิน ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักกรรมกิริยา ของตัวเอง ไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อสำรวมสังวร กรรมกริยา ของตนเอง จึงไม่ได้แก้ไข พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คนจึงไม่ได้พัฒนาขึ้นมา ตามศาสนาพุทธ ที่สอนเอาไว้

แม้แต่อธิษฐานนี้ ก็จงอธิษฐานอย่างดี เช่น ณ บัดนี้ เราจะออกมา ปฏิบัติธรรม อย่างมี องค์ประกอบ มีเหตุปัจจัย ที่ลำบาก ตั้งตน อยู่บนความลำบาก เราจะต้องตั้งใจ ที่จะอดทน ตั้งใจเป็นผู้ที่ จะไม่รุนแรง ตั้งใจที่จะไม่ถือสา สิ่งที่มากระทบ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ตั้งใจในสิ่งที่ จะเป็นกุศล ตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม อย่างลึกซึ้ง เท่าไหร่ ก็ตาม แต่ละบุคคล จะพึง มีปัญญา เพราะฉะนั้น การตั้งใจ ตั้งจิต หรือ การอธิษฐานนี้ ก็ขอให้พวกเรา อธิษฐานให้ตรง จะมีอานิสงส์ ถูกต้อง ทั่วทุกคน

๙ นาฬิกาพ่อท่านเริ่มแสดงธรรม จากบางส่วน ที่ให้คะแนน ความสวยงาม ของการเคลื่อนขบวน รวมถึง บอกถึงเหตุผลว่า คนเป็นกลาง ต้องเลือกข้างคนดี ถ้าไม่เลือกข้าง จะเกิดผลเสีย ต่อสังคมอย่างไร ดังนี้

"อาตมากลับไปถึง....โน่น ประมาณ ๓ ทุ่ม แล้วยังดูเขาถ่ายทอด ตลอด นอนเกือบตี ๒ เมื่อคืนนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านไป ดีมาก ให้คะแนน ๙๕ % สวยงาม แล้วก็เป็นไป อย่างเรียบร้อย ราบรื่น สงบ สันติ ดังที่ตั้งใจ ขอให้เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งกลาย "เป็นเช่นนั้นเอง" เถิด จนแข็งแรง มั่นคง "เป็นเช่นนั้นเอง" เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องไปคอยระวัง คอยสังวร

แต่ก่อนนี้เนี่ยนะ ผู้ที่มีฐานะทางสังคม ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ หรือผู้ที่ได้รับ ความเคารพ นับถือในสังคม ไม่ค่อยกล้า ที่จะเลือกข้าง ไม่ค่อยจะออกมา ประกาศตัว ประกาศตน ว่าจะอยู่ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ จะเป็นเพราะว่า หนึ่ง เข้าใจว่า ความเป็นกลางนั้น อยู่เฉยๆ ไม่เข้าข้างไหน อย่าไปแสดงตัวว่า เห็นด้วยกับฝ่ายไหน ซึ่งอาตมาถือว่า เป็นความเข้าใจผิด ความเป็นกลางนั้น ต้องอยู่ฟาก ข้างของคนดี และก็จะต้อง ตำหนิคนชั่ว หรือ ช่วยคนชั่ว ให้หยุดชั่ว กำจัดคนที่ผิด คนที่ไม่ดี แล้วสนับสนุนส่งเสริม อุปถัมภ์ค้ำชู สิ่งที่ดี หรือคนที่ดี นี่เป็นเรื่องสามัญ ที่ผู้มีปัญญา เขาฟัง แล้วเขาก็เข้าใจ ยิ่งในโลก หรือในสังคมนั้น คนที่รู้ดี คนที่รู้ถูก มีน้อย คนที่มีปัญญานี่ จะมีน้อย คนที่ไม่ค่อยมีปัญญา จะมีปริมาณมาก ยิ่งจะต้อง ช่วยฝ่ายดี จึงจะช่วยสังคมได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในสังคม คนก็จะต้องให้ ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่ถูกต้อง แสดงตน ต่อสังคม เพื่อที่จะ ขับเคลื่อนสังคม ให้ดำเนินไป สู่ทิศทาง ที่ถูกต้อง ที่ดี ช่วยข้าง ที่ถูก ผลักดัน ข้างที่ถูกที่ดี ให้หมุน ให้เคลื่อน ไปในสังคม สังคมจึงจะเจริญ สังคมจึงจะอยู่เย็น เป็นสุข

พระพุทธเจ้าท่านก็สอน ให้อยู่ในหมู่คนดี คบคุ้นบัณฑิต คบคุ้น ผู้มีปัญญา อย่าไปอยู่กับ หมู่คนชั่ว คนโง่ บาลีเรียกว่าพาล หรือ พาละ อย่างนี้ เป็นต้น ต้องถือฝ่าย ต้องไปอยู่กับ ฝ่ายดี ต้องผนึกกับ ฝ่ายดี อย่าไปผนึกกับฝ่ายโง่ ฝ่ายชั่ว นอกจาก ให้เลือกฝ่ายแล้ว พระพุทธเจ้า ให้ตำหนิคนผิด หรือ ตำหนิคนชั่ว คนที่ไม่ถูกต้อง ต้องยกย่อง คนที่ถูกต้อง ต้องยกย่อง คนที่ดี สรรเสริญ คนที่ดี อีกด้วย นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง จึงมีความจำเป็น ที่เราจะต้องเลือกข้าง ให้ชัด ตามภูมิปัญญาเรา อันนี้บังคับเรา ไม่ได้หรอก ใครจะเลือก ข้างไหน ก็เป็นสิทธิของเขา ตามภูมิปัญญาของเขา เพราะฉะนั้น ผู้ใด ที่ไม่เลือกข้าง มันก็จะเกิดอึมครึม หรือเรียกว่า มันก็จะระบม อยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่มี การตัดสิน หรือไม่ทำ ให้สำเร็จจบ มันไม่มีเรื่องที่จะ สุดสิ้น และมันก็จะ ทรมาน ทรกรรม ปวดร้าว ระบมเจ็บ เพราะไม่มีอะไร ที่จะเป็น การชี้ชัด เป็นการตัดสิน จนกระทั่ง ส่วนที่ดี ที่ถูกนั้น มีน้ำหนัก มีพลัง ถึงขั้นชนะ มันก็ไม่เกิด

คนที่ไม่ดีนี่นะ จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่งามได้ วิธีขี้โกง คนชั่วจะทำได้ เขาจะผนึกกัน ทำแต่สิ่งที่ เลวร้ายได้ แม้เขาจะเห็น อย่างที่ เขาทำนั้น ว่ามันไม่ถูก เขาจึงไม่ดีจริงๆ โดยสัจจะ และเขา จะทำร้าย ทำเลวได้ด้วย ส่วนคนที่ทำดี ทำถูกต้องนี่ จะทำชั่ว ไม่ได้ ทำเลวทำร้ายไม่ได้ จึงต้องเจ็บปวด ถูกฝ่ายคนชั่ว ทำร้ายเอาได้ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็น ที่จะต้อง ผนึกพลังฝ่ายดี ให้มีพลัง เท่าเทียมกัน หรือว่ามีพลัง มากกว่า ฝ่ายชั่ว จะเกรงคร้าม ไม่กล้าที่ จะเข้ามาปะทะ

จริงๆลึกๆในคนนี่นะ ถ้ามันไม่วิปริต หรือไม่โง่ ไม่เป็นอเวไนยสัตว์ จริงๆแล้ว เขารู้ แม้แต่โจรนี่ เขาก็รู้ว่า ดีนี่ เป็นสิ่งที่ ควรส่งเสริม เพราะฉะนั้น คนทำดี แม้ไม่มี ปริมาณมาก ก็จะชนะ น้ำหนักของความดีนี่ จะมีคุณลักษณะของ น้ำหนักสูง เปรียบประดุจดัง ปรอท ส่วนความไม่ดีนี่ มันจะเปรียบเหมือน กับโฟม แม้มัน จะมีมาก มีมวลก้อนโต มีเยอะ แต่น้ำหนัก สู้ปรอทไม่ได้เลย"

๑๐.๑๖ น. นักข่าวของ ASTV ขอสัมภาษณ์ จากบางส่วน ของการสนทนา ดังนี้
นักข่าว : ที่กองทัพธรรม จะอยู่เป็นหลัก แล้วส่วนอื่น ให้กลับไปทำงาน เย็นก็มาร่วม ชุมนุมกันต่อ ยุทธศาสตร์อย่างนี้ เป็นอย่างไร

พ่อท่าน : เนื้อหาที่เราเห็นว่า ต้องการให้เกิดความสำเร็จนี้ มันเป็นมิติใหม่ เราต้องการ สภาพความสำเร็จ ด้วยความจริง กับความรู้ ถ้าเราจะชนะ จะชนะ ด้วยความจริง กับความรู้ ที่ยืนยัน กับประชาชน อย่างชัดเจน แล้วประชาชน จะมาผนึก เป็นมวล ส่วนใหญ่เอง การที่คุณทักษิณ ยังอยู่ได้ ทุกวันนี้ ก็เพราะ หนึ่ง...มีอำนาจทางรัฐ สอง...มีอำนาจ ที่ตนเอง ได้กระทำ ไว้แล้ว ทำให้ผู้ใต้บริหาร จะเกรง สาม...สิ่งที่ยังติดยึดอยู่ ในวัฒนธรรม ในจารีต ของสังคมบริหาร ก็ยังเหลืออยู่ โดยเฉพาะ เงินยังเหลืออยู่เยอะ แต่การประท้วง คราวนี้ เป็นประชาธิปไตย มิติใหม่ และ คงจะยาวนาน มันไม่ใช่วิธีการ อย่างเก่า ที่รุนแรง ฆ่ากันตาย ตัวการต้องตายด้วย รีบเผ่นหนี ออกจากประเทศ อย่างมาร์กอส นี่มันเป็น เวอร์ชั่น เก่าแล้ว มันน้ำเน่า เราจะประท้วงกัน อย่างคลาสสิกขึ้น คือเราจะต้องยืนยัน เรามา อยู่เป็นหลัก เพื่อยืนยัน ให้เห็นความสงบ ความเรียบง่าย ความเกื้อกูลกันได้ อยู่กันอย่างมี ราชธรรม หรือ ทศพิธราชธรรม เป็นธรรมะของ คนชั้นสูง เราจะมีกันจริงๆ ตั้งแต่ มีทาน การให้ มีศีล มีการเสียสละ ปริจจาคะ...

เมื่อเราเป็นตัวหลัก ที่จะอยู่ให้ยืนยาว อาตมาจึงมียุทธศาสตร์ว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกัน ออกมา ให้มากๆๆ ให้หมดๆๆ อยู่กันยาวได้ และทุกคน ก็จะอยู่กัน อย่างสงบ อย่าร้อนแรง อยู่อย่างเย็น อย่าใจร้อน และไขความจริงออกมา ให้มากๆ เอาผู้รู้ ผู้มีหลักฐาน มายืนยันกับสังคม นี่ไงผิด นี่ไงไม่ดี จนคุณทักษิณ จำนน จะจำนนเพราะ ประชาชน มากันมากๆ ตามหลัก ประชาธิปไตยก็ตาม หรือจำนนเพราะ คุณทักษิณ จำนนกับความจริง และเป็นผู้ที่ จะต้องถอย

นักข่าว : เมื่อวาน ท่านประพัฒน์ได้มาสนทนากับท่าน แล้วมาขอคำปรึกษา อะไรบ้างคะ
พ่อท่าน : คุณประพัฒน์ก็รู้จักกันมาก่อน ก่อนจะไปช่วยงาน กับคุณทักษิณ เมื่อเกิดการ เลือกฝ่ายแล้ว ก็มาแสดง การเลือก ฝ่ายด้วย ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงมาบอก มายืนยันว่า ได้ออกแล้ว

นักข่าว : ท่านประพัฒน์ มีลักษณะอย่าง คุณทักษิณหรือเปล่า
พ่อท่าน : ถ้าเหมือน ก็ต้องอยู่กับคุณทักษิณแล้ว

นักข่าว : ที่มีข่าวว่าคุณประพัฒน์ออกมา เพราะน้อยใจ ไม่มีชื่ออยู่ใน ปาร์ตี้ลิสต์
พ่อท่าน : ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลย จะจริงหรือไม่จริง ก็คาดคะเนกันไปได้ ถ้าคุณประพัฒน์ จะออกมา เพราะน้อยใจ อย่างนี้ มันก็ไม่ดี เป็นอิตถีภาวะ แต่ถ้าคุณประพัฒน์ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องของ คุณประพัฒน์ จะไปเถียงกันทำไม

อย่างอาตมา ทำงานมา ๓๖ ปีแล้ว ถูกว่ามาตลอด เขาก็ด่าอาตมา ออกมาอย่างนี้ ก็มีคน ด่าอาตมา แต่อาตมา ไม่มีปัญหาหรอก อาตมาใช้ภูมิปัญญา ของอาตมา อาตมาก็ ตรวจดูตนเอง อาตมาทำงานนี้ เพื่อลาภ เพื่อสรรเสริญ หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ อาตมาว่า อาตมาทำงาน เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อมนุษยชาติ

ขอสรุป เข้าหาเป้า มาที่การชุมนุมมิติใหม่ ที่ไม่เกิดเหตุร้าย รุนแรง ไม่เสียเลือด เสียเนื้อเลย แล้วสามารถ ให้สำเร็จผล จนท่าน นายกฯ ลาออกไปได้ อย่างนี้ ยอดเยี่ยม ต่อให้จัด โอลิมปิก ๑๐ ครั้ง แล้วมีชื่อเสียง ไปทั่วโลก ก็สู้ประชาธิปไตย อย่างนี้ไม่ได้ ประท้วงท่านผู้นำ แล้วไม่เกิดเหตุร้าย รุนแรงอะไร

๑๓.๐๐ น. คุณโสภณ สุภาพงษ์ ได้มาสนทนาด้วย มีประเด็นที่คุณโสภณ บอกเล่าว่า ได้เสนอ ให้คุณทักษิณ ออกบวช และตนยินดี จะเป็นอุปัฏฐากให้

๑๓.๓๐ น. ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ได้มาสนทนา และนำรายชื่อ ที่ราชนิกูล ร่วมกับ นักวิชาการ ถวายฎีกา พร้อมกับ หนังสือพิมพ์ อีกหลายฉบับ ให้พ่อท่าน ใช้เวลา ชั่วโมงเดียว ได้รายชื่อมาตั้ง ๖๐ ท่าน มี ส.ว. ๑๐ กว่าคน มีอาจารย์ ชัยอนันต์ อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นผู้ช่วย ประสานงาน แต่อาจารย์ ไม่ได้เป็นคนยื่น คนยื่น เป็นหม่อมราชวงค์ยง ยุพลักษณ์ กับอาจารย์ หมอมงคล ณ สงขลา ที่เป็นอดีต ปลัดกระทรวง สาธารณสุข นะครับ นอกจากนี้ มีหมออาวุโส หมอไพโรจน์ หมอบรรลุ

ข่าวหนังสือพิมพ์ตอนนี้ ขายหมดแผงเร็ว เสนอข่าวมากขึ้น แต่โทรทัศน์ ยังไม่ค่อยจะเสนอ ที่น่าสนใจ ก็คือ แม้แต่ หนังสือพิมพ์ เรื่องหุ้น ก็เสนอข่าวนี้ โบรกเกอร์บอกฝรั่ง อย่าเพิ่งเข้ามา ให้ Wait and see

พ่อท่านเสนอ "การประท้วง ต้องมีมิติใหม่ อย่างที่เป็นมาทั้งหลาย มีสไตล์เดียว คือแรงๆๆๆ อยู่ไม่ได้ คือปะทะ ขับไล่ ฆ่ากันตายไปเลย หรือไล่หนี ออกประเทศ ไปเลย มันมีมา ตั้งแต่สมัย จูเลียตซีซ่า เจงกีสข่าน จนถึงวันนี้ อาตมาว่า ประเทศไทย จะเริ่มต้นได้สวย ที่จะใช้ปัญญา และความจริง เป็นตัวที่จะนำ ไปสู่ ชัยชนะ อาตมาเลย ออกโศลกมาว่า ให้กลุ่ม พันธมิตรฯ อยู่กันอย่าง ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกันออกมา ให้มากๆๆ ให้หมดๆๆ อย่างที่อาจารย์จัด อยู่ที่ สหัสวรรษ นั่นแหละ เอาผู้รู้ เอาผู้ที่มีหลักฐาน ความจริง มาเปิดเผย มาระบายก็ได้ เพราะผู้ใหญ่ พูดออกมา มีน้ำหนัก หรือนักวิชาการ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ก็ไขความจริง กันออกมา จะได้มีหน้าใหม่ๆ ขึ้นเวทีบ้าง แทนที่จะมีแต่ หน้าเก่าๆ เสียงจะหมดอยู่แล้วด้วย"

๑๖.๕๐ น. หนังสือพิมพ์อเมริกาฉบับหนึ่ง ได้มาขอสัมภาษณ์
มีประเด็น คำถามหนึ่ง ที่ถามว่า ถ้านายกฯ คนนี้ออกไป คนอื่นมา ก็จะทุจริตอีก แล้วเราจะทำอย่างไร

พ่อท่านตอบประเด็นนี้ว่า คำถามนี้ เหมือนจะเป็น การเข้าข้าง ท่านนายกฯ ว่า คนอื่น ก็เหมือนกัน ที่จริงไม่เหมือนหรอก ใครก็ได้ ที่โง่กว่านี้ ก็ยังได้ บ้านเมือง จะไม่หมดเนื้อ หมดตัวเท่า จะเหมือนอาเยนตินา ได้เร็วกว่าคนอื่น มาบริหาร มันเป็น ความล้มเหลว ของสังคม อย่างมาก ถ้ารู้ว่า ผู้นำทุจริต แล้วยังปล่อยให้ บริหารประเทศต่อ โดยไม่ทำอะไร ด้วยคิดว่า คนอื่นมา ก็ทุจริตเหมือนกัน เท่ากับเรา งอมืองอเท้า จำนนกับ ภาวะอย่างนี้ ต่างคน ต่างเอาตัวรอด ปล่อยให้มัน เป็นไปตามยถากรรม ทั้งๆที่ เราก็พอจะคัดค้าน ทักท้วงได้

ผู้ที่รู้ว่าเกิดการทุจริตขึ้นในสังคม แล้วไม่ทำอะไรเลย เป็นไปได้ว่า คนๆนั้นก็คือ คนที่มีพฤติกรรมทุจริต หรือ เคยทุจริตด้วย หรือไม่ก็เป็นคน ที่เห็นแก่ตัว หนีเอาตัวรอด เพราะกลัวว่า ถ้าทักท้วง หรือมาร่วมคัดค้าน ตนเอง จะเหนื่อยยาก ลำบาก หรือ อาจกลัว ผู้มีอำนาจ เล่นงานกลับ เพื่อความอยู่รอดของตน จึงยอมให้สูญเสีย ผลประโยชน์ ของชาติ ของสังคม มากกว่า ยอมเสีย ผลประโยชน์ของตน นั่นคือ คนที่เห็นแก่ตัวแท้ๆ ไม่ใช่ คนเป็นกลาง อะไรหรอก แท้จริงคือ คนเป็นกลัว คนเช่นนี้ มีอยู่เยอะ ในสังคม การทุจริต คอรัปชั่น จึงเต็ม ผืนแผ่นดินไทย เพราะมีคนที่คิด และทำเช่นนี้ วังวนของ การทุจริต จึงยังดำรงอยู่ ในสังคมไทย

นักข่าว : เมื่อเรามีปัญหาเรื่องจริยธรรม ของนักการเมือง เราจะทำอย่างไร จึงจะเหลือน้อย หรือหมด ไปได้ครับ

พ่อท่าน : เราก็สร้างคนอยู่ตลอดเวลา อาตมาเห็นว่า ความดีที่สุดก็คือ ต้องมา สร้างคน ให้มีคุณงาม ความดี มีจริยธรรม หรือ ลดกิเลสให้ได้ จริงๆนี่แหละ อาตมาถึงได้มา ทำงานอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยมาก ยากมาก แต่ดีที่สุด อาตมาเต็มใจ เลือกงานนี้ ต้องสร้างคน ขึ้นมา ให้เป็นคน ที่ดีจริงๆ ขึ้นมาให้ได้ อย่างสุด ความสามารถ ก็ช่วยกัน

๑๗.๑๕ น. คุณหนึ่งแก่น บอกเล่าข้อมูล ที่ได้จากเพื่อน ที่เป็นทหารว่า ทักษิณ จะปฏิวัติตนเอง โดยอาศัยทหาร ที่คุมกำลังพล ซึ่งเป็นเพื่อน รุ่นเดียวกัน เขาจะอ้าง สถานการณ์ ที่ประชาชน แบ่งเป็นสองฝ่าย เมื่อราชนิกูล และ นักวิชาการ ถวายฎีกา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็ถวายฎีกา ให้มีการเลือกตั้ง วันที่ ๒ เมษายน เช่นกัน

๑๘.๔๕ น. มีข่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามพระบรมราชกุมารี เสด็จ วัดพระแก้ว ทำให้เสียงจาก เวทีใหญ่ ต้องยุติลงไป ชั่วคราวก่อน พ่อท่าน เดินไปคุยกับ พล.ต.จำลอง เกี่ยวกับข้อมูล ที่ได้รับมาจาก คุณหนึ่งแก่น โดยมีคุณไชยวัฒน์ ตามไปสมทบ

๑๙.๑๐ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้พากันมา นมัสการพ่อท่าน
คุณสนธิ : จะมากราบขอบคุณ พวกญาติธรรมทั้งหลายนะฮะ ทุกๆท่านนะฮะ
พ่อท่าน : ไม่ต้องห่วง ตั้งใจเต็มที่
คุณสนธิ : อยากบอกทุก ๆ ท่านว่า เป็นความสวยงาม ที่ไม่รู้จะบรรยายยังไง
พ่อท่าน : มันเป็นปรากฏการณ์ใหม่

คุณสนธิ : มันเป็นธรรมนะฮะ
พ่อท่าน : มันเป็นธรรมแล้วอาตมาว่า ตั้งแต่คุณทำมา ตั้งแต่ครั้งที่ ๑ จนถึงครั้งที่ ๑๕ วันที่ ๑๑กุมภาพันธ์ อาตมา ก็ดูมาตลอด โอ้โห ความงดงามของ ประชาธิปไตย เมืองไทย มันเกิดนิมิตใหม่ ขึ้นแล้ว เพราะ ๑๕ ครั้ง มันไม่มี ความวุ่นวาย ไม่จลาจลขึ้นเลย แม้ ๔ กุมภาฯ ๑๑ กุมภาฯ ซึ่งมันก็ล่อแหลม มันก็สามารถ เกิดขึ้นได้ อย่างงาม พอดีวันที่ ๑๒ ถึง วันที่ ๑๘ กุมภาฯ พวกอาตมา ไปพุทธาภิเษก กันพอดี ที่ศาลีอโศก คนก็มาร่วม เป็นพัน เป็นงานประจำปี เราก็เลย มาคุยกันว่า เอ๊..ตอนนี้ มันเกิดแบ่งฝ่าย...ไบโพลาร์ ขึ้นแล้ว ชัดเจน เราก็จำเป็นที่จะต้อง เท็กไซด์ (เลือกฝ่าย) ก็เลยต้องคุยกัน อ้าว.. ก็ดูข้อมูลกัน ใครมีอะไร ก็รวบรวมกันมา พิจารณา ที่จริงมันก็ ไม่ต้องข้อมูล มากมายอะไร มันก็รู้ๆ อยู่แล้ว ก็เลยตกลงใจกัน คุณจำลอง จึงออกมาประกาศตัว แล้วครั้งที่ ๑๖ ผ่านไป โอ้โฮ ไม่มีปัญหาอีก สวยงามอีก แม้ครั้งที่ ๑๗ วันที่ ๕ ผ่านมา ก็ผ่านไป อย่างสวยงาม สงบ สันติ อาตมา จึงมาได้คิดว่า มันเป็นความดีงามวิเศษ ของ ประชาธิปไตย หากทำให้สำเร็จ อย่างสันติ อหิงสา ได้เป็นประสิทธิผล มันจะบันทึกเป็น Best Record หน้าหนึ่ง ของประวัติศาสตร์ การเมือง ประชาธิปไตย ทีเดียว เพราะว่า มันทำได้ มาถึงขนาดนี้แล้ว ให้มันงดงาม ไม่ให้เกิด การปะทะ รุนแรง เพราะว่า ประวัติศาสตร์ การโค่นหัวหน้า ปกครองประเทศ ลงมา ตั้งแต่สมัยซีซ่าร์ เจงกีสข่าน ฮิตเลอร์ ไหนๆ มาจน กระทั่งถึง ปัจจุบันนี้ เลือดนองแผ่นดิน ต้องเสียเลือด เสียเนื้อทั้งนั้น

คุณสนธิ : จริงๆ มันมีอีกนัยยะหนึ่งนะ พ่อท่าน คือ ผมกำลังจะบอก ภาคประชาชนว่า เราเนี่ย เสียธรรมไม่ได้ ต้องทำ เพื่อความจริง เพื่อสัจธรรม
พ่อท่าน : ใช่
คุณสนธิ : ความจริงมันเป็นยังไง เราต้องยอมรับ แล้วก็ความจริงเนี่ย มันไม่เข้าข้างใคร
พ่อท่าน : ความจริง ไม่มีใครไปเบี้ยว ไม่มีใครไปแปลง!

คุณสนธิ : ผมสู้นะ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมนี่จะเป็นคน ซึ่งเข้าใจอะไรดี แล้วผม ไม่ยึดติด กับรูปแบบ ที่จะต่อสู้ ดูเหมือน จะไม่เคยมี
พ่อท่าน : ไม่ทุกข์ด้วย
คุณสนธิ : เมื่อมันเป็นความจริงแล้วนะฮะ ก็ยึดความจริงนั้น เป็นหลัก รูปแบบ มันเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำหรับผม
พ่อท่าน : แต่คนเขาอาศัยรูปแบบ ในการต่อสู้ เป็นตัวอาศัย เหมือนกันนะ

คุณสนธิ : ตรงนั้นก็คือส่วนหนึ่ง ซึ่งพยายามสู้ เมื่อตายไปแล้ว หวังว่าตรงนี้ อาจจะดีขึ้น ก็เลยอุทิศตัวเอง เพราะความจริง ที่สู้นั้นเนี่ย มันมาได้ หลายนัยยะ ความจริง ในทางการเมือง ความจริง ทางการปฏิบัติตัวเอง ความจริง ทางศาสนา ความจริง ในเรื่องของ การเคารพผู้อื่น เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยู่ใน สัจธรรม ตรงนี้ได้นี่ เท่ากับ เราเอา พระธรรม ของ พระพุทธเจ้า ขึ้นในสังคมไทย อันนี้คือสิ่งที่ผมสู้ แต่ว่าผมไม่ได้ ไปพูดกับใคร ผมคิดว่า ถ้าผมไปพูดกับคน ซึ่งเขาไม่ค่อยเข้าใจ เขาจะไม่เข้าใจ เขามองว่า ผมนี่สู้เพื่อ ให้ประชาชน ได้รับทราบ ความจริง เรื่องรัฐบาล แต่จริงๆ นัยยะ ที่ลึกลงไป ก็คือ ให้ประชาชน มีปัญญา

พ่อท่าน : อันนี้แหละ ซึ่งอาตมาก็บอกว่า คราวนี้นี่ เราควรจะใช้นโยบาย ไขความจริง กันออกมา ให้มากๆ ให้หมดๆ
คุณสนธิ : ครับ

พ่อท่าน : การที่มีผู้ที่รู้ความจริง มีความรู้ พากันออกมา ผนึกกัน ปรากฏการณ์ คราวนี้นี่ มันประหลาดที่สุด
คุณสนธิ : ครับ
พ่อท่าน : ผู้รู้ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ ออกมา ผู้ที่เป็นที่เคารพนับถือ ของสังคม ผู้ใหญ ่ของสังคม ออกมา อาตมา พูดภาษา ไม่ค่อยงามเท่าไหร่ ออกมาอย่าง หมูไม่กลัวน้ำร้อน กันแล้ว ยังไม่เคย มีปรากฏการณ์ เกิดขึ้นเช่นนี้ มาก่อนเลย
คุณสนธิ : ถูกต้อง

พ่อท่าน : เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า คราวนี้นี่ โอ้โฮ!..ประชาธิปไตย เมืองไทยนี้ งดงาม อาตมา อยากให้มัน เกิดขึ้นมา เป็นสิ่งหนึ่ง ในโลก ถ้าใครทำได้นี่ อาตมาว่า เยี่ยม
คุณสนธิ : ก็หวังว่า จะช่วยๆกันทำ
พ่อท่าน : นี่แหละ ถ้าเผื่อว่า เราจะใช้วิธีนี้ อย่าไปกดดันกัน ให้เกิดการเสี่ยง ต่อการที่จะให้เกิด การปะทะกัน ขึ้นมา
คุณสนธิ : ถูกต้องครับ
พ่อท่าน : ให้สันติ อหิงสา ให้ได้จริงๆเลย โดยให้เกิดความรู้ พิสูจน์ความจริงกัน สื่อความจริงกัน เพราะฉะนั้น ผู้รู้ทาง เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์หรือ มีศาสตร์อื่นๆ ก็เอามาพูดกัน
คุณสนธิ : ถูกต้องครับ

พ่อท่าน : เอามาอภิปราย มาพูดเลย ตอนนี้ ท่านผู้อยากพูด ก็มีขึ้นเยอะแล้ว เอามาเลย อย่างที่ ดอกเตอร์วุฒิพงษ์ ทำที่เอเอสทีวี ถ่ายทอด นั่นแหละ ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว อาตมา ก็ตามดู โอ... .เอาอันนั้นแหละ มาแฉ ทุกคนพูดออกมา อื้อฮือ มันเป็นเนื้อ ๆ ทั้งนั้นเลย วิเศษเลย นั่นแหละ เอามาเปิดที่นี่ ออกไป อีกๆๆ ให้ประชาชน ได้รับ ซับทราบ เพิ่มเติมขึ้นมา อาตมาว่า ถ้าจำนน ด้วยเชิงปัญญา อย่างนี้ดีกว่า ไม่ใช่เอากำลัง เอาอำนาจ แล้วใช้ ความรุนแรง แต่เราต้อง เอาปัญญา ความรู้ กับความจริง สุดท้าย จำนนด้วยความจริง อันนี้อาตมาว่า จะชนะสวยที่สุดเลย
คุณสนธิ : พ่อท่าน ผมกราบลาไปทำงาน
พ่อท่าน : เอาเลย ก็ให้มีกำลังวังชา แข็งแรง

๒๐.๓๐ น. ขณะกำลังนั่งรถกลับสันติอโศก เปิดวิทยุฟัง รายงานข่าว จากคลื่น FM ๙๔ เป็นการระบาย ระเบิดของ พล.ต.อ. อชิรวิทย์ สุวรรณเภสัช เรียกร้อง ให้ทุกฝ่าย หันหน้า เข้าหากัน

พ่อท่านพักนอน ในเวลาสามทุ่มกว่า

# # # ๗ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่สนามหลวง การแสดงธรรม ก่อนฉันอาหาร วันนี้ มีประเด็น ที่พ่อท่าน กล่าวถึง เรื่องผู้ใหญ่ ที่จริง ควรยอมแพ้ให้เป็น ขอนำบางส่วน มาถ่ายทอด ดังนี้

นานาสังวาสนี่ สุดยอดแห่งประชาธิปไตย สุดยอดแห่ง สังคมศาสตร์ สุดยอดแห่ง นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เพราะธรรมชาติ ของคน มันต้องมี ความเห็น ที่ต่างกันได้ บังคับไม่ได้ ที่สุดแห่งที่สุดแล้ว มันก็เห็นต่างกัน เมื่อเห็น ต่างกันแล้ว จะปฏิบัติ อย่างไร ก็แยกกันอยู่ ปฏิบัติ ตามที่เราเห็น เราเชื่อ เหมือนอย่าง ในสังคม ผู้ที่ถือ ศาสนา ต่างกัน ก็เห็นต่างกัน แต่ก็อยู่ ร่วมกันได้ มีอะไรที่จะ สัมพันธ์กัน ที่จะสร้างสรร ร่วมกัน ก็ร่วมกันได้ ส่วนในเรื่องของ การนับถือ ศาสนา นับถือศาสดา ของแต่ละองค์ ก็ปฏิบัติกันไป

คำสั่งสอนของศาสดาทุกพระองค์ แต่ละศาสนา สอนให้คนดี สอนให้สังคม เป็นสุข ทุกศาสนา แต่มีแนวคิด ต่างกัน หลักเกณฑ์ ต่างกันบ้าง แต่ก็จะไปสู่ผล แห่งความสงบ ร่มเย็น เป็นสุขกันทั้งนั้น

แม้ศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาที่มีโลกุตรธรรม ก็ตาม โลกียธรรม ก็สอดคล้องกับ ศาสนาอื่นหมด กุศลธรรม- อกุศลธรรม เป็นสมมุติสัจจะ เหมือนกันหมด แต่โลกียธรรม ในศาสนาพุทธนี่ มีการยืดหยุ่น มากกว่า เพราะพุทธไม่ยึดมั่น ถือมั่น และ ไม่ใช่เหลาะแหละ ยอมยืดหยุ่น เมื่อคราที่ จะต้องยืดหยุ่น พุทธจึงเป็นศาสนา ที่สุดยอด คือ "แพ้ก็ได้" เช่น สมณะโพธิรักษ์ เป็นต้น แพ้มานักแล้ว แต่ก็ยังสดชื่น เป็นสุข แพ้ก็แพ้ ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง

สรุปแล้ว คนเราต้องแพ้ให้เป็น เย็นให้ได้ ถ้าแพ้ไม่เป็น เย็นไม่ได้ ไม่เป็นความสุข นอกจาก ไม่สุขแล้ว สังคมก็สงบไม่ได้ ถ้าแพ้ไม่เป็น คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องมีลีลา ที่แพ้ อย่างสวยงาม แพ้แล้วทุกอย่าง ก็สงบเรียบร้อย เป็นไปด้วยดี และ ก็ไม่เสียธรรม เราก็ไม่ดูถูก ดูแคลน แน่นอน คนที่ไม่มีปัญญา ก็อาจจะเห็นเพี้ยน เห็นผิดไป ตอนแรกๆ ก็อาจจะ เข้าใจผิด เห็นว่า เราไม่ถูกต้อง ไม่ยอมรับเรา ดูถูกดูแคลนเรา ก็เป็นได้ แต่การดูถูก ดูแคลนนี่ มันเป็นแบบฝึกหัด มันเป็นโจทย์ ของมนุษย์ ที่จะต้อง ได้รับด้วยบ้าง แล้วเราก็จะ ได้ปฏิบัติธรรม คนดูถูกดูแคลนเรานี่ เราจะมีอัตตา มานะมั้ย เขาจะข่มเรา เขาจะด่าเรา แล้วเราก็จะ เสียใจมั้ย คนเคยเคารพ แล้วก็ไม่เคารพ หรือคนไม่เคารพ ด่าทอ อย่างหยาบ อย่างแรง อย่างนี้ เป็นต้น เมื่อเราได้รับคำด่า คำต่อต้าน อย่างแรงๆ คำดูหมิ่น ดูแคลนอะไร ก็ตาม เราจะวางใจได้มั้ย เราจะโกรธ เคืองมั้ย อาการที่ไม่ชอบใจ จะขึ้นมั้ย เป็นโจทย์ของจริง

เจอโจทย์นั้นแล้ว ก็ทำโจทย์ได้สำเร็จ ชนะ หลายครั้ง เจอห้าครั้ง สิบครั้ง ร้อยครั้ง ก็ได้ บางคน อาจจะต้อง เจอถึงร้อยครั้ง พันครั้ง บางคนเจอ ไม่กี่ครั้ง ก็บรรลุธรรมได้ นิ่งสนิท หมดวิบาก ขนาดพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว องค์สมณะโคดม ก็ยังมีคนมาด่า มีคนเอาเหล้า มอมช้าง นาฬาคีรี แล้วก็ไล่ช้าง เข้าไป ให้ทำร้าย พระพุทธเจ้า อย่างนี้ เป็นต้น ขนาดพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีสิ่งที่ จะทดสอบ สิ่งที่จะรุนแรง มันเป็นธรรมดา ของมนุษย์ สังสารวัฏ โดยเฉพาะ กรรม วิบาก เพราะฉะนั้น คนอย่างพวกเรานี่ เจอแค่นี้ๆ ปัดโธ่ LITTLE มาก SMALL

หลังฉันอาหารแล้ว มีคนมาจากอเมริกาบ้าง จากต่างจังหวัด ไกลๆบ้าง ได้มานมัสการ ด้วยความเป็นห่วง ในสถานการณ์ บ้านเมือง แล้วขอบริจาคเงินช่วย ในการชุมนุม

๑๖.๑๓ น. มีชายไม่คุ้นหน้า เข้ามากราบ แล้วบอกข่าวว่า แถวเยาวราช มีป้ายใหญ่ๆ ติดไว้ว่า สันติอโศก ไม่ใช่พุทธ
๑๖.๒๕ น. อาจารย์ธรรมศาสตร์ ฝากหนังสือ มากับญาติธรรม ให้มาถวายพ่อท่าน หน้าปก มีข้อความว่า อหิงสธรรม กับ อภัยทาน
๑๘ นาฬิกาเศษ ผู้สูงอายุคนหนึ่ง นำเอกสารที่ตนทำ มาแจกให้พ่อท่าน และสมณะ
๑๘.๒๐ น. อาจารย์สุขุม อัตตวาวุฒิชัย ได้มานมัสการ และสนทนาด้วย ต่อด้วย คุณไชยวัฒน์ ขณะที่รายการที่เวที กำลังพูด เสียงดังมาก
ก่อนหนึ่งทุ่ม ที่เวทีพันธมิตรฯ คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้มาอ่านบทกวี และเอื้อนเอ่ย นิราศ

๑๙.๐๕ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน อย่างที่เคยทำทุกวัน ประเด็น สนทนาวันนี้ คุณสนธิบอก ...เดี๋ยวจะขึ้นเวที อธิบาย ให้ประชาชน เข้าใจถึง อหิงสา อีกครั้ง เพราะว่า มีคนที่ค่อนข้าง ที่จะมีความรู้สึก อารมณ์ร้อน ไปหน่อย ว่าทำไม ถึงไม่แตกหัก ต้องอธิบาย อีกทีหนึ่งว่า จริงๆแล้ว ชัยชนะ ที่สมบูรณ์แบบ คือชัยชนะ ที่ไม่เสียเลือดเนื้อ และที่สำคัญ ก็คือว่า มันจะเป็นการสะท้อน หลักธรรม ที่แท้จริง ให้เห็นว่า เราเนี่ย เข้าใจธรรม และก็ต้องอธิบาย ให้เขาฟังว่า ไอ้การแตกหักแล้วเนี่ย เนื่องจากโลกนี้ มันชอบแตกหัก มันถึงไม่มี ความสงบ เราต้องเอา วิธีการของเรา เป็นตัวอย่าง ให้เขาเห็น ผมจำเป็น ต้องอธิบายขึ้นมา เพราะว่า หลายๆคน ไม่เข้าใจ มีความรู้สึกว่า โอ้ย คนตั้งเป็นแสน ไปถึงทำเนียบ แล้วทำไม ไม่ไปปะทะ ผมบอกว่า ก็มัวแต่ไปคิด แบบนั้นน่ะซี้ มันถึงไม่เข้าใจกัน

พ่อท่าน : นิยายบทเก่า นั่นนิยายน้ำเน่าเก่าๆ ไอ้ที่มันล้มกันด้วย วิธีแตกหัก วิธีต้องสูญเสีย ต้องทำร้าย จนถึงขั้นรุนแรง มันต้องเอา สายคุณค่า สายความดีงาม และก็จำนน กันด้วยความดีงาม อันนี้เราจะ... อื้อฮือ... จะวิเศษมากเลย

คุณสนธิ : ก็เพราะมันชอบความแตกหัก มันก็เลยไปยึดถือ อำนาจกันไงฮะ พอไปแตกหักปั๊บ พอชนะ เพราะแตกหัก ทุกคนก็เลย แย่งอำนาจกัน เพราะใคร มีอำนาจมากกว่า คนนั้นก็ชนะ

พ่อท่าน : อำนาจไม่สามารถเป็นธรรม ให้ธรรมเป็นอำนาจ ใช่

คุณสนธิ : มากราบพ่อท่าน ว่าเดี๋ยวขออนุญาต เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน

๑๙.๕๐ น. มีคนแต่งตัวมีระดับ มาขอบริจาคเงิน ช่วยการชุมนุม และขอหนังสือ จากนั้น มีผู้มาเสนอ อยากให้กองทัพธรรม เป็นแกนนำ ในการทำหนังสือ ให้ประชาชน มาร่วมกันลงชื่อ ถวายฎีกา ภาคประชาชน เพราะนักวิชาการ เขาก็ทำแล้ว ราชนิกูล เขาก็ทำกันแล้ว น่าจะมีการถวายฎีกา ภาคประชาชนบ้าง
พ่อท่าน มีท่าทีตอบรับ รับไว้พิจารณา

กลับถึงสันติอโศก พ่อท่านพักนอน ขณะที่สมณะและญาติโยม ส่วนหนึ่ง ยังคงเปิดดู รายงานข่าว ของการชุมนุม ที่สนามหลวง จนเลยสี่ทุ่มแล้ว ก็ยังคงดู รายการของ ASTV

# # # ๘ มี.ค. ๒๕๔๙ ขณะเดินทางไปสนามหลวง ได้เล่าให้พ่อท่านฟัง เรื่องที่สมณะ ธาตุดิน บอกข้าพเจ้า เมื่อคืนว่า คุณ ส. (สหายที่เคยร่วม อุดมการณ์ในป่า หลังเหตุการณ์ เดือนตุลา'๑๘ ปัจจุบันคุณ ส. ร่วมงานอยู่ในคณะรัฐบาล) ได้ติดต่อมา คุณ ส. บอกว่า ได้มาดู กลุ่มชุมนุม เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ที่ผ่านมา เห็นด้วยแล้วกับ การมาร่วมชุมนุม ของชาวอโศก ที่ต้องการมาร่วม เพื่อลดความรุนแรง ของกลุ่ม ผู้ชุมนุมลง ช่วยให้เกิด ความสงบ ลงมาได้ แต่ก่อนนี้คุณ ส. ไม่เห็นด้วย ที่ชาวอโศก มาร่วมชุมนุม

เมื่อข้าพเจ้าถามว่า แล้วคุณ ส. เขาเห็นอย่างไร กับกรณีคุณทักษิณ ก็ได้คำตอบว่า เขาก็เห็นว่า คุณทักษิณ ก็มีส่วนผิด แต่เขายังเห็นว่า ควรจะยึดกติกาของ รัฐธรรมนูญ อย่างเดียวกับที่ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ได้กล่าวมาแล้ว ในรายการ ที่พวกเรา ได้ดูเมื่อวาน

ก่อน ๙ นาฬิกาเล็กน้อย หลังจากสวดมนต์ไหว้พระแล้ว พ่อท่าน เริ่มแสดงธรรม นำด้วยการอ่าน บทความ จาก หนังสือพิมพ์ มติชน กล่าวถึง ความเห็นต่าง ของคน ใกล้เคียงกัน ระหว่าง นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กับ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง และ น.พ.เหวง โตจิราการณ์ กับ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงค์ลี

จากบทความนี้ เป็นการเปรียบเทียบแนวคิด ของผู้ที่ยึดถือแนว ทางการเมือง ที่มีเศรษฐกิจ เป็นสำคัญ กับผู้ที่ยึดถือ แนวทาง การเมือง ที่มีจริยธรรม เป็นสำคัญ
ขณะพ่อท่านเทศน์ นักข่าวโทรทัศน์ หลายช่อง ได้มาบันทึกภาพ บรรยากาศ ฟังธรรม

ระหว่างฉันอาหาร เปิดดูรายการศาลจำลอง ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้จัดเมื่อวาน มาให้ดู

๑๒.๐๗ น. มีข้าราชการหญิง ๒ คน ได้มาแนะนำตัวเอง และแจ้งว่า มีชาวสิงคโปร์ ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ อยากให้ทางเรา ได้จัดทำข้อมูล เพื่อให้ประชาชน สิงคโปร์ ได้ทราบด้วย

หลังฉันอาหาร มีข่าวว่า มีผู้ไปแจ้งความ ที่สถานีตำรวจ ชนะสงคราม กล่าวโทษว่า สมณะอโศก แต่งกายเลียนแบบ พระ ครู่ต่อมา มีนักข่าว ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ทยอยกันมา ขอสัมภาษณ์ เรื่องที่มี ผู้ไปแจ้งความ จากบางส่วน ที่นักข่าว ได้สนทนา ซักถาม ดังนี้

นักข่าว : การที่มีผู้ไปแจ้งความว่า ท่านแต่งกาย เลียนแบบพระ ท่านคิดอย่างไร ในเรื่องนี้

พ่อท่าน : เขาก็รักศาสนา และก็มีความคิด ที่ต่างกัน ก็เพราะความคิด ที่ต่างกัน นี่แหละ มันจึงปฏิบัติต่างกัน ซึ่งมันเป็น เรื่องที่ต่างกัน อย่างจริงๆ อันนี้ ศาสนาพุทธเรานี่ พระพุทธเจ้า ท่านเข้าใจถึง ธรรมชาติ แห่งความจริงอันนี้ อยู่แล้ว ท่านถึงได้ ตั้งหลัก ธรรมวินัยคือ "นานาสังวาส" ขึ้นไว้ เพื่อให้ใช้ ในการเกิดกรณี อย่างนี้ขึ้นมา เราก็ดำเนินการ ตามธรรมวินัย ในเรื่องของ นานาสังวาส อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ทางสงฆ์ เถรสมาคม กลับไม่ยอม ทำตามธรรมวินัย แล้วก็ไปหาเรื่อง เอาทางด้าน การเมือง หรือทางด้านรัฐ หรือ ทางด้านโลก เอามาจัดการ กับพวกอาตมา ซึ่งอาตมา เป็นพวกน้อยก็แพ้ เคยแพ้ มาแล้ว คราวนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า จะเป็นยังไงอีก ท่านก็ยังเป็น ฝ่ายใหญ่อยู่นั่นแหละ อาตมาก็เป็น ฝ่ายน้อย เพราะถูก ทำอยู่ อย่างนี้แหละ คราวนี้ ก็คงต้อง ถูกกระทำอีก ก็ไม่รู้ จะทำยังไง เราก็ได้แต่ อ่อนน้อม ถ่อมตนไป เราก็ทำตาม ธรรมวินัย ท่านจะว่ายังไง ท่านก็มีสิทธิ์ ซึ่งเราก็บอกว่า ทำตามธรรมวินัยสิ ท่านก็ไม่ทำ ตามธรรมวินัย ที่จริง ท่านมาฟ้อง อาตมาไม่ได้ เพราะเราเป็น นานาสังวาส กันแล้ว ท่านฟ้องอาตมานี่ ท่านก็อาบัติ ตามหลัก ธรรมวินัย ท่านก็อาบัติ แล้วที่ฟ้อง ก็โมฆะ ฟ้องไม่สำเร็จหรอก โดยธรรมวินัยนะ แต่ถ้าท่าน จะไปเอาคดี ทางโลกมา แล้วก็ไป ออกกฎหมาย ทางโลก มาใช้ของท่าน ท่านทำกันแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ จะทำยังไง ถ้ามีข้อกฎหมาย สามารถเอาผิด อาตมา ก็จำนน อาตมาจะทำยังไง ก็ต้องถูกว่า ถูกจับไป แต่อาตมา ก็ขอ ทำหน้าที่ ตามที่อาตมาทำมา ตลอดนั่นแหละ อาตมา ก็ขอยืนยันว่า อาตมาทำตาม ธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า ทำงานกับ ปวงชนมนุษยชาติ ก็ได้ผลมา อย่างที่เห็น นี่แหละ ทุกวันนี้ ก็มีพัฒนาการ ขึ้นมา

นักข่าว : ในส่วนที่ไปแจ้งความกับท่านน่ะ คือกล่าวว่า ท่านทำให้ชาวพุทธ เสื่อมเสีย

พ่อท่าน : ก็ว่าไปได้ ท่านก็ว่า ให้เสื่อมเสีย ถ้าอาตมาจะพูดบ้าง ก็ได้เหมือนกันว่า ท่านก็ทำให้ ศาสนาเสื่อมเสีย เพราะว่า ทำอะไร เลอะๆเทอะๆ ออกนอกรีต นอกรอย ของศาสนาพุทธ ตั้งเยอะ ตั้งแยะ

นักข่าว : และที่ข้อหาที่ว่า แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ นี่ล่ะครับ

พ่อท่าน : อาตมาเข้าใจอย่างนี้ว่า เครื่องแบบนักบวชเนี่ย เป็นของ พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นของ สาธารณะ ผู้ใดเป็นนักบวช ของพุทธ ย่อมแต่งได้ ทุกรูปทุกองค์ แต่มาในเมืองไทยนี่ อาตมาไม่เข้าใจ ไม่รู้เหมือนกันว่า ท่านมีสิทธิ์นี้ แต่เมื่อใด แล้วท่าน ก็มาแสดงสิทธิ์นี้ ออกกฎหมาย เลยด้วยนะ เป็นกฎหมายว่า ถ้าใคร ไปแต่งลอกเลียนท่าน ท่านถือว่า ผิด กฎหมาย ในบ้าน ในเมือง เราก็ต้องเคารพ ก็ขอยืนยันว่า อาตมาไม่ได้ลอกเลียน เพราะ.... เจตนา ไม่ได้ลอกเลียน เพียงอาตมา เชื่อว่า อาตมามีสิทธิ์ แต่งกาย ให้ถูกต้อง ตามธรรมวินัย ไม่ได้ลอกเลียน สงฆ์เถรสมาคม พยายามทำ ไม่ให้เหมือนด้วย ไว้คิ้ว ก็ชัดเจนอยู่แล้ว สีก็ไม่เหมือน นุ่งห่ม ก็ไม่เหมือน ตัดเย็บ ก็ไม่ให้เป็นแบบ มีกระทง เหมือนของ เถรสมาคม อะไรอย่างนี้ เป็นต้น คือ คนจะปลอม ธนบัตรนี่ ก็ต้องตั้งใจ ทำปลอม ให้มันเหมือน ทุกอย่าง ใช่มั้ย จึงจะเรียกว่า ลอกเลียน หรือ ตั้งใจปลอม แต่อาตมา พยายาม ที่จะทำไม่ให้ มันเหมือน แล้วมันจะลอกเลียน จะเป็นการปลอม ที่ไหนเล่า

นักข่าว : ครับ ก็คือกระทำอย่างนี้ ก็คือ ไม่ได้เลียนแบบสงฆ์ อย่างที่เขากล่าวหา

พ่อท่าน : ไม่ได้เลียนแบบ พยายามที่จะ ไม่ให้เหมือน บอกตรงๆ ว่าเราก็ไม่ได้ อยากเหมือน อย่างโน้นหรอก เพราะว่า มันผิดไป ตั้งเยอะตั้งแยะ เราจะไปเหมือน ทำไมล่ะ สิ่งที่ผิด เราก็อยากจะเป็น ในสิ่งที่เราไม่ผิด

๑๕.๐๐ น. นักข่าวญี่ปุ่น KYODO NEWS ได้มาสัมภาษณ์ เรื่องการชุมนุม ไม่ได้เกี่ยวกับ ประเด็นที่แต่งกาย เลียนแบบพระ จากบางส่วน ของการสัมภาษณ์ ดังนี้
นักข่าว : คนที่ไม่พอใจท่านนายกฯ เรื่องการบริหาร กับการคอรัปชั่น ในสายตา ของท่าน ปัญหาที่หนัก มากที่สุด ของท่านนายกฯ คืออะไร

พ่อท่าน : มีคุณธรรมไม่พอกับตำแหน่ง และหน้าที่

นักข่าว : ท่านรู้สึกอย่างไร ที่ฝ่ายค้าน ไม่ลงเลือกตั้ง

พ่อท่าน : มันเป็นวิธีการของการเมืองเขา เราไม่ได้มา ด้วยเรื่องการเมือง เราเห็นว่า เมืองไทย มันร้อนแรง เหตุการณ์ มันทำท่า จะรุนแรง ประวัติศาสตร์ มันเคยรุนแรง เรามาเพื่อ ช่วยให้เกิด ความสงบเรียบร้อย ของการชุมนุม จะแพ้หรือชนะ เป็นเรื่องรอง การช่วยให้เกิด ความสงบได้ เป็นเป้าหมายหลัก ที่เราตั้งใจทำ

นักข่าว : ที่ญี่ปุ่นเขาไม่คุ้นเคย กับการประท้วงของเรา กลางวันและกลางคืน เราทำอะไรบ้าง

พ่อท่าน : เราไม่มีอะไรประจำ สวดมนต์ทำวัตร เน้นไปในทาง ปฏิบัติธรรม เรามาอยู่ เพื่อเป็นมวลให้เขา ช่วยเก็บกวาด ทำความสะอาด สถานที่ ทำอาหารเลี้ยง ผู้มาชุมนุม ทำตนให้เป็น แบบอย่าง ของการชุมนุม อย่างสงบ สันติ แม้แต่คำพูด หยาบๆ หรือรุนแรง พวกเราก็ไม่ใช้ ไม่ทำอย่างเขา กลางคืน ฆราวาสพวกเรา ที่อยู่ที่นี่ ก็นอนเร็วกว่าเขา สำหรับ นักบวชนั้น กลับไปพักที่ พุทธสถาน

ก่อน ๑๗.๐๐ น. สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ได้มาถึง แล้วไปประสานกับ ทางผู้จัด รายการ ในเวที เพื่อจะได้นิมนต์ พ่อท่าน ได้ไปขึ้นรายการ ในเวลา ๑๗.๐๐ น.

รายการบนเวทีพันธมิตรฯ เพื่อประชาธิปไตย ที่สนามหลวง คุณอัญชลี ไพรีรักษ์ น.พ.วิชัย เอกทักษิณ ขึ้นร่วมเป็น ผู้ดำเนินรายการ โดยป้อนคำถาม ในประเด็นที่ ประชาชน ส่วนหนึ่งสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การมาร่วมชุมนุม ในฐานะ นักบวช อย่างนี้ กับประเด็น ที่กำลังเป็นข่าว แจ้งความว่า แต่งกายเลียนแบบ ญาติธรรม ส่วนหนึ่ง มาร่วมนั่ง ด้านหน้า ของเวที รวมถึง พล.ต.จำลอง

เสร็จจากรายการบนเวที พ่อท่านและหมู่สมณะ กลับมาที่เต็นท์ กองทัพธรรม

๑๙.๑๔ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้มากราบพ่อท่าน จากนั้น หมอวิชัย เอกทักษิณ ได้เข้าไป สนทนาด้วย [ขณะหมอวิชัย กำลังสนทนา มีประชาชนที่สนใจ มุงดูจำนวนมาก]

เดินทางกลับมาที่สันติอโศก ก่อนเวลาเล็กน้อย เนื่องจากคณะ หมอสันต์ และหมอเหวง ได้นัดหมายไว้

๒๐.๒๐ น. หมอสันต์ หัตถีรัตน์ หมอเหวง โตจิราการ และผู้หญิงมีอายุ อีกคน มาสนทนา กับพ่อท่าน เรื่องการ จะดำเนิน วิธีการ อย่างไรต่อไป ในปัญหานี้ หรืออยากจะให้ มีคนกลาง ที่ไว้ใจได้ ทั้งสองฝ่าย เป็นคนกลาง ในการเจรจา ณ วันนี้ เท่าที่ดู ก็น่าจะเป็น พล.อ.เปรม แต่ปัญหาสำคัญ ก็คือ พล.ต.จำลอง ไม่ยอมจะไป บ้านป๋า ด้วย พล.ต.จำลอง เกรงว่า จะทำให้ป๋าเปรม เสียภาพพจน์ นอกจากว่า พล.อ.เปรม จะเรียกไปพบ

ปัญหาของคุณทักษิณ เขากลัวจะถูกยึดทรัพย์ ถ้ามีทางออกให้เขา ก็คงจะพอ เจรจากันได้ แต่ประชาชน ส่วนหนึ่ง จะไม่ยอมแน่

หมอสันต์อยากจะให้พ่อท่าน เป็นแกนนำ ในการเจรจา ถ้าเราไม่ทำ ให้หมาจนตรอก การเจรจา น่าจะเป็นทางออกได้ เพราะถ้า หมาจนตรอก มันจะกัดเราได้ ซึ่งนั่น ย่อมหมายถึง การสูญเสีย เลือดเนื้อ ของประชาชน ทางเรา น่าจะเสนอ ให้ทางออก โดยเจรจาว่า ให้เขาลาออก แล้วทุกอย่าง ให้เป็นไปตาม กระบวนการ ยุติธรรม หมายความว่า อันใดที่เป็น ของเขา ก็ให้เป็นของเขา อันใดที่เป็นของรัฐ ก็คืนให้รัฐ ส่วนอันใด ที่จะต้องถึงขั้น จองจำ ก็ต้องจองจำ อย่างนี้ จะมีทาง ให้เขาออกได้บ้าง ไม่ใช่การยึดทรัพย์ ทั้งหมด นั่นไม่ได้ผ่าน กระบวนการยุติธรรม นี่เป็นหนทางเดียว ที่สองฝ่าย จะเจรจากันได้

ข้าพเจ้าเปรยถามว่า แล้วใครจะเป็นคนกลาง ที่จะประสาน ทั้งสองฝ่ายได้ คือ ไม่ใช่ตกลงกัน อย่างนี้แล้ว แต่ประชาชน อีกส่วนหนึ่ง จะไม่ยอม ต้องการ จะยึดทรัพย์ให้หมด เพราะดูเหมือน อารมณ์ของประชาชน ตอนนี้แรงมาก

คุณหมอ โยนลูก มาให้พ่อท่าน และ พล.ต.จำลอง ที่จะประสาน สองฝ่าย โดยมี พล.อ.เปรม เป็นคนกลาง ในการเจรจา ข้าพเจ้าคิดว่า คุณหมอให้ค่า สูงกว่าความเป็นจริงแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร

(อ่านต่อสารอโศก บันทึกจากปัจฉาสมณะ ฉบับ 295 )