gfd

งานมหาปวารณา ๕๑ ครั้งที่ ๒๗

งานมหาปวารณา นับเป็นหนึ่งในงานพิธีกรรมใหญ่ ของชาวอโศก มีขึ้นหลังจาก วันออกพรรษา ที่ปฐมอโศก โดยมีสมณะ สิกขมาตุ และ ญาติธรรมชาวอโศก จากทุกสารทิศ มาเข้าร่วมกัน อย่างพร้อมเพรียง

งานมหาปวารณา ครั้งที่ ๒๗ ปีนี้ จัดขึ้นที่สันติอโศก โดยย่นย่อ ส่วนของงาน ให้เล็กลง เหลือแต่ สาระสำคัญๆ เพื่อใช้เวลา ให้น้อยลง เนื่องจาก ชาวอโศก ในยามนี้ ต่างร่วมรวมกัน ไปทำภารกิจ ต่อบ้านเมือง ด้วยตระหนักถึง ความสำคัญ และเล็งเห็นถึงว่า นี่คือ หน้าที่ของศาสนา อันควรมี ส่วนเข้าไป เกี่ยวข้อง นอกจาก เพื่อแสดงความชัดเจน ในการเลือก อยู่ข้างความถูกต้องแล้ว ยังอาจช่วย ลดทอน ความรุนแรง ด้วยธรรม ฤทธิ์แห่งอหิงสา - อโหสิ

จากบทสัมภาษณ์ ซึ่งตัดตอนจากการเทศน์ ของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ในวันมหาปวารณา วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ถึงลูกๆ ชาวอโศก ทุกคนว่า จุดอ่อนของพวกเรา อยู่ตรงไหน ทำไม ไม่บรรลุธรรม เสียที และวิธีล้างกาม ทำอย่างไร เพื่อตรวจตราตัวเอง เข้าใจตัวเอง และเพิ่มฐาน พัฒนาตัวเอง สู่สูงยิ่งขึ้น ซึ่งพวกเรา หลายๆคน อาจไม่ได้ฟัง แต่พลาดไม่ได้

ทำไมพวกเรา จึงยังไม่บรรลุธรรมเสียที จุดอ่อนอยู่ตรงไหน ?

จุดอ่อน คือ อาตมาอธิบายยังไม่เก่งมั้ง ไม่ง่ายนะ เพราะมันไม่ง่ายจริงๆ ที่จะอธิบาย ธรรมะในระดับ โลกุตระ ในการที่จะบรรลุ มรรคผลจริงๆ ขอบอกพวกเรา จริงๆเลยว่า ศาสนาพุทธ ได้ล้มเหลวจริงๆ มานานแล้ว คนที่โม้ว่า เป็นพระอรหันต์ มันไม่ได้จริงหรอก ที่นับถือ ยกย่องกัน มันไม่มี ถ้ามันง่าย มันก็ดีสิ ในพระไตรปิฎก ก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่า มันไม่ง่าย จริงๆแล้ว อาตมา พาพวกคุณ ทำมาถึง ขนาดนี้ ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นนักบวช แม้แต่ฆราวาส ถ้าเข้าใจโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ที่อาตมาอธิบาย ก็จะเห็นชัดเจนว่า พวกเรามีพฤติกรรม ที่ปฏิบัติกันมา เป็นระยะเวลา ๓๐ กว่าปี

ประชากรที่มาปฏิบัติธรรม กับชาวอโศก ถึงวันนี้ มีชุมชน มีหมู่กลุ่ม จนถึงหมู่บ้าน มันได้ขนาด ทั้งหมู่บ้าน ไม่มีอบายมุข ถือศีล ๕ กันได้ ไม่กินเนื้อสัตว์ มีถึง "สาธารณโภคี" ไม่ใช่เรื่องสามัญ ทำไม่ได้ง่ายๆนะ คนข้างนอก เขาก็ยังไม่เชื่อใจ สนิทหรอกว่า จะทำ ได้อย่างจริง ถึงขั้นยั่งยืน (ธุวัง) เพราะฉะนั้น ระยะเวลา ต้องนานพอเท่านั้น ที่จะทำให้เขา ผู้คนยอมรับ ระยะเวลา ๓๐-๔๐ ปี คงยัง น้อยอยู่ ซึ่งเวลา ๓๐-๔๐ ปีนี้ สมณะพวกเราก็ ไม่ได้ไปเละเทะอะไร สมณสารูป ของพวกเรา ก็ยังคงทน ตั้งมั่น มีคุณภาพ ดีพอสมควร มันจึงทำให้ ทางสังคม ไม่กล้าถล่มทลาย อะไรเรา นอกจาก คนที่ตั้งใจ จะเล่นงานเราจริงๆ ว่าอโศก ไม่ใช่พระ มาทำลายศาสนา เขาก็พยายาม หาทางที่จะทำ นั่นก็เป็นธรรมดา

เพราะงั้น ที่เราทำมาได้ ถึงขนาดนี้ อาตมาว่า ก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งไปตะกละ ตะกลามเลย และที่ถามมาว่า ทำไมไม่มีใคร ออกมายืนยัน ว่าตัวเอง เป็นพระอรหันต์ ใครจะออกมายืนยัน พระอรหันต์จริงๆนั้น ท่านไม่ได้อยากบอกใคร ว่าท่านเป็นอรหันต์ ท่านไม่ได้มีกิเลส อยากอวดแล้ว คนที่เที่ยว ได้บอกใครๆว่า ตนเป็นอรหันต์ ไม่ใช่พระอรหันต์นะ นอกจาก มีเหตุการณ์ ที่ควรจะรู้ ท่านก็จะพูด ไปตาม สัจธรรม ตามธรรมชาติ นอกจาก จะมีใคร ถามตรงๆ ถึงยังงั้นก็ใช่ว่า จะตอบกันอย่าง ไม่เหมาะควร แม้อาตมาก็ไม่ถาม ว่าคุณ บรรลุอรหันต์ เพราะมัน ไม่เข้าท่าอะไร เนื้อแท้ของ ความเป็นอรหันต์ เป็นอย่างไร เราก็ศึกษากัน อย่างถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็เรียน รู้ไป เป็นการศึกษา ได้ขนาดนี้ อาตมาก็ภูมิใจนะ ทำอย่างนี้แหละ ลักษณะ ที่จะต้องละ หน่ายคลาย ลดละ ออกมาได้ อย่างนี้แหละ โภคคักขันธาปหายะ -ญาติปริวัตตังปหายะ (ละทิ้งโภคทรัพย์ -และเครือญาติ น้อยใหญ่ทั้งหลาย ออกมา) ซึ่งอาตมา ก็เชื่อว่า พวกคุณ ไม่ได้มา กดข่มไว้ เท่านั้น โดยเฉพาะเรื่อง โภคทรัพย์ และการเป็นอยู่ ของเรา ก็อยู่อย่าง ขัดเกลา มักน้อยสันโดษ กันมาตลอด ไม่ได้อยู่กัน อย่างสำเริง สำราญ ไม่ได้ใช้เงินทอง กันจริงๆ ทำกันได้ทุกคน แม้แต่ฆราวาส ก็ไม่ใช่น้อย ที่ปฏิบัติกัน จนกระทั่ง ไม่มีเงิน ทองกันแล้ว ก็เห็นเป็นสุข แจ่มใสกันดี ถ้ากดข่มกัน จริงๆ มันก็ได้ระยะหนึ่ง เช่นคนที่ต้อง ออกจากหมู่ไป ก็อยู่ไม่ได้เอง คนที่ไม่ใช้เงิน ใช้ทองนี่ โดยภูมินั้น ภูมิอนาคามีนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะเอาแต่ที่เห็น แค่ภายนอก เป็นเครื่องชี้ อาตมาว่า ได้ประมาณนี้ ก็ดีแล้ว

เพราะฉะนั้น จะอธิบายเสริมว่า ทำอย่างไร จะบรรลุเร็ว อยากจะย้ำว่า ให้พยายาม พิจารณาให้มาก พิจารณาคืออะไร มนสิการคืออะไร ก็พยายาม ไขความอยู่ ก็ต้องฟังธรรมบ้าง ตอนหลังๆนี้ อาตมาอธิบายธรรมะ ละเอียดลออขึ้น พยายามขยาย ชี้ให้มันลึก ทะลุทะลวง เท่าที่สามารถได้ อย่างตอนนี้ เอาเรื่องอาหาร อาหารคือ สิ่งเข้าไปบำรุงกิเลส หรือขัดเกลากิเลส อาหารเหมือนยา ยาเหมือนอาหาร ในพระไตรปิฎก ข้อ ๒๔๐ เล่ม ๑๖ เรื่องอาหาร ๔ ชัดเจน กวฬิงการาหาร เปรียบเหมือน กินเนื้อลูก ที่เดินทางไกลด้วยกัน พ่อแม่จะต้อง เสียสละ สิ่งหนึ่งแล้ว คือจะต้องฆ่าลูก ซะก่อนเถิด แล้วเอาเนื้อลูกมากิน เพื่อเดินทางไกล จำเป็นต้องกิน มันลึกซึ้ง อาตมาอธิบาย ก็ยังไม่ครบ ว่าทำไม มันต้องถึง ขนาดนี้ สรุปแล้วก็คือ กินเนื้อลูก เท่ากับ คุณกินกาม กามคุณ ๕ นี่เท่ากับ กินเนื้อลูก มันมีกามอยู่ใน กวฬิงการาหาร แต่คนไม่เรียนรู้ ก็เท่ากับ คุณกินเนื้อลูก คุณก็กิน อยู่ทุกวัน เพื่อที่จะเอาตัวรอด ด้วยความเห็นแก่ตัว ถึงขั้น ฆ่าลูกเลยนะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันมีกาม มีกิเลส เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ เรื่องตื้นเลย กวฬิงการาหาร ก็ต้องรู้จัก กามคุณ ๕ ผัสสาหาร จะต้องรู้จัก เวทนา ๓ มโนสัญเจตนาหาร ก็ต้องรู้จักตัณหา ๓ วิญญาณาหาร ก็ต้องรู้จักนามรูป ถ้าคุณไม่รู้ นามรูป คุณก็ยังอวิชชา ก็จะไม่มีทาง รู้สังขาร รู้วิญญาณได้ อายตนะ-ผัสสะ-ตัณหา คุณก็ไม่รู้ เพราะนี่คือ ปฏิจจสมุปบาท คนกินอาหาร ด้วยอวิชชา ทุกคนเท่ากับ เสริมกิเลสหนาขึ้นๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วจะลดกิเลส ได้ทันยังไง ในเมื่อกินอาหาร ทุกวัน ไม่เคยหยุด

ความยินดีเพลิดเพลิน ในการกินอาหาร มันน่าเกลียดน่ากลัว เหมือนคุณ กินเนื้อลูก นั่นคือ คุณไม่รู้กาม ไม่รู้ว่า เป็นเนื้อลูก ถ้าคุณรู้ คุณก็จะกินไป ร้องไห้โอดครวญไป เหมือนที่ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ทีเดียว เพราะการกินอาหาร มันจำเป็นต้องกิน เพื่อรักษาตน ให้อยู่รอด แต่คนกิน เนื้อลูก โดยไม่รู้ตัว กันทั้งนั้น จึงทั้งหลง ทั้งเห็นแก่ตัว จะเอาตัวรอดอย่าง หลงกินเนื้อลูก แล้วฆ่าลูกมากิน โดยไม่รู้จัก กามคุณ ๕ นั่นเอง คืออวิชชาตัวร้าย

เอาล่ะ.. ก็อยากจะย้ำตอนท้ายนี้ว่า ทำอย่างไร จะบรรลุถึงอรหันต์ ได้จริง อาตมาว่านะ พวกเรา แต่ละคนๆนี่ ผู้ใดที่กดข่ม ก็เป็นเรื่องกดข่ม อาจได้มรรค ได้ผลบ้าง แต่พวก คุณไม่มีญาณ ละเอียด หรือเจโตปริยญาณ ที่จะตรวจความจริง ของจิตปรมัตถ์ -เจตสิก ปรมัตถ์ของตัวเรา ต้องมี "วิชชา ๘" กัน จริงๆ ถ้ามี "วิชชา ๘" เพียงพอก็จะมี "เจโตปริยญาณ ๑๖" แน่นอน เราก็จะสามารถรู้ว่า เรา บรรลุหรือยัง ? แต่พวกคุณได้บ้างแล้วล่ะ เพียงแต่ "ญาณตัวเก่ง" มันไม่มีประสิทธิภาพ ที่จะพออ่านได้ เพราะงั้น ถ้าผู้ใด ที่ไม่ได้กดข่มมัน อยู่ไม่ได้หรอก ถ้ากดข่ม ก็พออยู่ได้บ้าง อาตมา ก็ไม่ได้ พาพวกคุณ นั่งสมาธิ กดข่มอะไร มากมาย พวกคุณก็ปฏิบัติ แบบ โพธิปักขิยธรรม หรือ มรรคองค์ ๘ เป็นส่วนใหญ่ อุตส่าห์บอก ให้นั่งสมาธิ เป็นอุปการะเสริม ให้มีอินทรีย์พละ เพิ่มขึ้นบ้าง ก็ไม่ค่อยนั่ง อาตมาก็ไม่ได้ตีทิ้ง การนั่งสมาธินะ แต่ขอให้เข้าใจ เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็พยายามฝึกฝน ให้เป็นอุปการะ แต่พวกเรา ก็ไม่ชอบ ก็จะได้แต่โลกุตระ อย่างเดียว เจโตสมถะไม่ได้ จึงไม่มีอุปการะ จึงต้องช้า ถ้าปฏิบัติ มีแต่โลกุตระอย่างเดียว "วิชชา ๘" ของเราต้องมากพอ ไม่งั้น วิปัสสนาญาณ ก็จะไม่เก่ง มโนมยิทธิ ก็จะไม่ฉกาจ "อาสวักขยญาณ" จึงยังไม่ครบ สักที

เพราะงั้น เมื่อคุณไม่ได้กดข่ม ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เก่งกดข่ม ระงับเอาไว้ดื้อๆ ด้วยแรงปัญญา เท่านั้น ถูกกระทบกระแทก ถูกขุด คุ้ยกิเลสขึ้นมา อยู่ตลอดเวลา แต่คุณก็อยู่ได้ ก็ไม่ได้เดือดร้อน อะไรนัก ผู้มีภูมิไม่พอ ไม่มีบารมีจริง ก็ต้องสึก ไปตามจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีมรรคผล ย่อม ทนอยู่ได้ เพียงแต่คุณ ไม่รู้มรรคผล ที่เกิดขึ้น ไม่มีเครื่องมือ สำคัญเพียงพอ ไม่มี "เจโตปริยญาณ" ตัวเก่ง เข้าไปตรวจอ่าน ชัดเจน ความละเอียด ของ"ทิพพโสตญาณ" ก็ไม่เจริญเพียงพอ

อาตมาจึงเน้นให้พวกคุณ พยายามหัด พิจารณาจิต-เจตสิก คุณจะรู้ได้ด้วย "พิจารณา" เพราะการพิจารณา เป็นการอ่าน และวิจัย ความจริงที่เห็น พิจารณาไม่ใช่คิด พิจารณาคือ การอ่านความจริง แล้ววิจัย ในความจริง ที่เราอ่านอาการ -อารมณ์ ว่ามันเป็นตัวนี้ แล้วลดลงได้ อย่างนี้ เมื่อกิเลสลด อารมณ์ของ โลกียรสลด มันเบา มันว่าง มันสะดวก มันดีขึ้น มันเป็นวิราคะ เป็นวิมุติ ทำวิมุติรส เป็นธรรมรส ที่ได้ลด จาง คลาย คุณก็จะ ซับทราบ เหมือนคุณกิน ขนมอร่อย ก็จะรู้ว่า อร่อย มันเป็นอย่างนี้นะ แต่ธรรมรส เป็นอย่างนี้นะ วิมุติรสเป็นอย่างนี้ จะชั่วคราวหรือไม่ ก็แล้วแต่ ก็ต้องอ่านอารมณ์ อ่านสภาวะ มันจะมีปัญญา ที่อ่านอารมณ์ด้วย ก็จะฝึกญาณ ของเรา ได้มากขึ้น ชำนาญขึ้น ก็จะรู้ของจริง ก็จะรู้ว่า ระดับโสดาบัน เราได้หรือยัง โลกของอบาย หรืออบาย ไม่ได้หมายความแค่ อบายมุข ๖ หรืออบายมุข ๗ (อบายมุข ๔ บวก อบายมุข ๖ รวมเป็น ๗) อย่างคุณทักษิณ มีอบายเพียบ เราเห็นได้ รุนแรงทั้งความโลภ โกรธ ราคะ จัดจ้าน นั่นก็อบาย มันนรกหยาบหนา ตั้งเท่าไหร่ล่ะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้จัดจ้าน จนทนไม่ได้ ที่จะถึงขั้นละเมิด ในราคะ ในโทสะ ระยะเวลา พิสูจน์มา ๒๐-๓๐ ปี มันก็ไม่ได้เป็นโทษ เป็นทัณฑ์ ถึงขั้นชกปากกัน เป็นต้น โดยเฉพาะพวกเรา ก็ไม่ได้ระมัดระวัง พูดหวานๆ ดีไม่ดี พาไปเจอ ผัสสะกระทบ กระทั่ง ถึงขนาดโดนชกหน้า ในที่ชุมนุม (ส.ดาวดิน) ฆราวาสเรา ก็ทำได้ขนาด โดนผู้หญิงตบหน้า (คุณหินไท) ก็ไม่สวนตอบ นี่คือสภาวะ ที่มันได้แล้ว มันแสดงถึง กิเลสของเรา ก็ไม่ได้มีอะไร มากมาย นี่คือ ใช้เหตุการณ์จริง อ่านละเอียดได้ ถึงจิตเจตสิก เจโตวิมุติของคุณมี แต่ปัญญา ที่จะรู้วิมุติ ยังไม่มากพอ มันได้ส่วนหนึ่ง ไม่มีมรรคผล ทนอยู่ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้า ตรัสอย่างนี้ เพราะไม่ได้หนี ทนได้เพราะทนได้ แม้โดนยั่วยวนอยู่

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องฝึกอ่านฝึกฝน มีเตวิชโช เป็นต้น อาตมาก็พยายาม บอกกล่าวพวกเรา ให้ฝึกเตวิชโช ทบทวน เหมือนลงบัญชีว่า ที่เราปฏิบัติมา มีมรรคผลอะไร ทบทวนอ่าน ความจริง ระลึกเหตุการณ์ เมื่อนั้นเมื่อนี้ มีการกระทบ สัมผัส อย่างนั้นอย่างนี้ กิเลสของเรา เกิดขึ้นในตอนนั้น เราก็จำได้ว่า มีอาการ ขนาดนั้น ขนาดนี้นะ เราก็ได้รู้ว่า กิเลสลดลง ขนาดไหน ว่าสัมผัสขนาดนี้ มันน่าจะกิเลสขึ้น แต่มันไม่ขึ้น อะไรก็แล้วแต่ ก็ทบทวน ความเกิดความดับ เตวิชโช ก็ต้องทบทวนจริง ญาณของเรา ก็จะเก่งขึ้น ทั้งในภาค ตรวจอดีต ในภาคที่อ่าน ในขณะปฏิบัติปัจจุบัน ในภาค เตวิชโช ที่ทบทวน อาตมาใช้คำว่า เตวิชโช เหมือนการลงบัญชี ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบผล ตรวจสอบรายได้ -รายจ่าย ของเรา ญาณ หรือ วิชชาของเรา ก็จะดีขึ้น เก่งขึ้นๆ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องรู้ ตัวเราเอง

เมื่อมีกามวิตก หรือเกิดจิตลามกเข้ามาครอบงำ เราจะล้างมัน ได้อย่างไร ?

ก็พยายามพากเพียร คือดูที่เจตนาของเรา จิตเกิดลามก เกิดมีอะไรขึ้นไป อย่างไร ก็พยายามศึกษา เรื่องรายละเอียด ของจิต การศึกษาทางธรรม ของพระพุทธเจ้า ต้องอ่านจิต ต้องรู้กาม รู้กิเลสทัน แล้วจัดการกำจัด ตามที่เราเรียนมา ถ้าพยายามสังวร พยายามลดละ พยายามพิจารณา คำว่า "พิจารณา" ต้องปฏิบัติ ไม่ใช่การคิด คือ การวิจัยความจริง วิจัยอารมณ์ วิจัยลักษณะ ที่กำลังเกิดจริง ขณะนี้ กำลังเกิดอารมณ์ อย่างนั้นจริง เราต้องพิจารณา ความจริง ที่มันกำลังเกิด แล้ววิจัย มองให้เห็น ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และปฏิบัติจนเกิด ความเป็นอนัตตา "กิเลส" มันไม่เป็นสิ่งจริง ของจริงหรอก แต่เราก็ไปคิดว่า มันเป็น "ของจริง" มันเป็น "รสสุขจริง" อย่างที่ได้อธิบายกันมา นักหนาแล้ว ต้องทำ อย่างที่อาตมาว่า ต้องปฏิบัติจริงๆ ถ้าไม่ได้ฝึก ไม่ได้ปฏิบัติตรงนี้ มันก็คือ ไม่ใช่การปฏิบัติ การปฏิบัติคำว่า "พิจารณา" นี่ เป็นคำที่สำคัญ และ จะต้องมีอาการ การปฏิบัติ "มนสิการ" คือ การทำใจในใจของเรา ปฏิบัติการ พิจารณา ให้เข้าข่าย ให้เห็น ในความไม่น่ายินดี ให้เห็นเป็นอสุภะ ในอาการกาม ทั้งหลาย มันไม่น่ายินดี ต้องพิจารณาให้เห็นว่า ทำไมเรายังมี ความยินดี ต้องพิจารณาว่า สิ่งนี้มันไม่เที่ยง มันไม่ได้เป็นของจริง มันไม่ได้อยู่ถาวร ในอารมณ์ของเรา ในจิตของเรา มันทำให้เราทุกข์ พาให้เราก่อเรื่อง ก่อภาระ

ต้องพยายามพิจารณา เห็นความเป็น "ไตรลักษณ์" ให้ได้ โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุ มาจากกิเลสของเรา เป็นตัวตั้ง ที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกำจัด พยายามที่จะต้อง ใช้ภูมิปัญญา ให้เห็นจริงว่า ขณะที่เรา เคยมีอาการ ที่ไม่มี(กาม) มันก็ว่าง มันก็เบา มันก็สบาย อารมณ์กาม เป็นอารมณ์ที่ ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่อง ที่จะต้องไปยึดถือ ไม่ใช่เรื่อง ที่จะทำให้เรา ได้ดิบ ได้ดี หรือ พาเจริญ พาพัฒนา ไปสู่นิพพาน อะไรเลย เกิดอารมณ์ ต้องอ่านให้เห็น อาการกาม ต้องอ่าน และพิจารณาเสมอ ให้จริง

เมื่อเราตามเห็น "ความไม่เที่ยง" ชนิดที่สามารถ ทำให้กิเลส จางคลายได้ เราก็ "วิราคานุปัสสี" เราก็เห็นจริง ก็แสดงว่า เราเจริญขึ้น ยิ่งเห็นมันดับทันที เข้าใจ เห็นอาการดับ เราก็จะเห็น ความจริงว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่เที่ยง มันไม่คงที่ มันไม่เท่าเดิม เพราะมันจางคลายได้ เราก็เห็น ความไม่จริง ความไม่เที่ยงแท้ ยิ่งทำ ให้มันดับได้ เราก็พยายามอย่างนี้ บ่อยๆ "อาเสวนา -ภาวนา -พหุลีกัมมัง" ทำอย่าง มีสภาวะรองรับ ที่ปฏิบัติจริง นั่นคือ การพิจารณา ที่เป็นภาวนา เป็นการเกิดผล ที่มีผล ให้เห็นชัดเจน แต่ต้องปฏิบัติ ยิ่งปัจจุบันธรรมใด ที่มันเกิดอาการ เกิดสภาพจริง นั่นคือ การปฏิบัติจิต ที่รู้แจ้ง เห็นจริง ของจริง เป็น "ชานโต ปัสสโต วิหรติ" รู้อยู่-เห็นอยู่ เป็นปัจจุบัน นั่นทีเดียว ต้องทำ ต้องสำนึก ต้องมีสติ แล้วก็มี สัมปชัญญะ ปัญญา ที่จะต้องปฏิบัติ มนสิการ ให้มันเข้าไปถึง ตัวจริงให้จริง ต้องทำ ต้องพยายามเรียนรู้

ไม่เช่นนั้น คนที่ปฏิบัติธรรม จะไม่ถึงตรงนี้ ไม่มีการปฏิบัติ ถึงตรงนี้จริง ไม่ใช่การปฏิบัติจิต ถึงขั้น "โยนิโสมนสิการ" หรือ โยนิโสมนสิการ ไม่เป็น

ตอนนี้กำลังอธิบายเรื่อง อวิชชาสูตร อาหารทั้งหลาย คุณก็ต้องเข้าใจ เห็นจริง เชื่อมั่น ปฏิบัติถูก "โยนิโสมนสิการเป็น" เพราะงั้น เวลาปฏิบัติ เราก็จะมีการใช้ สติสัมปชัญญะ นำมนสิการ บริบูรณ์ ก็ทำให้ สติสัมปชัญญะ บริบูรณ์

สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ก็จะทำให้ การสำรวมอินทรีย์ ๖ บริบูรณ์

การสำรวมอินทรีย์ ๖ บริบูรณ์ ก็จะทำให้สุจริต ๓ (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) บริบูรณ์ แม้มีผัสสะ ทางตาหูจมูก ลิ้นกายใจ เรามีผัสสะอย่างไร มันก็ไม่ออกมา กายกรรม ก็ไม่ออก วจีกรรม ก็ไม่ออก ก็จะดักทันวจีสังขาร หรือสังกัปปะ โดยเฉพาะ สังกัปปะ เมื่อฝึกอ่านตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เราก็จะรู้ทัน ความดำริ เมื่อจิตมันมี กามวิตกขึ้นมา ตัวที่มีวสี หรือตัวที่มีกำลัง หรืออินทรีย์ ในด้านสมถะ หรือ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา คือเป็น เจตสิก ๗ ของสัมมาสังกัปปะ มันจะเป็น ตัวหยุดด้วย เห็นตัวดำริด้วย เพราะฉะนั้น ตัวพลังของ ตัวหยุดนี่ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็นตัวพลังงานสมถะ หรือตัวจะยับยั้ง หรือตัวไม่ให้ปรุง จนเป็นวจีสังขารา คือสังขาร คือปรุง เราจะอนุโลม หรือไม่อนุโลม โดยที่เรา รู้อำนาจของเราว่า เรามี"กาม" มีกามวิตก หรือกามสังกัปปะ เข้าไปปรุง เข้าไปร่วม ในจิตของเราเอง มันจะมี อาการกามอย่างไร เราก็ต้องรู้ อาการกามนั้น ว่ามันเข้าไป ปรุงด้วยหรือไม่ หรือว่าเราปรุง สังขาร ที่เป็น การสังขารอย่าง "วิสังขาร" วิสังขาร หมายความว่า สังขารโดยยิ่ง โดยไม่มีกาม เข้าไปร่วม ในการปรุง เป็นการปรุง อย่างเป็นประโยชน์ เป็นการปรุงอย่าง วิสามัญ เป็นการปรุง อย่างเก่ง เราก็สามารถปรุงได้ โดยไม่ต้องมี "กาม"ร่วม ในการปรุงแล้ว เราก็อ่านสังขาร ที่เป็นวจีสังขาร หรือว่าสังขาร ที่อยู่ในนั้น เป็น"วิสังขาร" เป็นการปรุงโดย ไม่มีกาม ไม่มีพยาบาท ไม่มีกิเลส เข้าไปร่วม ปรุงด้วยเลย

เพราะฉะนั้น จิตของพระอรหันต์ เวลาปรุง ท่านก็ปรุงเป็น อภิสังขาร หรือ ปุญญาภิสังขาร ธรรมดา เป็นสังขาร ที่เป็นประโยชน์ สร้างสรร เพราะฉะนั้น ในนัยะละเอียด ของเจตสิก เราจะต้องเรียนรู้ ของเราเอง เราจะมีญาณปัญญา ที่ละเอียด มี"ทิพพโสต" คือ ตัวสำคัญ ที่มันรู้ละเอียด ขึ้นไปอีก แม้จะเล็กน้อย แม้แต่จะไกล แม้แต่จะเกิดสภาพ ที่สัมผัสได้ ระยะทางไกล หรือสัมผัส ได้อย่างลึก อย่างละเอียด พวกนี้เป็น รายละเอียดของ ทิพพโสตญาณ ซึ่งเราก็จะรู้ ตัวมันได้ กลายเป็น สราคะ สโทสะ สโมหะ หรือ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ เราจะมี เจโตปริยญาณ เป็นเครื่องวัด ก็จะวัดความจริง พวกนี้ให้เราได้ ทั้งรายละเอียด ความเก่งของ ทิพพโสตญาณ ในจิต-เจตสิก ต่างๆ เราจะมีตาทิพย์ มีความรู้ รู้ยิ่งเก่งขึ้น เรื่อยๆๆๆๆๆๆ

บทสรุป
กิเลส
คือเหตุแห่งความทุกข์ร้อนของชีวิตอย่างแท้จริง
ใครที่ไม่รู้ และหลงเลี้ยงมันไว้อย่างดี
มันก็จะจัดจ้าน โตวันโตคืน
ขยายความชั่วร้าย เข้มข้นยิ่งขึ้นๆ
และในที่สุด ก็หันกลับมาทำร้าย ทั้งตัวเอง
และสังคมรอบข้าง

สารอโศก อันดับ ๓๑๐ กันยา-ตุลา ๒๕๕๑