สิบห้านาทีกับพ่อท่าน ทีม สมอ.


งานมหาปวารณา’ ๕๕ ครั้งที่ ๓๑
ปรากฎการณ์วิทยาประชาธิปไตย

บทนำ

"พุทธศาสนา คือประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ในโลก” คือโศลกในงาน มหาปวารณาปี ๒๕๕๕ ที่พ่อท่าน มอบให้ชาวอโศก และชาวพุทธทุกคน เพื่อความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ถึงปัญญาธิคุณ ของพระพุทธเจ้า ต่อมวลมนุษยชาติ ในการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข แม้ผ่านกาล เวลากว่าสองพันปี ยืนยันสัจธรรมเที่ยงแท้ ยั่งยืน เป็นหนึ่งเดียว ตลอดกาล

พบกับบทสัมภาษณ์ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ถึงบรรยากาศในงาน มหาปวารณา และงาน เทศกาล อาหารเจ กินอย่างไร จึงได้คุณค่าประโยชน์จริง

บรรยากาศงานมหาปวารณาปีนี้เป็นไงบ้าง และมีรายการอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ

พ่อท่าน : งานมหาปวารณาปีนี้ แสดงบทที่เห็นชัดเจนมาก คือทุกอย่างเข้าฝัก ก็หมายความว่า มันลงตัว ทำได้อย่างเรียกว่า ชำนาญทุกเรื่องทุกราว ทุกบททุกตอน แคล่วคล่องไปหมด มันก็เลยเร็วรัด ออกมาตามจริง ออกมาตามที่ต้องการ ไม่ต้องเสียเวลา อืดอาดชักช้า สำเร็จเร็ว ก็เลยเนื้อแท้ เข้าเป้าสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของกิจกรรม ทางด้านจารีตประเพณี สังคมของพวกเรา ก็เข้าฝัก ลงตัวเรียบร้อย พรักพร้อม ได้เนื้อได้หา สมบูรณ์แบบ จนกระทั่ง รู้สึกว่า ไม่ได้ทำงานอะไรกัน รู้สึกว่า ผ่านไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อย ไม่เหน็ด ไม่มีเรื่อง ไม่มีอะไรแปลก หรือว่ายาก มันก็เลยเรื่อยๆ เฉยๆ เหมือนมันจะไม่สนุก เพราะมันไม่มีเรื่องตื่นเต้น มันค่อนข้าง จะชินชาด้วยซ้ำ

นี่คือองค์รวมสิ่งที่เกิด ที่อาตมาจับได้ว่า ครั้งนี้เป็นอย่างนั้น ทีนี้มีสิ่งที่ใหม่ขึ้นมาก็คือ เรื่องเนื้อหาของการเมือง แม้งานมหาปวารณาครั้งนี้ เราก็ได้ทั้งประพฤติ ทั้งอธิบาย จะเห็นได้ เรามีรายการเสวนาเรื่อง ศาสนาพุทธ มีประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งได้เนื้อหากัน อย่างดีมากเลย โดยเฉพาะ อาตมาได้มีโอกาส บรรยายความเป็นประชาธิปไตย ในศาสนาพุทธ มากทีเดียว ต่อหน้า ศ.ดร.สมภาร พรมทา ผู้ที่เรียนมาทาง ศาสนาโดยตรง เคยบวชเรียนมา ขนาดจบเปรียญ ๘ เลยนะ ทางด้านโลก ก็จบปริญญาเอก จนเป็นศาสตราจารย์ ซึ่งอาตมาว่า เขาก็รับฟังได้ ถ้ามีอะไรทักท้วง เขาน่าจะทักท้วง แต่นี่เขาก็ดูยินดี พอใจ ได้รับฟังสาธยาย ซึ่งอาตมาก็รู้สึกเองนะ ไม่อยากจะพูดมาก พูดแล้วเข้าข้างตัวเอง ยกยอตัวเอง หลงตัวเอง แต่ก็ขอพูดเล็กน้อยว่า อาตมาว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่จริงๆ ที่พูดออกไปบ้างแล้ว ที่จริงยังมี มากกว่านั้น แต่ก็ค่อยๆ พูดออกมา พูดทีเดียว คราวเดียวมากไป มันจะใหญ่ไป

อันนี้มันเป็นการก้าวหน้า เป็นภพภูมิใหม่ หรือเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เลยกลายเป็นว่า เรื่องของสังคม ศาสนา ธรรมชาติของพวกชาวเรา ก็ดูจืดๆ ดูเฉยๆ เฉื่อยๆ ไปหน่อย แต่พอบอก ประเด็นการเมือง ชักคึกคัก เพราะมันใหม่ เริ่มความรู้ใหม่ เริ่มมีบทเรียนใหม่ เริ่มมีพฤติกรรมใหม่ มันกำลังจะได้รู้ใหม่ และก็เริ่มเข้าใจใหม่ด้วย เห็นคุณค่า ในเรื่องของ การบ้านการเมือง อาตมาก็พอใจว่า ถ้าคนเห็นคุณค่า ในสิ่งใด เกิดปัญญา หรือเกิดความรู้ว่า อันนี้มีคุณค่า อันนี้เป็นเบื้องต้น ที่พระพุทธเจ้า ใช้คำว่า ฉันทะ มีความยินดีพอใจ มีฉันทะ อาตมาเอาให้ชัดกว่านั้นว่า คือการเห็นคุณค่า มันก็ยินดี มันเห็นคุณค่า มันเห็นเป็นประโยชน์ ให้มันรู้ว่า อะไรเป็นคุณเป็นโทษ

แต่ก่อนเราเข้าใจว่า การเมืองเป็นโทษ เป็นเรื่องไม่ต้องยุ่งเกี่ยว เข้าใจผิดว่า การเมืองคือ เรื่องไกลตัว อย่าเกี่ยวข้องได้เป็นดี แต่ตอนนี้ เราเข้าใจแล้วว่า เราเข้าใจผิด อย่างมหันต์ คล้ายคนอีกมาก ที่เข้าใจผิดอย่างนี้ เราเข้าใจคำว่า ความเป็นการเมือง สัมมาทิฏฐิแล้ว เราไม่งมงาย ไร้สาระอีกแล้ว เรารู้พฤติกรรมการเมืองว่า ทำยังไงกับประชาชน เราต้อง ดูแลการเมือง ทำยังไงกับสังคม อยู่กับสังคม จะปฏิบัติอย่างไร เข้าใจ แล้วรู้คุณ รู้โทษ รู้ว่าถ้าเราไปทำอย่างนี้ถูกต้อง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง การเมืองจะไปทำ ให้กับบ้าน กับเมือง กับประชาชน ไม่ใช่ไปทำโลภโมโทสัน เพื่อสรรหาประโยชน์ใส่ตน แต่เป็นการทำงาน ล้างกิเลส เรามีกิเลส ยังมีความเห็นแก่ตัว เพื่อที่เราจะใช้โจทย์นี้ ประพฤติให้เรารู้ว่า ยังมีจิตนั้น หรือ การกระทำของเรา จะไปเอาประโยชน์ใส่ตนเอง หาประโยชน์ใส่ตน ซึ่งมันผิดนะ เราก็จะได้ไป พิสูจน์ตนเอง ไปประพฤติตนเอง กิเลสเกิด ก็ได้ล้างกันเอง พฤติกรรมที่ไม่ดี ก็จะได้งด ได้ระงับตนเอง นี่คือทางประพฤติ ปฏิบัติจริง ตามพระพุทธเจ้า

สรุปก็คือ งานนี้ก็ได้เห็นชัดเจน สิ่งที่มันลงตัว กับสิ่งที่เพิ่มความก้าวหน้า กับสิ่งที่พัฒนา ขึ้นหน้าด้วย ไม่เฉื่อย ไม่เซ็ง ดูตื่นตัว ตื่นตาดี

งานเทศกาลกินเจปีนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ หันมาทำความดีกันมากขึ้น ในขณะที่ ซีกของรัฐบาล ทำแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งเรื่องการทุจริต จำนำข้าว และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เป็นปรากฏการณ์ ที่จะชี้บอกอะไรสังคม

พ่อท่าน : สิ่งที่เกิดขึ้น คนกินเจมากขึ้น ก็เห็นอยู่แล้วว่า พฤติกรรมสังคม ให้ความสนใจ ในเรื่องของการกินเจ หรือกินมังสวิรัติเพิ่มขึ้น ผูกเกลียวมากขึ้น ตื่นตัวมากขึ้น แพร่หลายมากขึ้น ก็เห็นด้วยกันอยู่ ซึ่งมันชี้บ่งถึงจิตใจที่เจริญ คนมีปัญญามากขึ้น มีจิตเมตตามากขึ้น แม้จะนึกถึงสุขภาพก็ตาม ก็คือปัญญา มันก็เป็นความเจริญ ของปวงชนชาวไทย นี่คือความเจริญ ของประชาชนชาวไทย เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ซับซ้อน ชนิดที่มีนัยสำคัญ อย่างน่าคิด ที่คนไทยจิตใจเจริญขึ้น ทั้งปัญญาและทางธรรม

แต่รัฐบาลกลับตรงกันข้าม เพราะปัญญาและจิตใจ ของปวงชนชาวไทย เจริญขึ้น แต่เรื่องการเมือง ผู้มีปัญญาก็เห็นชัดเจนว่า มันเลวร้ายลงไป ๆ ๆ อย่างแท้จริงเลย ทำแต่ละเรื่อง ล้วนน่าเกลียดน่าชัง ทำกันอย่างไม่เกรง ทำกันอย่างหน้าด้าน หน้าทน ทำขึ้นมาอย่างเย้ยๆ หยันๆ ทั้งนั้นเลย ก็เห็นอยู่ชัดๆอยู่ ก็คิดอย่างพวกเรา ที่มีตา มีปฏิภาณ มีปัญญา เห็นความจริง ที่มันเกิดอยู่ ก็เห็นเหมือนกัน คล้ายกัน และแม้แต่ก็ ไม่อยากให้มันเกิด ก็คงจะคล้ายกันอีก แต่หลายผู้หลายคนก็ดูดาย แม้ไม่อยากให้มันเกิด เมื่อต่างคนก็เฉย ปล่อยประละเลย ปล่อยไป ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะไม่เกิด มันต้องเกิดแน่นอน เกิดจัดจ้านยิ่งขึ้น เพราะนักการเมือง เขาผยองว่า ไม่มีใครมีน้ำยา จะทำอะไรฉันหรอก ฉันจะทำชั่วทำเลว ฉันจะทำลบหลู่ ฉันจะทำกร่าง กร้านกาจอย่างไร ก็ไม่มีทาง ที่ใครจะทำอะไรฉันหรอก ก็หลงระเริงอยู่อย่างนี้ และยิ่งก้าวหน้า พัฒนาความร้ายแรง เลวจัดยิ่งขึ้นๆ

อาตมาก็เห็นมีข้อจำเป็นตรงที่ว่า ต้องให้ประชาชนตื่นตัว รู้สิทธิ รู้หน้าที่ ดังที่อาตมา ปฏิบัติอยู่นี้ พยายามบอกกล่าว พยายามสาธยาย พยายามที่จะเตือนสติให้รู้ตัวว่า เราเป็นคน อยู่ในสังคม กลุ่มประเทศ และประเทศนี้ ปกครองด้วย ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีศีลธรรม ศีลธรรมคือ ต้องกตัญญูกตเวที ต่อประเทศ กฎหมายก็บ่งบอก รัฐธรรมนูญ ก็เอามาอ่าน มาขยายความ ให้เห็นชัดเจน อาตมาไม่ได้มาด้นเดา ไม่ได้มาพูดเอาเอง สาธยาย เลอะๆ เทอะๆ แต่พูดอยู่ในหลักในเกณฑ์ นอกจากคนที่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เข้าใจอะไรไม่ได้ แบ่งแยกอะไรไม่ได้ จริงๆแล้ว ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรแยก มันสัมพันธ์กันหมด แต่เขาแยกความสัมพันธ์ แยกจนไม่เห็น ความสัมพันธ์กัน ทำความสัมพันธ์อะไรไม่ได้ เขาก็อยู่อย่างนั้นแหละ

อย่าง sms ๔๗๒๗ เขาก็บรรยายมาว่า ประชา หมายถึงประชาชน อธิปไตย คือเป็นใหญ่ ประชาธิปไตย คือประชาชนเป็นใหญ่ เขาแปลมาให้ ก็คงเจตนาที่จะย้ำ อาตมาก็ไม่ได้ พูดผิดกว่าเขา ที่พูดหรอก แต่เขาก็ยังฟังไม่เป็น หรือยังไง อาตมาก็รู้แล้ว เรื่องนี้ ไม่เห็นจะต้อง บอกอาตมาอีก คือเขาฟังเรา แต่แบบคนตาบอด หรือฟังเรา แบบคนหูหนวก ฟังก็ไม่ได้ยิน หรือฟังได้ยิน แต่ก็ไม่รู้อะไร เพราะคุณ ๔๗๒๗ เขาขยายความ เป็นเชิงติเตียน ว่ากล่าวอาตมาต่อไป จากที่เขาแปลคำว่า ประชาธิปไตยแล้ว ว่า

"ประชาธิปไตยคำเดียว ว่าไปเรื่อยเจื้อยเลย เอากฎหมายมาปนกันคำว่า ประชาธิปไตย สาวกก็ฟังรู้เรื่องเนาะ"

อาตมาก็ตอบเขาได้ว่า สาวกเขามีภูมิปัญญา เขาตาไม่บอด เขาเฉลียวฉลาด เขาฟังรู้เรื่อง ไอ้คนตาบอด หูหนวก ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ อย่างที่พูดมาแล้ว ก็รู้แล้วว่า เขาฟังไม่ออก มันก็ชัดเจน มันส่อแสดงถึง ภูมิปัญญาของเขา ออกมาว่า "กฎหมายไม่เกี่ยวกับ ประชาธิปไตย" แล้วประชาธิปไตย ไม่มีกฎหมายเป็นหลัก มันมีประชาธิปไตย ที่ไหนในโลก มันมีทั้งรัฐธรรมนูญ มีทั้งกฎหมายสารพัด ที่เกี่ยวกับความเป็น ประชาธิปไตย เรื่องของการเมือง แม้ว่าไม่เรียกว่ากฎหมายเลย ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ มีวินัย มีระเบียบ มีวัฒนธรรม เช่น มันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการ สมบูรณาญา สิทธิราช ท่านก็บอกอย่างนี้ๆๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์เหมือนกัน ข้อนี้ผิด ข้อนี้ถูก ต้องทำอย่างนี้ๆๆๆ มันก็มีมาแต่ไหนแต่ไร หลักเกณฑ์นั้นแหละ คือกฎหมาย แม้แต่คำว่า หลักเกณฑ์ หรือกฎหมาย คนนี้ก็ไม่เข้าใจ แล้วก็พูดว่า เราเอาประชาธิปไตย มาปนกับ กฎหมาย แล้วประชาธิปไตย ที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเลย มันจะเป็น ประชาธิปไตย ได้อย่างไร มันจะเป็นหลักเกณฑ์ ของประเทศได้ไง คือแกพูดไปเรื่อย คือแกอยู่ในภพ ของแก แกไม่เข้าใจ

สรุปแล้ว ในความเห็นของอาตมา ก็อย่างที่กล่าวไปแล้ว อาตมาว่า มันเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ก้าวหน้า เป็นเรื่องพัฒนา เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ จะเกิดขึ้นไป ตามลำดับๆ อย่างที่เป็น คุณก็เห็น อาตมาก็เห็น อย่างที่ว่า บ้านเมืองมันเสื่อม มันโทรม ก็พยายาม ที่จะบอก ความเสื่อมโทรม เพื่อที่จะปฏิเสธ ความเสื่อมโทรม ต้องรู้จักปฏิเสธ ปัจจุบันบางอย่าง และอดีตที่เสื่อมโทรมเสียหาย และต้องรู้จักประดิษฐ์ หรือผลิตปัจจุบัน ขึ้นมาให้ประเทศ เพราะปัจจุบันคำนี้ มันหมายความว่า status quo คือสถานะการ ปัจจุบัน ของสังคมที่ดำรงอยู่ มันปรากฏให้เห็นอยู่ เราไม่ได้โมเม เราไม่ได้คิดฝัน จินตนาการ และองค์สภาพที่มันเกิดขึ้น ณ บัดนั้น เรียกว่า phenomenon มันเป็น ปรากฏการณ์ ที่เห็นอยู่โทนโท่ อยู่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่หายไป ยังไม่เป็นอดีต และ ไม่ใช่อนาคต มันคือสิ่งปรากฏ ให้เห็นจริงๆ มันอยู่ในนี้ อยู่ในองค์รวม อยู่ในเศรษฐศาสตร์ เราก็อ่านให้ออก ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรที่เป็นคุณ อะไรเป็นโทษ โทษเราก็ปฏิเสธ คุณเราก็ช่วยเขาประดิษฐ์ ผลิต

เพราะฉะนั้น ต้องมีปัญญา ต้องมีความรู้ ขณะนี้มันมีพฤติกรรมสังคมอะไร คุณจะต้อง อ่านภาวะ หรืออ่านพฤติภาพ ของสังคมให้ออก แล้วก็แยกแยะได้ อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรที่ควรจะช่วยกำจัด ปฏิเสธ ก็คืออย่าให้มันเกิดมา อาตมาพูดแรง ต้องกำจัด อะไรที่จะต้องทำขึ้นแทน สร้างขึ้นแทน ประดิษฐ์ขึ้นแทนขณะนี้

คนที่กินอาหารมังสวิรัติจะมีสองจำพวก พวกแรกงดเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพ อีกพวกหนึ่ง งดเนื้อสัตว์ เพราะไม่อยากทำบาป เพื่อรักษาศีล จะเกิดผลอย่างไร

พ่อท่าน : คนที่กินเจ หรือกินมังสวิรัติ มีประโยชน์ มีคุณค่า ด้านหนึ่ง ก็ด้านกายภาพ อีกด้านหนึ่ง ก็ด้านจิตภาพ มีสองส่วนสองด้าน อย่างนี้แหละ จะขยายด้านกายภาพ ก็คือ เพื่อสุขภาพ ร่างกายของคนกินอาหารมังสวิรัติ อาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารแท้ของมนุษย์ แต่มนุษย์หลงผิด ไปหลงกินเนื้อสัตว์ และก็หลงติดเนื้อสัตว์ จนกระทั่ง ทุกวันนี้ เอาออกยาก ถ้าผู้ใดรู้ ก็มาลดละ ก็ได้ประโยชน์ เหมาะสมกับร่างกาย ของมนุษย์ มันเป็นธาตุ ของมนุษย์ ส่วนทางกายภาพ เรื่องเศรษฐกิจ หากินได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ สัตว์หากินได้ยาก กว่าจะไปตามจับ เอามา ก็มาฆ่ามัน กว่าจะมาทำ ให้มันหมดคาว กว่าจะมาทำอะไร ต่ออะไรยาก ส่วนผัก ถ้าทำดีๆ ถ้าไร้สารพิษ เด็ดมาปุ๊บ เข้าปากปั๊บ เคี้ยวกลืน สะดวกไวเร็ว ไม่ยุ่งยาก ไม่เหม็นไม่คาว ไม่หนักหนาสาหัส รวมแล้ว ทุกอย่างเลย ง่าย สะดวก ปลอดภัย ดีกว่ากันแยะ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ทางเศรษฐกิจ ก็ถูกกว่า เพราะถ้าเราจะปลูกพืช แล้วก็เอาไปให้สัตว์กิน แล้วก็จะเลี้ยงสัตว์ ขึ้นมาได้ ประมาณหนึ่ง เราต้องลงทุนพืชนี้ ไปอีก ๙ เท่า ต้องสูญเสียพืชไป เพื่อให้ได้เนื้อ มาหนึ่งส่วน จะต้องสูญเสียพืช ไปตั้ง ๙ เท่า

นอกจากคนที่หลงผิด ไปกินมังสวิรัติ จะต้องไปกินตามห้างใหญ่ กินตามเหลา ก็โดนเขาขูดเอา แต่ถ้ากินสามัญ กินธรรมดา ตามร้านข้างทางเล็กๆ กินอย่างมีปัญญา ข้าวสุกขนมสด สารพัดต่างๆ ข้าวผลไม้ ก็มังสวิรัติ โดยเฉพาะ กินแต่ข้าวเฉยๆ ก็มังสวิรัติแล้ว ขนมก็มังสวิรัติ พระพุทธเจ้าตรัส ข้าวสุกขนมสด คืออาหารคนแล้ว ทำทั้งอาหารเค็มหวาน ก็ทำไปได้โดยง่าย สะดวกสบาย อาตมาอธิบาย ทางกายภาพ เป็นหลัก ก็อันนี้

ส่วนทางด้านจิตภาพนั้น หนึ่งไม่ต้องสร้างบาป เพราะเป็นเหตุแห่งการเกี่ยวพัน เพราะฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตที่เป็นจิตวิญญาณ เพราะสัตว์นี้ มีสังขาร มันเป็นสังขาร ที่มีวิญญาณครอง มีกรรมครอง เพราะฉะนั้น มันจะมีกรรม เนื่องต่อกันมา เกี่ยวข้อง โยงใยกัน ซึ่งพระพุทธเจ้า อธิบายถึงขนาดว่า ฆ่าสัตว์บาป คือการฆ่าสัตว์ ที่ครบองค์ ๕ ซึ่งมีถึง ๒ สูตร ที่บาปเพราะ -สัตว์มีชีวิต - รู้ว่าสัตว์มีชีวิต แล้วไปผูกลากมันมา - แม้จิตอยากฆ่าก็บาป - ยิ่งสั่งฆ่าก็ยิ่งบาป - ฆ่าสัตว์ตายสำเร็จ จะไม่บาปหรือ? ที่ลึกซึ้งมาก และควรทำความเข้าใจให้ดี คือ ผู้ที่นำเนื้อสัตว์นั้น มาถวายให้สงฆ์ มาให้พระตถาคต ยินดีในเนื้อสัตว์ นี่คือบาปอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระพุทธเจ้า อธิบายความสัมพันธ์ ความเกี่ยวเนื่อง ที่จะฆ่าสัตว์มากิน คนที่เจตนา ไปฆ่ามัน อุทิศมังสะ นี่หมายถึงว่า เนื้อสัตว์ที่มันตาย เพราะว่าคนจงใจ (อุทิศ) ฆ่ามันตาย มันตายเพราะฝีมือคนเจาะจง (อุทิศ) ฆ่ามัน แต่ถ้าสัตว์มันตาย เพราะว่า มันฆ่ากันเอง แล้วก็เหลือเดน พระพุทธเจ้าก็ว่า เนื้ออย่างนี้ ก็กินได้ไม่บาป แต่มันจะติด เนื้อสัตว์ หนะสิ หรือสัตว์มันตายเอง ไม่มีคนเจตนา (อุทิศ)ฆ่ามัน ไม่มีคนมุ่งหมาย (อุทิศ) ฆ่ามัน มันตายของมันเอง จะตายด้วยลักษณะไหน ตามใจเถอะ อุทิศแปลว่า เจาะจง, จงใจ, เจตนา, มุ่งหมาย นั่นคือ สัตว์มันตายลง เพราะความเจาะจง หรือจงใจของคน ฆ่ามันให้ตาย อย่าไปต่อบาป ต่อเวรกัน แม้คุณไม่ได้ฆ่า แต่คนฆ่า คนไม่ใช่สัตว์ ซึ่งวิบากต่างกันมาก คนเป็นเหตุร่วมกับคนแน่นอน แต่ถ้าสัตว์เดรัจฉานมันฆ่า ก็มันเป็นสัตว์ มันเป็นธรรมชาติ หรือวิบากของสัตว์ มันต้องใช้หนี้กัน ซึ่งเป็นกรรม วิบาก เป็นอจินไตย เนื้อที่เหลือเดนสัตว์กินแล้ว เหลือเดนมันก็ เก็บมากินได้ อย่าไปแย่งมันนะ เท่ากับสร้างพยาบาทนะ ถ้าไปแย่งมัน ดีไม่ดี แย่งจากเสือ เสือมันเอาตายนะ ซึ่งถ้าแย่งก็เป็นวิบาก จะเกิดเรื่องเชื่อมโยงวิบาก เป็นบาป อทินนาทานอีก ต้องมันทิ้งแล้ว มันกินแล้ว มันก็เหลือเป็นเดนสัตว์กิน อย่างนี้ พระพุทธเจ้า ก็ว่ากินได้ ถ้าไม่กลัวจะติดเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ไปแปลความ เข้าข้างตน เป็นว่า เจาะจง (อุทิศ)บุคคลใด บุคคลนั้นกินไม่ได้ คนที่ถูกเจาะจงเท่านั้น กินแล้วบาป นอกนั้นกินได้ ไม่บาป ซึ่งตีความเจาะช่องให้กว้าง เพื่อตนจะได้กิน เนื้อสัตว์กัน ตีความเข้าข้างตนเอง ที่กินเนื้อสัตว์ อยู่นั่นเอง ที่จริงนั้น ใครกินเนื้อสัตว์ ที่คนจงใจ ฆ่ามันให้ตาย คนนั้นก็เท่ากับ คนซื้อของโจรแท้ๆ

สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ครบครันหมด คิดดูดีๆ ถ้ากินเนื้อสัตว์ได้ ท่านจะมาแจ้ง รายละเอียด พวกนี้ไว้ทำไม แต่นี่ท่านสอนว่า บาปอย่างโน้นอย่างนี้ ตามที่อาตมา สาธยายไป จำไม่แม่น ถูกมั่งผิดมั่ง พูดไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร แต่เนื้อหาไม่ผิดหรอก ที่อาตมาพูดไป อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ในเรื่องบาปมีแน่ ในด้านจิตภาพ หรือด้านวิญญาณ ถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์ หนึ่งคุณไม่ก่อบาป ไม่เพิ่มบาป โดยการกิน เนื้อสัตว์ ไม่ผูกพันบาป ไปเป็นวิบาก สอง นี่สำคัญเลย ได้ปฏิบัติธรรม ได้ลดกิเลส ในจิตวิญญาณ การที่คุณติดเนื้อสัตว์ ก็คือกิเลส ถ้าคุณไม่กิน ไม่ติด ก็ไม่มีกิเลส คุณก็ไม่ต้องกิน คุณก็ไม่ต้องร่วมบาป ไม่ติดเนื้อสัตว์ ไม่ต้องล้างละกิเลส ติดเนื้อสัตว์ แต่ถ้ายังติดอยู่นั้นแหละ โดยตรง คนกินเนื้อสัตว์ส่วนมาก มาปฏิบัติธรรม กับเราไม่ได้ เพราะเลิกเนื้อสัตว์ไม่ได้ ส่วนคนที่ไม่ติดเนื้อสัตว์แล้ว เขาก็กินอาหาร พืชพันธ์ ธัญญาหาร ง่ายดี สรุปแล้วทางด้านจิตภาพ ก็ได้ลดกิเลส อันนี้ สำคัญมากเลย ถึงไม่ต้อง ก่อบาปเพิ่ม ไม่ต้องสร้างบาป มันก็ดีมาก นี่คือง่ายๆ กายภาพ กับจิตภาพ สั้นๆ อื่นๆ ถ้าจะสาวไปถึงเหตุผลต่างๆ ก็ได้อีกมาก

คนที่กินเพื่อสุขภาพจะได้ลดกิเลส ตัดกิเลสหรือไม่

พ่อท่าน : ถ้าเขารู้ไง ถ้าเขาเข้าใจ การจะลดกิเลสได้ต้องรู้ ว่ากิเลสคืออะไร ได้กินแล้ว แล้วสุขสมใจ แล้วก็ไม่รู้ สุขก็สุขไป แต่คุณไม่ได้ลดกิเลส ไม่ได้กิน ก็ทุกข์ดิ้นรน พยายามแสวงหา คุณก็ไม่เคยรู้เรื่อง ไม่ปฏิบัติธรรม คุณก็ไม่รู้ ตอนนี้ มันดิ้นรน มันทุกข์แล้ว ตอนนี้พอได้เสพลง ก็สุขแล้ว คุณก็ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ยังเป็นสุขเป็นทุกข์ ที่เกิดๆดับๆ เพราะกิเลส ยังสุขๆ ทุกข์ๆ ในโลกียะแบบนี้ เพราะเวลาเราปฏิบัติธรรม เราลดกิเลส ลดเหตุ ลดปัจจัย สุขก็ลด ทุกข์ลด เหตุแห่งทุกข์ก็หมด สุขก็หมด ทุกข์ก็หมด เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจในทฤษฎี ที่ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะ จะต้อง โยนิโสมนสิการ ต้องรู้ใจในใจ ต้องทำใจในใจเป็น ถ้าไม่โยนิโสมนสิการ ยังปฏิบัติ ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ถ่องแท้ ไม่แยบคาย ไม่ละเอียด ในวิธีปฏิบัติ ที่เข้าใจ ในการทำใจในใจ อย่างไร ในการปฏิบัติ ขณะกินเนื้อสัตว์ แล้วก็ละกิเลสเป็น เมื่อไม่โยนิโสมนสิการ (อโยนิโสมนสิการ) ปฏิบัติก็ผิดๆ เพี้ยนๆ

สุขภาพเป็นกายภาพ ต้องมาเรียนรู้ทางจิตภาพ ถ้าจิตภาพ จะรู้ทั้งกายภาพด้วย แต่ถ้ารู้ ทางกายภาพ ต้องมาเรียนรู้ ทางจิตภาพด้วย ต้องอธิบาย อย่างที่พูดไปแล้ว ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเขาไม่ได้ศึกษา ต้องได้รับการศึกษาอย่างจริง อย่างสัมมาทิฏฐิ คนส่วนใหญ่ ศึกษาไปทางกายภาพเสียมาก ทางจิตภาพ ไม่ได้ศึกษา นั้นแหละ มันเสื่อม มันไม่เข้าใจ เรื่องของจิตภาพ มันก็เลยไม่เจริญ

แต่ถ้าปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มันจะเกี่ยวข้องกัน มันจะเกิดภูมิปัญญา มันจะรู้เรา รู้เขา รู้ว่าเขามีชีวิต รู้ว่าเขาก็รักชีวิต รู้ว่าเขาจะเจ็บจะปวด จะทุกข์ทรมาน ก็ไม่ทำให้ ใครทุกข์ มันจะมีปัญญาของมันจริงๆ ความเมตตา จะทำให้เข้าใจ มันไม่ก่อให้คนอื่น หรือสัตว์อื่นลำบาก มีแต่จะช่วยผู้อื่น กตัญญูกตเวที มีเมตตา มีการช่วยเหลือ

 

บทสรุป

เราไม่มีสิทธิ์เอาชีวิตสัตว์อื่น มาเลี้ยงชีวิตเรา
เพราะเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของมนุษย์
เราไม่ควรข่มเหง เบียดเบียน
รังแกสัตว์ผู้อ่อนด้อยกว่า
เพราะสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา
แล้วโลกนี้จะงดงามด้วยความเมตตาต่อกันและกัน
ขจัดความโหดร้ายเข่นฆ่าชีวิตของกันและกัน

สารอโศก อันดับ ๓๒๗ กันยา-ตุลา ๒๕๕๕