ข่าวอโศกรายปักษ์ เดือน พ.ย.๕๑

ที่ มี นปก. ไปบุกบ้านราชฯ ได้บทเรียนอะไรบ้าง?
ก็ได้เห็นถึงพลังความสามัคคีและความสงบของพวกเรา วันที่ นปก.ยกพวกกันไป ประมาณ ๒๐๐คน ดูแล้วไม่แน่ใจว่า กำลังของ พวกพันธมิตร จะมามากกว่าพวก นปก.หรือเปล่า เพราะเรามีทั้งญาติธรรมมากัน จากหลายจังหวัด และยังมีแนวร่วม พันธมิตร พอรู้ข่าว ก็มารวมตัวกัน พอ นปก.มาเจอ คนของเรา ไม่ได้น้อยกว่าเขาเลย ก็ทำให้ออกลวดลายไม่ได้เต็มที่

ที่สำคัญก็คือว่า แม้เขาจะมากวนประสาท ขนาดด่าว่าพ่อท่าน ด่าว่าสมณะ ด่าว่าพวกเราหยาบๆ คายๆ อย่างไร พวกเราก็สงบนิ่ง พากันออกไปยืนให้เขาด่า อยู่หน้าหมู่บ้าน ไม่วูบวาบ วุ่นวาย ไปตามการยั่วยุของเขา ก็ได้เห็นถึงพลังของความสงบ สยบความเลวร้ายได้ จนพวก นปก.ที่ด่า ๆ ๆ ๆ พวกเราก็เฉย ไม่ได้แสดงอาการ โกรธเคืองอะไร ดูได้ว่าหลายๆ คนด่าได้ไม่นาน ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว เหมือนกับด่าใส่ตอไม้ หรือด่าใส่ก้อนหิน ที่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยา ตอบกลับอะไร

และก็ได้เห็นถึงความร่วมไม้ร่วมมือของเจ้าหน้าที่ บ้านเมือง ซึ่งมีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ และมีทั้งผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ก็มาให้การสนับสนุน คุ้มครอง เพียงแค่พวก นปก.ที่ถูกปลุกปั่นกันมา ได้เห็นรถตู้ที่ใช้คุมขังนักโทษ ไปจอดรอไว้ในบ้านราชฯ เขาก็กลัวแล้ว จนตอนหลัง หัวหน้าเขา เอาไปพูดที่สถานีวิทยุ ของเขาว่า เรามาบุกครั้งนี้ เหมือนกับเอาไม้ซีก มางัดไม้ซุง ตำรวจก็พวกมัน ข้าราชการ ทหารก็พวกมัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า จริงๆ แล้วคนที่เขาไม่ใช่สุจริตชน พอเห็นตำรวจมายืน เห็นรถจับกุมนักโทษ พวกเขาที่ไม่มีความสุจริต จะเกิดความกลัว และหัวหน้าเขา บอกกับพวกเขาเองว่า เขาเอารถตู้ตำรวจมา ๒ คันนี่ เตรียมใส่พวกเราทั้งหมดได้พอดีเลย

ดังนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ กรณีที่พวก นปก. ไล่ตี พันธมิตร ตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเครื่องชี้ได้อย่างหนึ่งว่า พวกเขาสามารถ ใช้ความเถื่อน โหด และผิดกฎหมายได้ ก็เพราะเขามั่นใจว่า ตำรวจเป็นพวกเดียวกับเขา ถ้าตำรวจ ไม่ให้ท้ายพวก นปก. เขาจะเกิด ความเกรงกลัว ไม่กล้าทำเลวทำร้ายขึ้นมา

และได้เห็นความสำคัญของสื่อสารว่า มีส่วนสำคัญอย่างมากเลย บางประเทศ ในแอฟริกา ใช้วิทยุปลุกระดม ให้ประชาชน เห็นว่า ฝ่ายตรงข้าม เป็นพวกแมลงสาป เป็นของน่ารังเกียจ คนก็ออกมาฆ่ากัน เหมือนไล่ฆ่าแมลงสาบ เพราะฉะนั้น วิทยุที่ปลุกระดม ยั่วยุ ให้เกิดการเกลียดชัง ใส่ร้ายป้ายสี ทุกวัน ๆ ๆ โดยเจ้าหน้าที่ บ้านเมือง ไม่พยายามห้ามปราม ก็จะสร้างความแตกแยก และเป็น อันตรายอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ ๖ ต.ค. ๑๙ ที่อาศัยลูกเสือชาวบ้าน มาเข่นฆ่าประชาชนด้วยกันเอง เพราะอาศัย วิทยุยานเกราะ ในการปลุกระดม

เพราะฉะนั้น ในการรับมือกับกลุ่มก่อกวนทั้งหลาย อันดับแรก ทำใจของเราให้สงบก่อน เหมือนพระพุทธเจ้า เจอนาง จิญจมาณวิกา ทรงชนะโดย ใช้ความสงบ สยบความเลวร้าย (สันเตนะโสมวิธินา ชิตวา มุนินโท) แล้วก็เตรียมกล้อง บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ ถ้าขอตำรวจ ทหาร มาช่วยดูแลได้ด้วย ก็ยิ่งดี ๔ ถ้าไม่ได้ ก็อาศัย พึ่งพวกเรากันเอง ที่สำคัญ จะต้องไม่ตื่นตระหนกไปก่อน ไม่อย่างนั้น เพียงแค่เจอ ข่าวปล่อย ข่าวกวนประสาท แล้วเราก็เต้นไปตามข่าว มันเหมือนกับแพ้ ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเวที

หลาย ๆ ครั้ง ที่มีข่าวว่า นปก. จะบุกเผา สันติฯบ้าง บุกถล่มที่นั่นที่นี่ ของพวกเรา พ่อท่านฯจะบอกสมณะแต่เพียงว่า ให้คอยต้อนรับเขา ให้ดี ไม่ต้องไปต่อสู้กับเขา ถ้าเขาจะเข้ามาตีมาทำร้าย มาพังทำลายอะไรต่าง ๆ ก็ยอมให้เขาทำ แล้วก็ให้เก็บภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งก็เป็น การประเมิน จุดเลวร้ายสุด ๆ ไว้ก่อน หากจะต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ก็พึงวางใจ อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด ใจที่สบาย และใจที่สงบ จะควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยด้วยดี

ท่านได้ข้อคิดอะไรในการชุมนุมอย่างยาวนานครั้งนี้?
ได้เห็นคนของเรา แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ส่วนใหญ่เป็นพวกลุยเต็มที่ พร้อมที่จะโส..ตาย กับอีกพวกหนึ่ง ที่ปล่อยให้กิเลส เข้ามาลุย จนเจ้าตัว จะตายไปกับกิเลส พอมีเหตุการณ์ตึงเครียด เกิดพลิกผันต่างๆ นานา คนที่ไม่ได้ตั้งสติ ไม่ได้ควบคุม ชีวิตจิตใจ ให้มีการสำรวมสังวร ปล่อยตัวปล่อยใจ กินอยู่หลับนอน แบบสุขสำราญ บานหทัยไปเลย ก็จะเป็นพวกที่ ถูกกิเลสลุย และเสื่อมต่ำ อะไรที่เคยเก็บกด ล้างไม่หมด กิเลสร้ายๆ ๆ มันก็จะออกมา

ส่วนพวกที่ลุยโส... “ตาย” ก็จะเห็นถึงความมีคุณค่า ความเป็นประโยชน์ของตัวเราว่า สามารถที่จะทำความเจริญ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เกิดขึ้นกับสังคม ประเทศชาติไปพร้อม ๆ กัน

อยากให้พวกเราได้คิดว่า เหตุการณ์ ความเป็นความตาย ของชาติบ้านเมืองขณะนี้ จริงๆ แล้ว จะชนะได้ก็เพราะว่า ทุกคน ต้องทุ่มเท เสียสละกัน อย่างเต็มที่ อย่างที่คุณ สนธิ ชอบพูด “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง!”

ถ้าพวกเราได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อท่าน จะเห็นได้ว่า ท่านต้องอดหลับอดนอน กว่าจะได้พักก็ ๕ ทุ่ม เที่ยงคืน ต้องให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และ พยายาม ทำหนังสือออกมาชี้นำ เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้ มีทิศทางไปสู่ความสงบ เป็นสันตาภิวัฒน์ เป็นอหิงสา ไม่เบียดเบียน ไม่รุนแรง ต้องถือได้ว่า พ่อท่านทุ่มสุดตัว ทุ่มสุดหัวใจ เพื่อให้ประเทศชาติ และสังคมเกิดสันติสุข แต่ก็น่าเสียดาย พวกเราบางคน ที่เป็นลูกไกลพ่อ ไม่ได้สัมผัสกับ การทุ่มเทของพ่อท่าน เลยปล่อยตัว ปล่อยใจไปตามกิเลส สบาย ๆ ขาดการทบทวนศึกษาฟังธรรม กิเลสกาม ก็ดี อบายมุข ก็ดี ที่ยังล้างกันได้ไม่หมด ก็เลยลุกขึ้นมาบีบคอ โดยเฉพาะ มันจะไปออกทางโทรศัพท์ ยิ่งพวกแม่ม่ายแม่ร้าง จ๊ะ-จ๊ากัน จนหาสตางค์ จ่ายค่า โทรศัพท์ไม่พอ หรือพวกที่ยังติดคุกอบายมุขอยู่ ก็ให้รีบกลับวัด ไปพบสมณะ พบสิกขมาตุก่อนเถอะ ถ้าสายเกินไป อาจจะหา ประตูวัดกลับเข้าไม่ได้

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า “บุคคลผู้ปล่อยให้ “ขณะ”ล่วงเลยไป เขาย่อมพากันไป แออัดยัดเยียด อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ ปฏิบัติใน สัมมาอาริยมรรค” “ขณะ” คือ โอกาสทอง ที่เราจะได้ทุ่มเทเสียสละ สร้างบารมี แต่เราก็ปล่อยให้โอกาสนั้น ผ่านไป ๆ ถ้าหมดบุญ เมื่อไหร่ ก็คงจะได้ไปแออัด ยัดเยียดอยู่กับพวก นรกป่วนกรุง

ธรรมะที่ท่านอยากจะฝากให้แก่ญาติธรรมในปักษ์นี้?
ขอฝากโอวาทของพ่อท่านที่ได้เทศน์ไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม นี้ ท่านพูดถึงเรื่องของ สิ่งที่เป็นพิษภัยของมนุษย์ ในโลกนี้ ก็คือ ความ “มักมาก” หรือ “มหัปปิจฉะ” (ตรงกันข้ามกับ “มักน้อย” หรือ “อัปปิจฉะ”) ซึ่งในประเด็นนี้ อาตมาได้เรียนถามพ่อท่านว่า ถ้ากรณีที่ ญาติธรรม อยากจะรวยขึ้น เพื่อที่ว่าจะได้นำเงิน มาทำบุญเพิ่มขึ้น และทำให้ครอบครัวอบอุ่น จะถือว่า เป็นความมักมากมั๊ย? พ่อท่าน บอกว่า อย่าไปอ้าง เอาเงินมาทำบุญ ต้องอ่านความมักมาก ของเราให้ออก การที่เราจะรวยขึ้น เราจะต้องเห็นว่า การรวยโดยสัจจะนั้น คือ การเพิ่มสมรรถภาพ และเพิ่มความขยันให้มากขึ้น เมื่อเรามีความขยัน และ สมรรถนะ มากขึ้นแล้ว เราจะต้อง “อัปปิจฉะ” มีความมักน้อย สันโดษ เพิ่มขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นเศรษฐี ที่แท้จริง มากมายด้วยน้ำใจ ช่วยเหลือคนอื่น สะพัดออกไป อย่างกว้างขวาง ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัด ๆ ก็คือ

เกษตรกรที่มาอบรมกับชาวอโศก เริ่มมีฐานะดีขึ้น เมื่อเขาเลิกอบายมุขได้ จะทำให้เขาขยัน และ มีสมรรถนะเพิ่มขึ้น และยิ่งเขามักน้อย สันโดษ เพิ่มขึ้น ด้วยการถือศีล๕ กินมังฯ เขาจะลอยตัวอยู่เหนือ ค่าเงินบาทและ เศรษฐกิจของโลก มีแต่ สบม. ธมด. และถ้าเขา มักน้อย สันโดษ เพิ่มขึ้นอีก (ไม่ติดฐานเทวดาใหญ่ เหมือนญาติธรรม) เลื่อนฐานเข้าสู่ ระบบสาธารณโภคี ตอนนี้เขาก็จะรวย เพิ่มขึ้น เป็นการเดินทาง เข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจแบบเมืองพระศรีอาริย์ จะเห็นได้ว่า ยิ่งมักน้อย ยิ่งสันโดษ ยิ่งพอเพียง ก็ยิ่งร่ำรวย อุดม สมบูรณ์พูนสุข

พ่อท่านเน้นว่า สิ่งที่เป็นอันตรายของมนุษย์ คือการปล่อยชีวิตให้กิเลสโต ตลอดเวลา การที่เราต้องไปแย่งลาภ แย่งยศ แย่งความร่ำรวย ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ ทำให้กิเลสเราโตขึ้น ตัวอย่างของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่มีความโลภ อย่างไม่บันยะบันยัง ขนาดมีเงิน เป็นแสนๆ ล้าน ก็ยังไม่รู้จักพอ ธรรมดาคนทั่ว ๆ ไป ได้เงินสัก ๑๐๐ล้าน ก็กินได้ตั้งหลายชาติแล้ว แถมยังมีความโกรธแค้นเคือง ทั้งที่ตัวเอง ได้ทำผิด ไว้มากมาย ก็ยังพร้อมที่จะออกมา ถล่มทลาย โดยไปคิดโทษใส่ความ ทั้งชนชั้นสูง ทั้งสถาบันตุลาการ และ ความหลงว่า ตนเอง ดีอยู่ตลอดเวลา โดยคิดว่า มีชาวบ้าน หรือรากหญ้า ที่ไม่รู้ทันตัวเอง เขาจะเคารพนับถือ ไปตลอด การปล่อยให้กิเลสโลภ -โกรธ –หลงโต ไปอย่างนี้ ต่อให้มีความรู้ จบปริญญาเอก เป็นสิบๆใบ มีเงินเป็นแสน ๆ ล้าน มีครอบครัวที่ครบพร้อมอย่างไร ก็ไม่ได้มีความสุขเลย กลายเป็น มนุษย์มหาภัย ที่เป็นอันตราย ต่อโลกต่อสังคม

พ่อท่านเตือนพวกเราว่า ถ้าเราไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่มี “ญาณ”ที่จะอ่านใจอ่านกิเลสตัวเองได้ เราจะกลายเป็นคน มีกิเลสเป็นสมบัติ ไม่ใช่เป็นคน มีอาริยทรัพย์ เป็นสมบัติ จะได้ชื่อว่า เป็นคุณอวิชชา (คุณหน้าโง่) ที่เกิดมาแล้ว ก็ให้กิเลสโลภโกรธ หลง มันขยายตัว ออกไปได้ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจะต้องมุ่งมา “อ่านกิเลสตัวเองให้ออก - และให้คนอื่นบอกกิเลสตัวเองได้” ถ้าเราเป็นคนที่ คนอื่น ก็บอกไม่ได้ ตรงนี้ก็จะได้ชื่อว่า เป็นบุคคลอันตรายแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงว่า จะอ่านกิเลสตัวเองออกมั๊ย ขนาดมีกัลยาณมิตร มาพยายามบอก อยู่เต็มหู เราก็ยังไม่พยายาม เข้าไปรับรู้ ทำเป็นเอาหูทวนลม มันก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก ที่เราจะไปรู้ใจตัวเอง และ รู้กิเลสของตัวเองได้

เพราะฉะนั้น ในงาน “มหาปวารณา”พระพุทธเจ้า จะย้ำอย่างสำคัญเลยว่า เราจะเป็นคนที่ พ้นทุกข์ได้ เพราะว่า เรายอมให้กัลยาณมิตร ที่เขาเห็น ข้อบกพร่องของเรา ด้วยตาก็ดี หรือได้ฟังมาด้วยหูก็ดี หรือ เกิดข้อสงสัยก็ดี เราจะต้อง น้อมรับฟัง อย่างสำคัญ และนำมาแก้ไข ปรับปรุง ตัวเองอยู่เสมอ

ท่านพุทธทาสท่านบอกว่า เวลามีคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้แก่เรา พิธีกรรมของปวารณา ที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ “เราจะต้องหุบปาก!” ผู้ที่ได้รับ คำตำหนิ ติเตียนจากคนอื่น ท่านพุทธทาสถือว่า เป็นขุมทรัพย์ ที่จะไม่ทำให้เราเป็นมนุษย์มหาภัย หรือได้ชื่อว่าเป็น คุณอวิชชา หรือ คุณหน้าโง่ ที่มีกิเลสเป็นสมบัติติดตัว และนับวัน มีแต่จะเติบโต แต่เราจะเป็นมนุษย์สันติภาพ ที่ร่ำรวยด้วยสมรรถนะ และความขยัน เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคมอย่างแท้จริง หากเรา“อ่านกิเลสตัวเองให้ออก - และให้คนอื่นบอกกิเลสตัวเองได้” จนกิเลสมีแต่ ลดลง ๆๆ อย่างไม่สันโดษ ในกุศลธรรมทั้งหลาย

หมายเหตุ ท่านผู้ใดที่ได้ติดต่อกับท่านเดินดิน ติกขวีโร ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้เลิกใช้แล้ว กรุณาติดต่อผ่านเบอร์กลางของ ชุมชนราชธานีอโศก หมายเลข ๐๘๖-๔๖๐๘๔๓๒ และ ๐๘๖-๔๖๐๘๔๓๓