มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

บทเรียนแห่งการพลัดพราก

ท้องฟ้าทางทิศตะวันตก บัดนี้ ปรากฏรัศมี สีแดงเรืองโรจน์ ดวงอาทิตย์ กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืด และ ความเยือกเย็น ในเวลาโพล้เพล้ ใกล้ค่ำ กำลังคืบคลานเข้ามา แผ่ปกคลุมทุ่งกว้าง ที่เวิ้งว้าง ไพศาลนี้ ทุกขณะ

รถพยาบาลสีขาว แล่นอยู่บนถนน ซึ่งตัดทุ่งกว้าง บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ มุ่งเข้ากรุงเทพฯ ด้วยความเร็ว ดวงไฟสีน้ำเงิน กะพริบ อยู่ตลอดเวลา บนหลังคารถ ข้างในรถ คนไข้ชายวัย ๑๘ ปี นอนแน่นิ่งอยู่ เขาหยุดหายใจ มาตั้งแต่ค่ำวานนี้ !

ตามประวัติ ที่ถามจากญาติ และผู้พบเห็นเหตุการณ์ ชายผู้เป็นคนไข้รายนี้ บึ่งรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับ รถจักรยาน ที่ถีบสวนทางมา รถมอเตอร์ไซค์ เสียหลักพลิกคว่ำ กลางถนน ชายคนขับ กระเด็น ตกมาจากตัวถังรถ ศ๊รษะกระแทก พื้นคอนกรีต ตำรวจทางหลวงมาพบ จึงได้นำเขา ส่งโรงยาบาล เมื่อมาถึงห้องฉุกเฉิน เราก็พบว่า เขาหยุดหายใจเสียแล้ว !

แพทย์เวรกับพยาบาล จึงรีบช่วยฟื้นชีพ (Resuscitation) แล้วนำคนไข้เข้าห้อง ไอซียู (แผนกผู้ป่วยหนัก) เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ (Respiraton) โดยเร็ว เมื่อตรวจดู ตามร่างกายทั่วไป ก็พบแผล ที่แขนขา อยู่ ๓-๔ แห่ง บาดแผลไม่ฉกรรจ์นัก

ต่อมา มารดาคนไข้ ต้องการจะนำคนไข้ ไปรักษาต่อที่ โรงพยาบาลเอกชน มีชื่อแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ ฉันกับน้องพยาบาล อีกคนหนึ่ง จึงต้องมากับคนไข้ด้วย เพื่อให้การดูแล ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา ที่จะเกิดขึ้น ในระหว่าง การเดินทาง

เราต้องผลัดกันบีบ Ambu bag (ถุงช่วยหายใจ) ให้กับคนไข้ มาตลอดเวลา ฉันตรวจเช็คดู สัญญาณชีพ เป็นระยะ ขณะนี้ความดันโลหิต ๑๒๐/๘๐ มม. ปรอท ยังปกติ ชีพจร ๙๖ ครั้งต่อนาที ไข้ขึ้นสูง ๓๙.๕ C ม่านตาทั้งสอง ยังตอบสนอง ต่อแสงไฟฉาย เป็นอย่างดี

มารดาของคนไข้ นั่งอยู่ทางปลายเท้า หญิงวัยกลางคนนี้ ร่ำไห้พร่ำพรรณนา ไม่หยุดหย่อน ราวกับจะขาดใจ

"พ่อคุณเอ๊ย... อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะลูก ยังไม่ได้บวชให้แม่เลย..."

บางครั้ง ป้าผู้เป็นมารดาคนไข้ ก็จะก้มลง กอดขาทั้งสอง ของบุตรชาย สุดที่รักไว้ แล้วซบหน้าลงไป พลางสะอื้นไห้ อย่างลืมตัว

"หมอ! ...ช่วยลูกฉันด้วยเถอะ! ... นึกว่าเอาบุญเถอะนะ แม่คุณ"

ฉันมองภาพตรงหน้า อย่างสลดสังเวชใจ รำลึกถึงพระพุทธดำรัส คราวที่ตรัสปลอบโยน นางปฏาจรา ผู้กำลังเศร้าโศก เพราะสูญเสียบุคคล อันเป็นที่รักของนาง คือ บุตร สามี และบิดามารดา ซึ่งได้ตายจากไป ว่า

"ปฏาจราเอย

ขึ้นชื่อว่า ผู้เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พึ่งได้

เป็นผู้กีดกั้นเธอ ที่จะไปสู่ปรโลก (นิพพาน) "

ฉันยิ้มอย่างปลอบโยน และพูดให้กำลังใจว่า

"ป้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พยาบาลจะช่วยคนไข้ อย่างเต็มที่ จะดูแลให้ดีที่สุดเลย"

"ลูกฉันจะรอดมั้ยเนี่ย หมอ"

"ตอนนี้ อาการทั่วไป ก็ยังดีอยู่ เพียงแต่สมอง ส่วนที่ควบคุม การหายใจ ได้รับการกระทบกระเทือน คนไข้จึงยัง หายใจเองไม่ได้"

"หมดเท่าไหร่ไม่ว่า หมอ ขอให้ลูกฉันหาย ก็แล้วกัน ช่วยทีเถอะ" เสียงป้าสั่นเครือ น้ำตาเริ่มรินไหล ออกมาอีก

สองชั่วโมงต่อมา จึงมองเห็นโรงพยาบาล ที่จะนำคนไข้ มารักษาต่อ ตัวอาคารใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนน ฝั่งตรงข้าม ห่างจากรถพยาบาล ประมาณ ๒๐๐ เมตร เท่านั้น

รถของเรา เปิดไฟสีน้ำเงิน แว็บ ! แว็บ ! ขอทาง อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ดูจะไม่มี ประโยชน์เสียเลย เพราะสภาพการจราจร ในกรุงเทพฯ ขณะนั้น รถติดเป็นแพไปหมด

ความดันโลหิตของคนไข้ ขณะนี้วัดได้ ๑๔๐/๗๐ มม.ปรอท ม่านตา เริ่มตอบสนองต่อแสง ช้าลงกว่าเดิม ออกซิเจนในแท็งก์ ที่ต่อสายมาให้คนไข้ไว้ กำลังจะหมด!

ฉันจำเป็นต้องดูดเสมหะ ที่มาอุดตันอยู่ ในหลอดลมของคนไข้ ออกเป็นระยะๆ ด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ (Suction)

มารดาของคนไข้ สบถขึ้นมา อย่างเหลืออด "นี่มันจะไปไหนกันนะ รถเยอะแยะยังงี้ ติดเป็นพืดไปหมด ไม่รู้จักหลับ จักนอนกันบ้าง!"

เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง รถพยาบาล จึงสามารถแล่น แหวกคลื่นรถ บนถนน มายังห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาล เป้าหมายได้ ออกซิเจนในแท็งก์ หมดพอดี ฉันถอนหายใจ อย่างโล่งอก !

ขณะที่นั่งรถกลับ ภาพแห่งความปวดร้าว ทุกข์ทรมาน ของมารดาคนไข้ ยังติดตามมา ในความทรงจำของฉัน อย่างแจ่มชัด

อา...ใช่สิ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ การพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์

และ...ไม่มีอะไรในโลก ที่จะไม่พลัดพรากจากกัน !

โชคดีเหลือเกิน ที่ชีวิตของเรา ได้มาพบทางสว่าง แห่งแสงธรรม และได้พยายาม ปฏิบัติตาม คำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ ด้วยการไม่สร้าง สิ่งอันเป็นที่รัก เพิ่มขึ้นมาอีก และที่มีอยู่แล้ว ก็พยายามสลัดออก สละออกไปเรื่อย ดังนั้น โอกาสที่จะต้อง ทุกข์ทรมาน เพราะพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก จึงมีน้อยลงไป เรื่อยๆ

เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล ก็ปรากฏว่า คนไข้อีกคน กำลังรออยู่ และต้องการไปรักษาต่อ ที่กรุงเทพฯ (อาการเมารถของฉัน ยังไม่ทันหายดีเลย แต่ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะอยู่เวร ส่งผู้ป่วย)

คนไข้นี้ เป็นนักร้องสาวสวย วัย ๒๖ ปี เธอร้องเพลงอยู่ที่ ร้านอาหารชื่อดัง แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ เธอกลับมา เยี่ยมพ่อแม่ ขณะที่นั่งซ้อน รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไปหาเพื่อน รถเกิดเสียหลัก พลิกคว่ำ เธอกระเด็น จากเบาะข้างท้าย เอาใบหน้า ไถพรืดลงไปกับ พื้นถนนลูกรัง! เมื่อแรกรับไว้ ที่ห้องฉุกเฉิน ใบหน้า เต็มไปด้วยแผล เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ผสมผงดิน และกรวดทราย แพทย์และพยาบาล ช่วยกันล้าง และ ทำความสะอาดอยู่นาน แผลบนใบหน้าของเธอ มีมากมาย แพทย์เย็บไว้ สองร้อยกว่าเข็ม แล้วใช้ผ้าก๊อส ปิดไว้อย่างหนา ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ว่า นี่เธอหายใจ ได้ยังไงกันนะ ปิดหน้าไว้หมดอย่างนี้

ขณะนี้ ยังมีเลือดสีแดงสด ไหลซึมผ่านผ้าก๊อส ออกมาทางแก้มขวา อยู่เรื่อยๆ จากผลเอกซเรย์ ปรากฏว่า กะโหลกศีรษะ ไม่ร้าวเลย คนไข้รู้สึกตัวดี และบ่นปวดแผล ที่ใบหน้ามาก ฉันจึงฉีดยาระงับปวด ให้หนึ่งเข็ม สักครู่ อาการปวดแผล จึงทุเลาลง

มารดาของคนไข้ เล่าให้ฟัง ในระหว่าง การเดินทาง เข้ากรุงเทพฯ ว่า คนไข้ มีหน้าตา และ ผิวพรรณ ที่งดงามมาก เธอรักความสวยงาม ถนอมรักษาผิวพรรณ และใบหน้าของเธอ อย่างประณีต ตลอดมา หากว่า จะมีสิวเกิดขึ้น บนใบหน้าของเธอ เพียงเม็ดเดียว เธอจะทุกข์ใจมาก และรีบหายา หาครีมอย่างดี มาพอกทา รักษาโดยเร็ว และเธอไม่คาดฝันว่า ใบหน้าที่ถนอม รักษามานาน บัดนี้เต็มไปด้วยแผล ที่แพทย์เย็บเอาไว้ถึง สองร้อยกว่าเข็ม!

เธอและญาติ ต้องการจะมาทำศัลยกรรม ตกแต่งใบหน้าใหม่ ซึ่งฉันเอง ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า หลังจาก ทำผ่าตัดแล้ว ใบหน้าของเธอ จะคืนสู่สภาพเดิมหรือไม่

ละครชีวิต ก็ผ่านไปอีกฉากหนึ่ง เสมือนจะตอกเตือนย้ำ ไปบนหัวใจฉันว่า

"เมื่อรักสิ่งใดมาก ก็ย่อมจะต้องทุกข์มาก เมื่อสิ่งที่รักนั้น แปรเปลี่ยนไป"

ในโลกนี้... คงจะมีคนอีกไม่น้อย ที่ประสบทุกข์ อันเนื่องมาจาก การพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก แต่จะมีสักกี่คน ที่เข็ดหลาบ ในความทุกข์ทรมานนั้น พร้อมกับเริ่มสาวหา เหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ และฝึกปฏิบัติตน เพื่อให้ดับทุกข์นั้น ได้อย่างสนิท

เมื่อรถพยาบาล กลับมาจากกรุงเทพฯ และฉันออกเวร ส่งคนไข้แล้ว จึงกลับมาพักผ่อน ยังแฟลตพยาบาล

พายุฝน เริ่มก่อตัวขึ้น อย่างรวดเร็ว และพัดกรรโชก เข้ามาในห้องพัก ทิวสนที่หน้าตัวตึก เอนลู่ และ โบกกระหวัด ตามแรงลม ก้อนเมฆ ดำมหึมา ลอยต่ำลิ่วๆ ลงมา อย่างน่ากลัว ฟ้าแลบ แปลบปลาบ ผสานฟ้าร้อง คำรามลั่นร้อง พายุฝน โหมกระหน่ำ อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ฝนจึงขาดเม็ด สายลมพัดมาอ่อนๆ แต่ท้องฟ้ายังฉ่ำ เสียงฟ้าร้อง ยังคร่ำครวญครืนๆ อยู่เป็นระยะๆ

อา...ธรรมชาติเหล่านี้ แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดุจภาพมายา ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรยั่งยืน สักสิ่งสักอัน ทุกอย่าง ล้วนแปรไป ตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ ครอบครองโลกอยู่ทั้งสิ้น

สิ่งอันเป็นที่รักในวันนี้ ใครจะรู้ว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า จะนำความเสียใจ มาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ทรัพย์สมบัติ ลาภยศต่างๆ ซึ่งเป็นของอยู่คู่โลก ที่มนุษย์ได้พยายามแย่งชิง กอบโกย เอามาเป็นของตน และยึดถือ อย่างหวงแหน สักวัน... มันอาจต้องจากเราไป

คนที่รัก เอ็นดูเราในวันนี้ วันข้างหน้า เขาอาจเกลียดเราก็ได้ (เพราะเหตุปัจจัย เปลี่ยนไป)

หากรู้ความจริง ตามความเป็นจริง เช่นนี้แล้ว

แล้วยังมัวไปหลงสร้าง สิ่งหรือบุคคล อันเป็นที่รัก ขึ้นมาผูกพัน หวงเแหนอีก คราวที่ต้อง ประสบกับ ความทุกข์ทรมาน ยามสิ่งอันเป็นที่รัก พลัดพราก... แปรเปลี่ยนไป ทีนี้จะโทษ ใครกันเล่า !

ลูกไกลพ่อ
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ; ๑๕.๑๗ น.