มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

บ่วงมาร

บุรุษผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขณะนี้ อยู่ในชุด เสื้อกาวน์สีขาว กางเกงขายาว สีน้ำเงินเข้ม ร่างสูงสง่า ผิวขาวเนียน ดูสะอาดตา เขาคือนายแพทย์หนุ่ม ซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงาน ในแผนกสูตินรีเวช นี้นั่นเอง

เกือบทุกครั้งและทุกวัน ที่นายแพทย์คนใหม่ มาตรวจคนไข้ ในแผนกหลังคลอดและนรีเวช ที่ดิฉันทำงานอยู่ ในฐานะ พยาบาลประจำการ ดิฉันจึงต้องไป ร่วมเดินราวนด์ (Rounl) ด้วย เพราะต้องคอยรายงาน อาการเปลี่ยนแปลง ของคนไข้ แต่ละรายให้ทราบ เพื่อช่วยส่งเสริม ให้การรักษาถูกต้อง และเหมาะสมยิ่งขึ้น และทุกครั้ง ที่เดินไปด้วยกัน เราก็มักจะมีเรื่องพูดคุย ปรึกษากัน ทั้งในเรื่องโรคภัย และเรื่องอื่นๆอยู่เสมอ หมอทราบกิตติศัพท์ว่า ดิฉันเป็นพยาบาล ที่อาจหาญ ทักท้วงวิธีการรักษา หรือการให้ยา ของแพทย์ผู้ใหญ่ บางท่าน เมื่อดิฉันเห็นว่า อาจเกิดผลเสียกับคนไข้ได้ และจะไม่ให้ยา ตามคำสั่ง ถ้าเห็นว่า มีเหตุผลไม่สมควร (แต่ดิฉันก็ได้ใช้วิธีอ่อนน้อม ในการทักท้วง หรือเสนอแนะเสมอ ประกอบกับ แพทย์ที่นี่ส่วนใหญ่ ท่านเป็น ผู้รับฟัง และมีเหตุผลดี จึงไม่มีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้น)

วันหนึ่ง นายแพทย์ผู้มาใหม่ สั่งยาแก้ปวดชนิดหนึ่ง ให้คนไข้ ซึ่งปวดท้องน้อย จากโรค PID (Pelvic Inflammatory Disease) = อวัยวะในอุ้งเชิงกรานอักเสบ) ดิฉันซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ จึงพูดขึ้น อย่างเกรงใจว่า

"ขอโทษนะคะหมอ ยาตัวนี้ เคยมีรายงานยืนยันว่า ถึงจะระงับอาการปวดได้จริง แต่ก็มีฤทธิ์ข้างเคียง (Side effect) ทำให้ระดับ เม็ดเลือดขาว ในกระแสเลือดต่ำลง ทำให้ภูมิต้านทานโรค ต่ำลงด้วย หากใช้ติดต่อกัน เป็นเวลานาน เนี่ยประเทศ ที่ผลิตยาตัวนี้ เขาก็เลิกใช้กันแล้ว แต่เมืองไทย ยังรับเข้ามา และยังใช้กันอยู่"

หมอหันมาจ้องหน้า ดิฉันจึงพูดต่อ อย่างเกรงใจว่า "ขอโทษนะคะหมอ ที่จริงเราไม่น่าจะพูดเลย แต่เกรงว่า หมอคงจะลืมไป เลยต้องพูด"

"งั้นหรือครับ" นายแพทย์ผู้มีสายตาและท่าทาง เป็นมิตรอยู่เสมอ ยิ้มอยู่ในหน้า พลางขีดฆ่า ยาตัวเดิมทิ้ง แล้วเขียน ยาแก้ปวด อีกตัวหนึ่ง ขึ้นมาแทน

"ผมเองยังเคยเห็น รุ่นพี่ของผม ให้เฟอร์โซเลต (Feso๔) กับคนไข้ทาลาสซีเมีย (Thalassemia= โรคผิดปกติ ของเม็ดเลือดแดง)เลย แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงเขา อย่างนี้หรอก" หมอพูดเป็นเชิงบอกว่า ดิฉันจุ้นจ้าน

ดิฉันหัวเราะอย่างขบขัน และพูดไปตามความเป็นจริงว่า "อันที่จริง ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกันนะคะ การที่พยาบาล จะมาทักท้วง เรื่องการรักษา ของแพทย์นี่นะ ปะเหมาะ ไปเจอคนที่จิตใจ ไม่กว้างพอ ที่จะยอมรับฟัง เหตุผลของเราเข้า เราก็จะโดนดีเอาง่ายๆ แต่เราคิดว่า คนไข้นี่ก็เหมือน ญาติของเรา นั่นแหละ เขาควรจะได้รับ การรักษา ที่ปลอดภัยและดีที่สุด เราเองไม่มีเจตนา จะก้าวก่ายเลยจริงๆ"

หมอพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ และยิ้ม อย่างเป็นกันเอง

ดิฉันเล่าต่อว่า "ที่เราระมัดระวัง เรื่องยามาก ก็เพราะเรา เคยให้ยาคนไข้ผิด มาก่อน คือมีอยู่ครั้งหนึ่ง เราไปออกหน่วย แพทย์อาสา มีลุงคนหนึ่ง แกท้องเสีย ถ่ายท้องจนเพลีย เราก็ให้ยาไปตัวหนึ่ง ตอนนั้นน่ะ จำได้ว่า มันเป็นยา แก้ท้องเสีย พอตรวจคนไข้ ไปได้อีกสองราย ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ยาตัวที่ให้ลุงไปน่ะ เป็นยาระบาย!"

หมอและดิฉัน หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

"แล้วยังไงอีกล่ะ"

"จะยังไงเราน่ะ ใจหายวาบเลย ลุกจากโต๊ะตรวจคนไข้ ไปเที่ยวเดินตามหา ลุงคนนั้นจนพบ และเอายา แก้ท้องเสียจริงๆ ไปให้ลุงด้วย บอกลุงว่า ลุง...ขอยานั่นคืนเถอะ เอายาตัวใหม่นี่ไปกิน ยาตัวนี้ดีกว่านะ แต่ลุงก็กลับบอกว่า ไม่ต้องหรอกครับหมอ เมื่อกี้ผมกินเข้าไปเม็ดหนึ่ง ตอนนี้ก็รู้สึก ค่อยยังชั่วแล้วด้วย"

ดิฉันกับหมอก็หัวเราะ ด้วยความขบขัน

วันเวลาผ่านไป จากการที่หมอและดิฉัน ต้องทำงานร่วมกัน ได้พบปะ พูดคุยกันบ่อยๆ ความสนิทสนม ได้ก่อตัวขึ้น อย่างเงียบๆ ในสายตาของดิฉัน หมอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี มีอุดมการณ์ ในการทำงาน ที่เหมือนกัน ดิฉันไม่ได้คิด เป็นอื่นเลย บางครั้งหมอมีอะไร ก็จะมาเล่าให้ฟัง อย่างสนิทสนม

"แย่เลย เมื่อคืนผมผ่าตัดสองราย จากตีสองจนสว่าง เนี่ย...ง่วงจังเลย นึกว่าจะมาราวนด์ ไม่ไหวซะแล้ว"

ดิฉันก็จะให้กำลังใจว่า "อ้าวก็ดีแล้วนี่คะ หมอช่วยชีวิตคนไข้ไว้มากๆน่ะ จะได้สะสมบุญไว้เยอะๆไงล่ะคะ"

หมอหันมา จ้องหน้าดิฉัน แล้วยิ้มเต็มที่

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เดินตรวจคนไข้ มาถึงเตียงที่ ๘ ซึ่งเป็นคนไข้ผ่าตัด คลอดทางหน้าท้อง (Ceasarean Section) โดยมีดิฉันยืนอยู่ด้วย ขณะที่หมอหยิบแฟ้ม ประวัติคนไข้ขึ้นมา เพื่อจะสั่งการรักษานั้น เด็กทารก ที่นอน อยู่บนเตียง ได้สำรอกเอานม พรั่งพรูออกมาเต็มปาก

ดิฉันรีบวางเครื่องมือไว้ท้ายเตียง และตรงเข้าช่วยเหลือเด็ก อย่างรวดเร็ว เพราะทราบว่า หากปล่อยให้นม หรือน้ำ พลัดลงไป ในท่อทางเดินหายใจ เด็กทารกนี้ อาจมีอันตราย ถึงชีวิตได้ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ดิฉัน จึงทำความสะอาด ใบหน้า ซอกคอ คาง และใบหูให้เด็ก พอเกลี้ยงดี ก็ใช้ผ้าสะอาด ห่อตัวเด็ก จนมิดชิด เหลือโผล่มาเพียง ใบหน้า ขาวอมชมพูแก้มอิ่ม และปากสีแดงจิ้มลิ้ม ตาของแก ดูใสแจ๋วบริสุทธิ์จริงๆ

ดิฉันอุ้มเด็กขึ้นมาไว้ ในอ้อมแขน แต่พอเงยหน้าขึ้น ก็พบว่า หมอยังถือแฟ้ม และปากกาค้างอยู่ และยืนจ้องดิฉัน อยู่นิ่งๆตั้งนานแล้ว และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หมอก็ก้าวเข้ามาจนใกล้ ก้มลงมา เอามือจับที่แก้มนิ่มๆ ของเด็กทารก ในอ้อมแขน ของดิฉัน แล้วพูดว่า

"เด็กนี่น่ารักจังเลยนะ ไม่รู้เป็นไง ผมรักเด็กม้ากมาก"

แต่สายตาที่ยังคง จ้องหน้าดิฉัน อยู่ใกล้ๆนั้น ทำให้ดิฉันทราบ ด้วยสัญชาตญาณว่า ดิฉันควรจะทำอย่างไร

ดิฉันวางเด็กลงบนเตียง แล้วหันมาจ้องหน้าหมอตรงๆ และพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า "จะดูผลอี.เค.จี. เตียงนี้เลย หรือเปล่า เดี๋ยวจะไปเอามาให้"

ดิฉันเดินจากมา คิดในใจว่า ทำไมหมอถึงมองมา ด้วยสายตาแบบนี้ ดิฉันพิจารณาทบทวน แล้วก็บอก กับตัวเองว่า เราเองก็มีส่วนผิด ที่ไม่คอยระมัดระวังให้ดี ในเรื่องความสนิทสนม ทั้งนี้ก็เพราะ เราเอง ไม่ได้คิดอะไร ที่เกินไปกว่า ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีอุดมการณ์ตรงกัน และเข้าใจกันดี อีกอย่าง ดิฉันประมาทไป เพราะคิดว่า รูปร่างของตัวเอง เป็นเกราะแก้ว คุ้มกันชีวิตพรหมจรรย์ ได้อย่างสบาย สิกขมาตุ ที่ดิฉันเคารพมาก ท่านหนึ่ง เคยบอกว่า

"ผู้หญิงบางคน พอเห็นปุ๊บ ผู้ชายเขาก็นึกไปถึง เรื่องกาม เรื่องความรัก แต่อย่างคุณ เห็นแล้ว ทำให้นึก เรื่องการงาน" (โถ...ท่านเข้าใจปลอบน่ะ!)

ด้วยสาเหตุเหล่านี้ ดิฉันจึงไม่คิดว่า ในชาตินี้ จะมีใครมามองเรา ด้วยสายตาของชายหนุ่ม มองหญิงสาวอย่างนี้ ซึ่งดูไม่เหมาะไม่งาม ตามสายตาของ นักปฏิบัติธรรม อย่างดิฉัน

นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดิฉันคงต้องสำรวม ระวังพฤติกรรม ที่แสดงออกมา ไม่ให้ไปเบียดเบียนใคร หรือไม่ให้ใคร เข้าใจผิดได้

บนเส้นทางของชีวิตพรหมจรรย์ ดิฉันมักจะเจริญ อสุภสัญญา และอนิจจสัญญา อยู่เสมอว่า ร่างกายเรานี้ เต็มไปด้วยของเสีย เป็นรังแห่งโรค ตั้งอยู่ไม่นาน จักต้องเข้าสู่ความชราและตายเน่าเหม็น เสื่อมสลายไป ในที่สุด

อารมณ์รัก อารมณ์ชัง ที่เราสังขารขึ้นมาในจิต ก็ไม่เที่ยง ย่อมแปรเปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัยเสมอ ดิฉัน มีความชื่นชมพอใจ ในความเบาว่าง ปลอดโปร่งของจิต และความอิสระเสรี ของชีวิตที่เป็นโสด เห็นโทษ เห็นภัย ความทุกข์ทรมาน เมื่อหัวใจมีความรัก พันธนาการอยู่ เห็นความหนัก ความทุกข์ทรมาน ในชีวิตคู่ เสมอๆ

คอยตามอ่าน อารมณ์ในจิต อยู่เรื่อยๆ บางครั้ง เมื่อจิตแล่นไป ในทางอกุศล ก็คอยโน้ม ให้เข้ามาอยู่ ในกุศลเสมอ แล้วใช้ธรรมะสอนตน ให้สำนึกถึงเป้าหมายสูงสุด ที่ชีวิตของเรา จะต้องไปให้ถึง

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ในเชิงแห่งความรัก ซึ่งดิฉันอาจเข้าใจผิดไปเอง แต่ก็รู้ตัวเองว่า ก่อให้เกิดพฤติกรรม ที่สนิทสนม จนเกินไป อันเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ ของตนและคนอื่น ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งตรงกันข้าม ดังเรื่องที่ดิฉัน ได้ประสบมาดังนี้

"อ้าวหนู...มาถึงเมื่อไรจ๊ะ" คุณป้าท่านหนึ่ง กล่าวทักขึ้น อย่างเอ็นดู

"มาถึงเมื่อเช้านี้เองค่ะ เจริญธรรมค่ะป้า" ดิฉันยกมือไหว้ อย่างเคารพ

"นั่งก่อนซิหนู"

ขณะที่ดิฉัน กำลังจะก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ ข้างๆคุณป้าผู้นั้น ก็มีความรู้สึกว่า ในห้องนั้น ยังมีสายตาอีกคู่หนึ่ง จ้องมองอยู่ ดิฉันจึงหันไปดูตามที่ได้รับสัมผัสลึกๆ ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดิฉันชะงักฝีเท้า ที่จะก้าวต่อทันที

สายตาบนใบหน้างดงาม ที่จ้องตรงมายังดิฉันคู่นั้น ฉายแววแห่งความชิงชัง รังเกียจ อย่างเต็มที่ เหมือนจะให้รู้เป็นนัยว่า

"อย่านั่งนะ...ออกไปซะ!"

ดิฉันจึงคิดว่า หากเรานั่งลง ตามคำเชิญของคุณป้า ผู้ใจดีท่านนั้น ก็จะเป็นการเบียดเบียน จิตใจของเธอผู้นั้นเปล่าๆ จึงบอกกับคุณป้าว่า

"เห็นจะไม่นั่งหรอกค่ะ หนูต้องรีบไปทำงานต่อ"

ดิฉันเดินจากบ้านหลังนั้นมาแล้ว แต่สายตาแห่งความเกลียดชังนั้น ยังติดตามมา ในห้วงแห่งความคิด อย่างชัดเจน บอกกับตัวเองว่า นานแสนนานมาแล้ว ที่เราไม่เคยถูกมอง ด้วยสายตาเช่นนี้ พยายามนึกทบทวนว่า เราได้เคยไปทำอะไร ที่เป็นการเบียดเบียนเธอผู้นี้ ให้เดือดร้อนหรือไม่ เอ...ก็ไม่เคยเลยนี่นา เรายังศรัทธา และเคารพเธอ ว่าเป็นผู้สูงกว่าเรา ด้วยวัยวุฒิ และยังเคยแอบชื่นชมว่า เธอผู้มีใบหน้า อันงดงามนี้ คงเพราะได้สั่งสม บุพกรรมมาดีนั่นเอง ไม่เคยมีจิตริษยาเลย แม้แต่น้อย

หลายวันต่อมา ดิฉันพบเธออีก เธอก็ยังมองมา ด้วยสายตาชิงชังเช่นเดิม

เอ...ทำไม เธอถึงมองเรา ด้วยสายตาอย่างนี้นะ เราเองก็ไม่เคยได้ไปทำอะไรให้เธอเดือดร้อนเลย ...แต่ก็ช่างเถอะ พ่อท่านเคยสอนว่า สิ่งใดที่เราประสบ ย่อมคือผลพวงของ วิบากกรรม ที่เราเอง เป็นผู้ไปก่อไปสร้างไว้ แต่อดีตทั้งสิ้น จิตใจดิฉันจึงสงบเย็น ไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ

อดนำมาเปรียบเทียบ กับสายตาของนายแพทย์ หนุ่มคนนั้นไม่ได้ ช่างตรงกันข้าม เสียจริงๆ คนหนึ่ง มองมาด้วยความศรัทธา และพึงพอใจ แต่อีกคนหนึ่ง ก็ชิงชังรังเกียจ

"มีคนมารักหรือมาชัง จะมีประโยชน์อะไร ต่อความพ้นทุกข์ ในเมื่อเราตั้งใจ ที่จะฝึกฝนตน ให้พ้นทุกข์ จากอำนาจกิเลสของตน เพื่อไปสู่นิพพาน ถึงใครจะมาชิงชังเรา ก็ไม่เป็นไร เพราะเรามั่นใจว่า ได้สำรวม สังวรกรรม ในปัจจุบันไว้ดีแล้ว ที่จะไม่ไปเบียดเบียนใคร ให้เดือดร้อนเพราะเรา"

ดิฉันตระหนักอยู่เสมอว่า

"มนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ต่างก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายทั้งสิ้น เราตั้งใจที่จะช่วยส่งเสริม ทั้งตนเอง และผู้อื่น ให้ไปสู่นิพพาน สู่ฝั่งแห่งความพ้นทุกข์ เราจะมิใช่ผู้ที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น และตนเอง ให้ตกล่วง จากชีวิตพรหมจรรย์ หรือทำใหัใคร เนิ่นช้าต่อนิพพาน เป็นอันขาด"

และจนบัดนี้ ดิฉันก็ยังซาบซึ้งใจ ในพระพุทธพจน์ บทหนึ่งที่ว่า

"ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร"

"มาร"ในที่นี้ก็คือ กิเลส อันได้แก่ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ยังเกาะติดอยู่ ในจิตวิญญาณ ของเรานี่เอง... ดิฉันสัญญากับตนเอง อย่างมุ่งมั่นว่า

"เราจักมีสติ คอยตามระวังจิตให้ดี ก้าวไปข้างหน้า อย่างช้าๆ แต่มั่นคง

...เพื่อก้าวล่วงพ้นจาก`บ่วงมาร’ ให้จงได้"

ลูกไกลพ่อ

(สารอโศก อันดับ ๑๕๕ มิ.ย.-ก.ค. ๒๕๓๕)