มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

อีกกี่ศพจึงจะพบสัจจะ

ฉันก้าวเข้าไปในห้อง ๑๐๔ เพื่อต่อน้ำเกลือ ขวดที่ ๔ ให้แก่ วนิดา (นามสมมุติ) เธอหันหน้า เข้าผนังตึก ไม่ยอมมอง มาทางฉัน ร่างผอมบาง ราวกับจะปลิวลม นอนแบ็บ กองอยู่บนเตียง เธอไม่ยอม รับประทานอาหาร มาหลายวันแล้ว ดวงตาทั้งสอง ช้ำบวม แดงก่ำ เพราะผ่านการร้องไห้ มาอย่างหนัก

ประวัติการเจ็บป่วย ของคนไข้รายนี้ ดังเกรียวกราว ไปทั่วทั้งจังหวัด ขนาดน้องสาวของฉัน ซึ่งเป็นพยาบาล อยู่อีกอำเภอหนึ่ง ยังรู้ข่าวนี้ ก่อนฉันเลย

วนิดา กับ เกรียงศักดิ์ รักกันมา ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ต่อมาเธอและเขา ได้เข้าเรียน ในมหาวิทยาลัย ด้วยกัน ทั้งสองต่างซื่อสัตย์ และมั่นคงต่อกัน มาตลอด เมื่อจบออกมาทำงาน ก็แต่งงานกัน ชีวิตหลังแต่งงาน เขาไม่เคยทะเลาะ หรือมีปากเสียงกันเลย ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทั้งสองยังคงรัก และปฏิบัติต่อกัน อย่างเสมอต้น เสมอปลาย วนิดา รับราชการ ส่วนสามี ตั้งฟาร์มเลี้ยงไก่ ตกเย็น เกรียงศักดิ์ ก็จะมารับวนิดา กลับบ้านอยู่เสมอๆ แต่...ใครจะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ถาวรจีรัง มันล้วนมีความผันแปรไป เป็นธรรมดาทั้งสิ้น!

เด็กสาวอายุ ๑๕ ปี เข้ามาเป็นคนงาน ในฟาร์มไก่ของเกรียงศักดิ์ เธอสวยมาก ขนาดมีหนุ่มหลายคน มาปองรัก และคอยเอาใจ แต่เธอไม่สนใจใครเลย ด้วยคิดว่า ตนเองยังเด็ก ยังไม่คิดจะมีความรัก ขอทำงาน หาเงินเลี้ยงพ่อแม่ก่อน

จากความใกล้ชิด กับความสัมพันธ์ ที่ไม่ระวัง ทำให้เกรียงศักดิ์ และสาวลูกจ้าง รักใคร่ และได้เสียกัน เป็นเวลา สองปีกว่ามาแล้ว โดยที่วนิดา ไม่ระแคะระคายเลย ต่อมาเด็กสาวเริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ของเธอ ทราบข่าวร้ายนี้ ก็คาดคั้น เอาความจริงกับเธอ เกรียงศักดิ์ จึงไปสารภาพกับ พ่อแม่ของเธอว่า เขาเป็นสามีเธอ และรักเธอมาก จะรับผิดชอบ และไม่ทิ้งขว้างเธอ อย่างเด็ดขาด

ทางญาติๆของเด็กสาว ต่างมาพูดด่าว่า ประณามเด็กสาวว่า เป็นคนชั่ว แย่งสามีคนอื่น เด็กสาว ได้รับแรงกดดัน ในหลายๆด้าน เธอเจ็บปวด เสียใจ และกลุ้มใจมาก ในที่สุด เธอจึงตัดสินใจ กินยาฆ่าหญ้า "กรัมม็อกโซน" เพื่อฆ่าตัวตาย หนีความเจ็บความอาย และความทุกข์แสนสาหัส ที่เธอได้รับอยู่

ตั้งแต่วนิดาทราบว่า สามีมีภรรยาน้อย จนตั้งครรภ์ ทำให้ชีวิตคู่ ที่มีความสุข ต้องพังครืนลง เธอรู้สึกราวกับ ถูกฟ้าผ่า เธอทำใจไม่ได้ ว่าสามีซึ่งรักกันมา หลายปี และดีกับเธอ อย่างเสมอต้น เสมอปลาย จะทรยศกับเธอได้ เธอจึงตัดสินใจ แยกทางกับสามี เพื่อให้โอกาสเด็กสาว ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่

เกรียงศักดิ์ไม่ยอมตกลง เขาบอกว่า เขายังรักวนิดา มากเหมือนเดิม ชีวิตของเขา ขาดเธอไม่ได้ และเขาก็ทิ้ง เด็กสาวนั่น ไม่ได้อีกเช่นกัน

ต่อมาวนิดา ก็กินยานอนหลับ เข้าไปหนึ่งกำมือ ญาติไปพบเข้า จึงนำวนิดาส่ง ร.พ.โดยด่วน หลังจาก ได้รับการล้างท้อง จากห้องฉุกเฉิน วนิดาก็ถูกนำไปรักษาตัว ที่ตึกอายุรกรรมหญิง

ช่างบังเอิญแท้ๆ ที่เตียงนอนของภรรยาหลวง (กินยานอนหลับ) และเตียงของภรรยาน้อย (กินยาฆ่าหญ้า) อยู่ใกล้กัน ภาพของเกรียงศักดิ์ ที่วิ่งดูอาการของภรรยา คนโน้นที คนนี้ที แล้วร้องไห้ เป็นภาพที่ น่าสังเวชใจนัก ข่าวนี้ดังไปทั่ว ทั้งโรงพยาบาล

ขณะนั้น วนิดายังหลับไม่ตื่น เกรียงศักดิ์ เป็นห่วง และวิตกกังวลมาก แพทย์ที่รักษา ภรรยาน้อยอยู่ ก็มาบอกเกรียงศักดิ์ว่า ภรรยาและลูก ในท้องของเขา หมดหวังที่จะมีชีวิตรอดเสียแล้ว เกรียงศักดิ์ ร้องไห้ออกมา อย่างเจ็บปวด และสิ้นหวัง

วันรุ่งขึ้น ภรรยาน้อยผู้อาภัพ ก็เสียชีวิตลง พร้อมด้วยลูกในท้อง ตอนบ่ายวันนั้น พวกเราก็ได้รับข่าวร้าย อีกระลอก คือ เกรียงศักดิ์ กลับไปที่บ้าน ใช้ปืนจ่อขมับ ยิงตัวเอง ตายตามภรรยาน้อย และลูกไปด้วย

เรื่องร้ายไม่จบเพียงนั้น ต่อมา วนิดา (ภรรยาหลวง) ฟื้นจากฤทธิ์ยานอนหลับ เธอเรียกหาแต่สามี ครั้นทราบจากญาติว่า เกรียงศักดิ์ยิงตัวตายแล้ว เธอจึงกลับไปบ้าน กินยาฆ่าแมลง เพื่อจะตายตาม สามีสุดที่รักไป ญาติๆนำเธอ ส่งโรงพยาบาลทันที เมื่อล้างท้อง ที่ห้องฉุกเฉินแล้ว แพทย์ได้รับเธอ เข้าไว้ในห้อง ไอ.ซี.ยู.

หลายวันต่อมา อาการทางร่างกายดีขึ้น แพทย์จึงย้ายวนิดา มาอยู่ที่แผนกอายุรกรรมหญิง

ต่อมาเธอก็ย้ายมา เป็นคนไข้จิตเวช ณ ตึกที่ฉันประจำอยู่ และเป็นคนไข้ของฉัน หลายวันมาแล้ว เธอไม่ยอม รับประทานอาหาร ร่างกายซูบผอม อ่อนเพลียมาก เธอนอนหันหน้า เข้าข้างฝา ใบหน้าหมองหม่น เป็นนิตย์ ดวงตาทั้งสอง ฉายแววปวดร้าว อยู่ท่วมท้น ฉันสงสาร และเวทนาเธอมาก และได้ให้การดูแล เอาใจใส่คนไข้รายนี้ อย่างดีที่สุด เท่าที่ฉันจะสามารถทำได้

ต่อมาเธอเริ่มให้ความไว้วางใจ เธอยอมตอบคำถาม เล่าเรื่องราว และยอมรับฟัง ข้อคิดและคติธรรม จากฉันเป็นอย่างดี และเธอให้สัญญาว่า จะไม่ขอฆ่าตัวตายอีกเลย ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์ สักเพียงไหนก็ตาม ฉันได้นำเท็ป และหนังสือธรรมะ ให้เธอนำกลับไปฟัง และอ่านที่บ้าน เมื่อแพทย์จำหน่ายเธอ กลับบ้าน ฉันได้ขอร้อง ให้ญาติๆของวนิดา คอยช่วยดูแล อย่างใกล้ชิด และเป็นกำลังใจให้เธอด้วย และปวารณา ให้วนิดา มาหาฉันได้เสมอ หากเธอต้องการเพื่อน และความช่วยเหลือ

คนไข้อีกรายหนึ่ง เป็นผู้ป่วยห้อง ๒๐๗ รายนี้เป็นชายชรา อายุ ๘๐ ย่าง ๘๑ ปี ผิวหน้าเหี่ยวย่น ศีรษะล้าน แบบที่โบราณ เรียกว่า "ทุ่งหมาหลง" ฟันบนด้านหน้า หลุดเกือบหมด เหลือไว้ให้ปลงสังเวช เพียงซี่เดียว เวลาลุงยิ้ม โชว์ฟันซี่นั้น ฉันไม่อยากหันไปมองเลย เพราะรู้สึก ไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อนึกไปถึง ตัวอะไร ที่มันน่ากลัว และจะมาหลอกหลอน ตอนกลางคืนน่ะ!

ญาติคนไข้ เล่าให้ฟังว่า สมัยที่คนไข้รายนี้ ยังเป็นหนุ่ม มีรูปร่างหล่อเหลามาก ลุงเป็นกำนัน ผู้ร่ำรวย และมีอิทธิพลมาก ที่ตำบลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนี้ ลุงมีภรรยาที่เปิดเผย เป็นตัวเป็นตนถึง ๕ คน แต่ที่ไม่เปิดเผยน่ะ ไม่ได้นับ รวมลูกๆทั้งหมดจาก ๕ แม่ ก็เกือบ ๒๐ คน ลุงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เลี้ยงนักเลง เจ้าชู้ สารพัด สิ่งเหล่านี้ มันอยู่คู่กับชีวิตของลุง ตั้งแต่หนุ่มจนแก่

เมื่อลุงอายุได้ ๗๐ ปี ก็เริ่มเป็นอัมพฤกษ์ ต้องนอนรักษาตัว อยู่ที่บ้านของเมียใหญ่ หากมีสาวๆ เดินผ่านหน้าบ้าน ลุงจะสดชื่นขึ้น เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ด้วยนิสัยเจ้าชู้ ที่ฝังรากลงลึก ในจิตวิญญาณของลุง

"ไปไหนมาจ๊ะ คนสวย แวะคุยกันก่อนซิจ๊ะ"

ลุงจะพูดยื่นไมตรีให้ ผู้หญิงบางคนก็โกรธ ด่าสวนมา ว่าลุงเป็นตาแก่ ตัณหากลับบ้างละ เป็นเฒ่าทารกบ้างละ หรือบางที ก็เปลี่ยนหัวลุง เป็นหัวงูซะเลย ลุงไม่ได้รับ ความเคารพรัก จากลูกหลาน เพราะความเจ้าชู้ กรุ้มกริ่มของลุง ลูกหลานบางคนก็อาย ที่ตนมีญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่ยอมเลิก นิสัยเจ้าชู้แบบนี้เสียที

ปีนี้ลุงมีความดันโลหิตสูง เป็นอัมพาต มีแผลกดทับ ที่สะโพกทั้งสองข้าง และบริเวณก้นกบด้วย และมีภาวะ แทรกซ้อนอีกอย่างคือ ปอดอักเสบ (Hypostatic Pneumonia) มีเสมหะครืดคราด อยู่ในลำคอลึกๆ ลุงไม่มีแรง ที่จะขากเสมหะ ออกมา ทุกครั้งที่ฉันใส่สายยาง (Suction) เพื่อจะดูดเสมหะให้ลุง ลุงก็จะเม้มปากแน่น ด้วยความกลัวเจ็บ เราต้องให้ออกซิเจนลุงไว้ตลอดเวลา ให้น้ำเกลือและฉีดยา ให้ตามเวลา มีสายใส่ทางจมูก ต่อลงกระเพาะ เพื่อให้อาหารเหลวด้วย และลุงมักจะใช้มือ ข้างที่ยังพอมีแรง ดึงสายให้อาหาร ออกเกือบทุกเวร เวลาใส่สายลงไปใหม่ แต่ละครั้ง ลุงก็จะทรมานมาก หลายครั้ง ที่จำต้องผูกมือลุง ไว้กับที่กั้นเตียง เพื่อป้องกัน ไม่ให้ลุง ดึงสายให้อาหารออก มันทรมานหัวใจ และความรู้สึก ของฉันจริงๆ

๓ สัปดาห์ที่ลุงมาอยู่ ในโรงพยาบาล แทบไม่มีลูกหลานคนไหน จะเอาภาระเลย คนที่เฝ้าอยู่ก็คือ ชาวบ้าน ที่รับจ้างเฝ้าไข้นั่นเอง วันก่อนพอแพทย์บอกว่า จะจำหน่ายคนไข้กลับบ้าน ญาติๆก็ร้องโวยวาย ว่าอาการอย่างนี้ จะเอากลับได้อย่างไร กลับไป ก็ไม่มีใครดูแลหรอก ลูกหลานทุกคน เขาก็มีภาระของเขา กันทั้งนั้น (ใครนะพูดว่า ไม่แต่งงาน ระวังตอนแก่ ไม่มีลูกหลานเลี้ยง... ลุงมีลูกหลาน ตั้งเกือบยี่สิบคน... ก็ยังไม่มีใครเลี้ยงเลย!)

จากที่ฉันสังเกตดู ลูกๆหลานๆ ก็ไม่ค่อยเคารพลุงนักหรอก เพราะกรรมแห่งการมักมาก ในกามคุณ ของลุงนั่นเอง บางทีหลานสาวคนสวย มาเยี่ยม ลุงจำไม่ได้ว่าเป็นหลาน ก็ทำท่ากรุ้มกริ่ม กับหลานอีก แม้จะอยู่ในสภาพ เจ็บป่วยอย่างนี้ก็เถอะ กิเลสกาม มันเคยปรานีใครที่ไหน ฉันเห็นแล้ว สลดสังเวชใจจริงๆ จนอยากจะร้องไห้ เพื่อนพยาบาลอีกคน ก็เล่าให้ฉันฟังว่า เธอเคยเจอคนไข้ แบบเดียวกันนี้ คนไข้รายนั้น พอพยาบาล เข้าไปช่วยเหลือ เข้าไปเช็ดตัวให้ ก็หลง หาว่าพยาบาลมารัก มาชอบตน หนักกว่า ลุงที่เป็นคนไข้ ของฉันรายนี้ เข้าไปอีก เพราะตั้งแต่ ฉันดูแลลุง มาตลอด ลุงไม่เคยเห็นฉัน อยู่ในสายตาเลย อาจเป็นเพราะ "รูปแร้งดูร่างร้ายรุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า" ของฉันนั่นเอง!

ป่านนี้ วิถีชีวิตคนไข้ห้อง ๑๐๔ และ ๒๐๗ ซึ่งออกจาก ร.พ. ไปแล้วทั้งคู่ จะเป็นอย่างไรบ้าง ก็ไม่รู้ ฉันเสียดาย วันเวลาในชีวิต ที่เสียไปกับ ความรักและกาม ของคนไข้ ทั้งสองคนนี่จริงๆ จะต้องให้พบเห็นชีวิต ที่ถูกทำร้าย ถูกฆ่า ด้วยกิเลสกาม อีกกี่ศพ ชีวิตจึงจะกลัว และเข็ดหลาบต่อกาม

เราเองก็เถอะ หากไม่รีบ "กัดใจ" ฝึกฝืนเอาชนะ กิเลสตัวนี้ให้ได้ อาจมีสักชาติหนึ่ง ข้างหน้า ที่จะต้องทนทุกข์ เพราะกามและความรัก เช่นเดียวกับสองชีวิต ที่ได้เล่ามานี้ อย่างแน่นอน

"หากเราปล่อยใจให้กำหนัด ยินดีเพลิดเพลินไปกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชื่อว่า เติมทุกข์ ให้กับตัวเอง ติดข้องอยู่ ในบ่วงแห่งมาร ชื่อว่าไกลนิพพาน หากสำรวมสังวร ตาหูจมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่อว่าเป็น ผู้ไม่ประมาท จักพ้นบ่วงแห่งมารได้"

"ทุกสิ่งจะต้องตาย ย่อมแปรเปลี่ยนไป ชีวิตมนุษย์นั้น...หาความสงบได้ยาก มีความพลัดพราก อยู่ตลอดเวลา แต่ละครั้ง ก็คือ การข้ามสายน้ำนั่นเอง สูผู้ยืนอยู่อย่างเจ็บปวด ควรพิจารณาดูว่า ไม่มีอะไร... สูญเสียไปเลย"

ลูกไกลพ่อ
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ๒๑:๐๐ น.

หมายเหตุ ฉบับหน้าพบกับ "ลูกไกลพ่อ" เป็นเรื่องสุดท้าย ด้วยเหตุปัจจัยบางประการ
หากมีโอกาส "ลูกไกลพ่อ" จะกลับมารับใช้ ท่านผู้อ่านอีกครั้ง

(สารอโศก อันดับ ๑๖๕ กันยายน ๒๕๓๖ หน้า๓๑–๓๕)