โพธิรักษ์ กับ โพธิกิจ หน้า ๗

๔๑
การตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า

คนเข้าใจผิดคิดว่า "พระพุทธเจ้า" นั่งสมาธิสะกดจิตไป แล้วก็ทำจิตเป็นฌาน เป็นวิมุติ จนโล่งว่าง หมดกิเลส ตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" ที่จริงไม่ใช่ !

และที่พระองค์บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า ๖ ปี ก่อนตรัสรู้ ก็ปฏิบัติผิดทั้งหมด ไม่ใช่มรรคองค์ ๘ เลย เป็นการปฏิบัติ ในป่าอย่างฤๅษี

"พระพุทธเจ้า" เกิดมาก็ถูกโลกีย์ครอบงำ ไม่ได้สนใจศาสนธรรมของใคร พอพระองค์ระลึกได้ว่า "ต้องออกบวช ก็ออกบวช" ไปออกป่าบำเพ็ญตั้ง ๖ ปี ศึกษาแสวงหาความหลุดพ้น ก็ถูกฤาษีครอบงำ

จนพระองค์ตรัสรู้เอง เป็น "พระพุทธเจ้า" แล้วพระองค์ก็มาประกาศในสิ่งที่ ตรัสรู้ สิ่งที่เป็นสัจธรรม เป็นอริยสัจ ไม่ใช่สิ่งที่ไปฝึกทรมานอยู่ในป่า ๖ ปี และที่ออกป่า ๖ ปี ก็เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ใช่พุทธศาสนา

พระองค์ตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" ก็เพราะเห็นชัดแจ้งในเรื่องของ "กรรม"

"ศาสนาพุทธ" จึงเป็นศาสนาแห่ง "กรรม" เป็นกรรมนิยม เป็นกรรมสัจจะ มีกรรมเป็นทรัพย์ กรรมเป็นทุกสิ่ง ทุกอย่างของชีวิต

สั่งสม "กรรม" เป็น "กุศล" นั่นแหละคือ "ทรัพย์แท้" ของชีวิต

จะร่ำรวย จน โง่ ฉลาด สวย ขี้เหร่ ฯลฯ ล้วนทำมาเป็นกรรมของเราทั้งสิ้น กรรมพาเกิดเป็นอย่างนั้น "กรรม" จึงเป็น เรื่องวิเศษสุด สำคัญมากในศาสนาพุทธ

พระพุทธเจ้า ได้แสวงหาติดตามชีวิตมาไม่รู้กี่ชาติ เพื่อให้รู้ว่า "ชีวิตคืออะไร ? เกิดมาทำไม ? เกิดมาแล้ว จะเอาอะไร ? สิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นคนคืออะไร ?"

วันที่พระองค์จะ "ตรัสรู้" ใต้ต้นโพธิ์ เป็นการทบทวน "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ย้อนระลึกทบทวน รายละเอียด การเกิดสภาพวิญญาณต่างๆ ของตนในอดีต ทั้งดีและชั่ว มีลักษณะอาการอย่างไร ? ตั้งอยู่ หรือ ดับไปด้วยเหตุใด ?

พยายามระลึกเพื่อให้รู้ว่า "เราตั้งต้นเกิดชาติแรกเป็นสัตวโลกนี่เมื่อไร ? ระลึก ไปเท่าไรๆ ก็ไม่ถึงที่สุด เริ่มแรกเกิดจริงๆ พระองค์ระลึกถึงที่ต้นไม่ได้ หาที่ต้นไม่เจอ"

ระลึกย้อนชาติ "เคยเกิดเป็นใคร ทำอะไร ได้ดี ตกยาก เป็นขอทาน เป็นคนกระจอก เป็นคนดี คนเจริญ คนรวย เป็นนักรบ เป็นกษัตริย์ เป็นสัตว์"

ระลึกไป "ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ หลายแสนชาติ"

เพราะ "ทำอกุศล" อย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้ "ทำกุศล" อย่างนั้น จึงได้อย่างนั้น

คล้ายๆ กับการตรวจงบดุลบัญชีครั้งสุดท้าย ว่า "บุญบารมี" ที่ได้สร้างสั่งสม มาขนาดนี้ พอจะตัดสิน ปฏิญาณตน ได้หรือยังว่า เป็น "พระพุทธเจ้า"

เมื่อสั่งสมบุญบารมีมามากพอ ถึงยุคสมัยที่ต้องตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" แล้ว ก็จะปฏิญาณตนว่า "บรรลุเป็น 'พระพุทธเจ้า' ต้องทำงานศาสนาแล้ว"

เมื่อตัดสินเสร็จ ก็รู้ เป็นความจริง เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของพลังงานนาม ธรรม เป็นเรื่องของ จิตวิญญาณ มีทั้ง เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ

"พระพุทธเจ้า" หยั่งสัญญา หยั่งความจำ กำหนดรู้ความจำเดิมย้อนไปหลายชาติ ไม่ใช่ไปนั่งคิดนึก ปรุงขึ้นมา

"การหยั่งสัญญา" หรือ "การระลึกชาติ" คือ การตามสิ่งเดิมของตน ที่ได้ผ่านมา เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ ที่บันทึก ข้อมูล สั่งสมฝังอยู่ ในคอมพิวเตอร์

"ศาสนาพุทธ" ไม่ได้สอนว่า "ทุกอย่างเกิดได้อย่างบังเอิญ ฟลุคๆ"

"ศาสนาพุทธ" สอนว่า "ทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ"

ไม่มีใครบันดาล ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร เราเป็นเจ้ากรรมเจ้าเวรของเราเอง เราทำมาอย่างไร ก็จะปรากฏผล ตาม "กรรม" ที่สั่งสม สั่งสมเหตุเต็มก็เกิดผลทันที ก็ต้องรับผลกรรมอย่างนั้น

กว่าจะตรัสรู้เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ก็ต้องสั่งสมบำเพ็ญบุญบารมีหลายชาติ ได้พบ "พระพุทธเจ้า" องค์ก่อนๆ มาแล้วแต่ชาติก่อนๆ ได้เรียนรู้กับ "พระอาริยเจ้า" มาหลายชาติ ได้สั่งสมมา จนไม่ต้องพึ่ง -ไม่ต้องเอาจากใคร พึ่งตนเอง

เกิดมา จึงรู้เอง เป็นเอง เรียกว่า "เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง"

"พระพุทธเจ้า" ตรัสรู้มรรคองค์ ๘ อริยสัจ ๔ มาตั้งหลายชาติแล้ว จึงมีของพระองค์เอง ไม่ต้องมีใครสอน "ตรัสรู้" ได้เอง เป็น "ปัจเจกบุคคล ปัจเจกพุทธะ"

"ศาสนาพุทธ" จึงเป็นศาสนาแห่งกรรม จะเป็น "พระพุทธเจ้า" ก็ด้วยกรรม

กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เป็นผู้รับ มรดกกรรมของเราเอง

"ทำชั่ว" ก็ต้องรับ "ทำดี" ก็ต้องรับ แบ่งให้ใคร ก็ไม่ได้

การแบ่งบุญ-แบ่งส่วนกุศล จึงเป็นเรื่องที่ทำผิดๆ อยู่ในศาสนาพุทธ เหลวไหล ไม่จริง ขัดแย้งกับคำสอน ของ "พระพุทธเจ้า"

ผู้ใดประมาททำ "กรรมชั่ว" แม้แต่คิดชั่วเพราะเห็นว่า "นิดหน่อย" ก็ต้องรับผล เพราะ "กรรม" ไม่มีสูญหาย -ไม่ว่า จะกี่ชาติ แล้ว "กรรม" จะออกฤทธิ์เดช

ขนาด "พระพุทธเจ้า" บำเพ็ญกุศลมามากมาย "วิบากกรรม" ที่ทำเลวร้าย แต่ ปางก่อน ก็ยังติดตามมา ส่งผล แต่ "กรรมดี" ก็ตามมาหนุน

ฉะนั้น อย่าคิดมากเลย คนเราจะต้องเจอวิบากอุปสรรคต่างๆ นานา ก็เป็น เรื่องธรรมดาของผลกรรม ยิ่งเจอ วิบากหนักๆ ก็ยิ่งต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้าง กุศลกรรมให้แก่ตนเอง ต้องควบคุมสังวรระวัง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

คนไทยมีธรรมเนียมเอาเหรียญใส่ปากผี พอเผาเสร็จก็คุ้ยหาเหรียญกัน ก็เพื่อแสดงสัจจะให้เห็นว่า "ตายไปแล้ว บาทหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ โกงมา ปล้นมา หรือ โลภมากเอาเปรียบมาจนร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ ทั้งหมด ก็ไม่ติดตามไป ไม่จริง"

แต่ "กรรมชั่ว-กรรมดี" ที่ทำ เป็นของจริง ไปกับเราแน่ๆ อีกนานเท่านาน

(ยังมีรูปถ่ายอาตมาในงานศพคุณตา คุณตาอาตมาตาย แล้วก็เผา อาตมายังเด็กมากไม่รู้เรื่องอะไร ก็ไปคุ้ย หาเหรียญ กับเขาในกองฟอน)

"พระพุทธเจ้า" จึงค้นพบที่ปลาย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก หมดทุกข์-โศกเศร้า หมดกุศล-อกุศล ไม่ต้องลำบาก ลำบนใจ หมดสิ้นทุกอย่าง ตายแล้วก็ดับรอบ ดับทุกอย่าง เลิก ไม่เหลืออะไรอีก นี่คือ "ปรินิพพาน"

นี่เป็น "ความเด่น" จุดที่วิเศษสำคัญที่สุดของศาสนาพุทธ

"พระพุทธเจ้า" มีลักษณะที่เรียกว่า "มหาปุริสลักษณะ ๓๒" ก็คือ...

"ปุคคลาธิษฐาน" พระองค์จะเป็นคนที่มีผิวหนังฝุ่นติดไม่ได้ คือ ผิวหนังของ "พระพุทธเจ้า" นี่ ฝุ่นไม่เกาะ ธุลีละออง ไม่ติดผิวหนัง

"ธรรมาธิษฐาน" ก็คือ เมื่อเป็น "พระพุทธเจ้า" หรือ เป็นผู้ที่มีบุญบารมีถึงที่สุดแล้ว ธุลีละอองแห่งความชั่ว แห่งกิเลส ไม่ติด ไม่ดูด ว่าง โปร่ง หมดตัวตน

 

๔๒
ศาสนา "พุทธ" อเทวนิยม
!
"พระพุทธเจ้า" เป็นคนเหมือนเรา คำนี้ ลึกซึ้งนะ กินความลึก ความกว้าง ความคลุมมากมาย ให้รู้ว่า "พระพุทธเจ้าก็เหมือนเรา" แล้วก็ฝึกฝนจนเป็นได้อย่าง ที่ท่านเป็น เป็นสุดยอดแห่งความดีประเสริฐ สามารถ คือ "เป็นยอดแห่งคน"

สิ่งวิเศษดีที่สุดนี้ "เป็นคน" ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษที่สุดนี้ คือ "พระเจ้า" ไม่ใช่ !

ศาสนาพุทธ "อเทวนิยม" ไม่เหมือนศาสนา "เทวนิยม"

"ศาสนาพุทธ" หรือ "อเทวนิยม" นี้ เป็นศาสนาแห่งคน

คนสามารถได้สิ่งดีวิเศษนี้ เอามาเป็น-มามีอยู่ในคนได้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

แต่...เดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธกลายเป็น "เทวนิยม" ไปเกือบจะหมดแล้ว (เพราะหลงรูปเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสาง เทวดา นางไม้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ บันดล บันดาล แทบทุกวัดส่งเสริมกัน แล้วก็จุดธูปเทียน บูชา อ้อนวอน ร้องขอ เป็นเศษขยะนิยม ไม่ใช่แม้แต่เทวนิยมที่สูงส่งด้วยซ้ำ)

ศาสนา "เทวนิยม" สิ่งดีวิเศษสุด คือ "พระเจ้า"

ถ้า "พระเจ้า" ไม่บันดาล ไม่ประสงค์ ก็เอามาให้แก่ตัวไม่ได้

ต้อง "พระเจ้า" บันดาล บันดล เท่านั้น นี่คือ ลักษณะของ "เทวนิยม"

ศาสนาเทวนิยม เลิกชั่ว ประพฤติดี สั่งสมดี เกาะติดดีตลอดกาลนานนิรันดร

ศาสนาอื่นๆ ก็สอน สร้างแต่ความดี ไม่ละวางความดี แต่ก็จงระวังมานะหลง หยิ่ง-ยิ่งใหญ่-เบ่งข่ม จนกลายเป็น รุนแรง โหดร้าย เขาก็รู้กันอยู่ ก็พยายามลด มีดี ก็ไม่เบ่งข่มกัน แต่ไม่ได้ลด "อัตตา" ซึ่งไม่ใช่ รู้ได้ง่ายๆ

เพราะใจเขายังเชื่ออยู่ว่า "มีภพ มีสวรรค์ มี "ปรมาตมัน" ที่ยิ่งใหญ่ ไปรวมกับวิญญาณใหญ่ ไปอยู่กับ พระเจ้า เป็นวิญญาณที่ไม่สูญ"

"พระพุทธเจ้า" พิสูจน์สูงสุด วิญญาณใหญ่ ไม่มี ! "ปรมาตมัน" ไม่มี !

"ปรินิพพาน" เป็น "ธาตุจิตวิญญาณ" แค่ "ธาตุรู้" เท่านั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่ใช่ของ "พระเจ้า"

ถ้าพิสูจน์ได้จนถึงอรหัตตผล ก็จะสว่างชัดจนกระทั่งอุทานว่า "อ๋อ ! วิญญาณไม่เป็นสภาพที่เป็นของ ของเรา อย่างนี้เอง ไม่เป็นของใคร เป็นธาตุรู้เท่านั้นเอง เมื่อหมดกาละจะรู้ หรือหมดสภาวะจะรู้ ก็ไม่รู้ รู้ได้ด้วยสภาพที่มีองค์ประกอบ"

ใจเราต่างหากไปยึดเป็นจ้าเข้าเจ้าของ โดยตัวเราหลงว่า "เป็นของเรา เราเป็น เจ้าของวิญญาณของเรา แล้วเรา ก็ไม่ปล่อยวางสักที เป็น "วิญญาณดี ก็ยิ่งชอบ"

ถ้าไม่ดี ละล้างได้ก็ดี ขืนไปชอบวิญญาณไม่ดี ก็แย่สิ ! เพราะนั่นคือ "กิเลส" แปลงตัวเป็น "วิญญาณ" ซ้อนแทรกกันอยู่

"ศาสนาพุทธ" เป็น "อเทวนิยม" พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ในสิ่งที่คนเป็นได้-มีได้ เป็นวิทยาศาสตร์ เอามาให้ แก่ตนได้ ตัวเราทำได้ (สันทิฐิโก)

"พระพุทธเจ้า" เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยม สอนสิ่งที่เป็นไปได้ เป็นสวากขาตธรรม

ทุกคนสามารถเอาคำสอนมาฝึกทำให้ที่ตน เกิดที่ตนเองได้ (สันทิฐิโก) ปฏิบัติให้เข้าถึงมรรคผลได้ทุกกาละ ไม่จำกัดกาละ (อกาลิโก) ไม่ใช่ของสุดเอื้อม เป็นสิ่งที่โน้มน้อมเอามาให้แก่ตนได้ (โอปนยิโก) เป็นดอกฟ้า ที่หมาวัด อาจเอื้อมเด็ดเอาได้ นั่นคือ จะเป็นอย่างที่ "พระพุทธเจ้า" เป็น ก็ได้

อาตมาเห็นผลจากพวกเรา "ชาวอโศก" นี่แหละ ที่สามารถเอาหลักธรรมะของ "พระพุทธเจ้า" ไปปฏิบัติ ในระดับ โลกุตระ ระดับอาริยะ

การตาย-การเกิด ของ "เทวนิยม" เอารูปเป็นหลัก ร่างกายตาย แล้วจิตก็ออกจากร่าง เป็นภพชาติ เป็นตัวตน อย่างนี้ ต้องอาศัยการตายจากร่างกาย

อธิบายอย่าง "เทวนิยม" ใครๆ ก็เข้าใจ !

"พุทธ" ก็เข้าใจอย่างนี้ ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่า "อย่างนี้ไม่มี"

อย่างนี้ก็มี แต่ไม่ลึกซึ้ง ไม่ทันการ ยังอวิชชาอยู่

"ศาสนาพุทธ" ต้องมีวิชชา ที่รู้การตาย-การเกิด เร็วกว่านั้น อย่างนั้นช้าไป ไม่ทันกาย ไม่ทันจิต เราเอง ก็ไม่รู้ตัว "การตาย-การเกิด" ของ "ศาสนาพุทธ" เป็น การตาย-การเกิดทางโอปปาติกะ ไม่เกี่ยวกับกาย กายจะตายหรือไม่ ไม่เกี่ยวเลย "อเทวนิยม" ไม่ต้องร่างกายตายเสียก่อน แล้วค่อยไปเกิด เป็นเทวดา ในสวรรค์

ศาสนาพุทธต้องดับอวิชชา กลายเป็นวิชชา รู้ทุกข์อริยสัจ-เหตุแห่งทุกข์-ความดับทุกข์ - ทางปฏิบัติ เพื่อความดับทุกข์ อดีต-อนาคต-ปฏิจจสมุปบาท-สิ่งที่นำพาเกิด

แม้สภาพความเป็นตัณหาอย่างไร ก็ดักรู้ทันหมด รู้จิตวิญญาณ รู้นามธรรม รู้สภาพพวกนี้จริงๆ เป็นเรื่องของ การทำใจในใจของเรา ต้องทำใจ (มนสิการ) จนถึงโยนิโส (หยั่งลงถึงที่เกิด) "กิเลส" เกิดอยู่ตรงไหน ต้องหยั่งลงไปถึงตรงนั้น แล้วฆ่า-ดับ อย่าให้มี ทำจิตให้แยบคาย -ละเอียด -ถ่องแท้ ให้แม่นยำคมชัดจริงๆ

จนดีที่สุด เป็นจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ จิตวิญญาณกุศล จิตวิญญาณพระพรหม มีเมตตา -เกื้อกูล -เอื้อเฟื้อ ประเสริฐ จนเป็นจิตวิญญาณ "พระเจ้า"

แม้เป็น "พระเจ้า" ศาสนาพุทธ ก็ไม่ยึดเป็นเราของเรา (ทาน)

บริจาค "พระเจ้า" ให้ได้หมด จึงเรียกว่า "อเทวะ"

แม้แต่เป็น "เทพเจ้า" ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน "อเทวะ" ไม่เอา ไม่มี ไม่เป็นบริจาค-ทาน-ให้-ให้หมด เป็น "นิพพาน" เป็น "ธรรมะ" ขั้นสุดยอด

ได้เป็น "พระเจ้า" ก็เป็น "นิพพาน" แต่บอกว่า "นิพพาน" คือ พระเจ้าไม่ได้

เพราะ "นิพพาน" คือ ความดับ "พระเจ้า" คือ ความเป็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

"พุทธ" มี "พระเจ้า" ด้วย คือ การสร้างจิตวิญญาณให้มี "พรหมวิหาร ๔"

ตราบที่ยังไม่ปรินิพพาน "พระอรหันต์" จะต้องมีขันธ์ ๕ ของ "พระเจ้า" เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เกื้อกูล สร้างสรร ปรุงสร้างเพื่อให้จริงๆ

และมี "ปัญญา" อย่างยิ่ง รู้ "กุศล" อย่างจริง ไม่ทำ "อกุศล" ใดๆ

สร้างแต่กุศล แล้วรู้จักประมาณตน มีสัปปุริสธรรม ๗ เป็นสัตบุรุษ

 

๔๓
ศรัทธา ๔

คนเราเกิดมาชาติหนึ่งๆ มีกรรมเป็นชุดๆ ไม่ได้ติดตามมาทั้งหมด

เราแต่ละคนได้เวียนวนเกิดกันมาแล้ว ไม่ใช่น้อย ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนชาติ นับไม่ถ้วน วิบากของกรรม เยอะแยะ มากมาย เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องอจินไตย

"กรรมชั่ว" เป็นกรรมอาฆาต จะตามแก้แค้น ติดตามส่งผลเหมือนหมาไล่เนื้อ ตามเร็ว ตามก่อน ออกผลเร็ว ให้ทุกข์ร้อน

"กรรมดี" จะไม่ค่อยออกผลเร็ว เพราะไม่ใช่กรรมอาฆาต

ขอให้ศึกษาจริงๆ แล้วจะเข้าใจจริงๆ จนกระทั่งเกิดมี "ศรัทธา ๔" คือ

๑. กัมมสัทธา เข้าใจกรรม เชื่อกรรม

๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของวิบากกรรม

๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อกรรมเป็นของตน กรรมสั่งสมแล้วไม่หายไปไหน

๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า

เชื่อว่า "การตรัสรู้ของพระองค์เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดวิเศษ"

อาตมาเชื่อ "พระพุทธเจ้า" เชื่อสนิทใจจริงๆ จะว่า "หลงใหล ก็ยอมรับ"

"พระพุทธเจ้า" สะสมบุญกุศลบารมีทางโลกียะ-โลกุตระไว้หมด เกิดมาก็ครบพร้อมทุกอย่าง มีผิวพรรณดี มีชาติ ตระกูลสูงสุดในยุคนั้น บริวารทรัพย์ศฤงคาร มั่งมีพรั่งพร้อม ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแสวงหา เกิดมา ก็เสวยวิบากบุญ

สุดท้ายที่สุด ก็ทิ้ง ! ทุกอย่างที่มี แล้วไม่เอาอะไรเลย จนปรินิพพาน ก็เลิกไปเลย ตัดวัฏสงสาร ไม่มีพระองค์ อีกต่อไป ดับสูญ ไม่มีอะไรเหลือ

 

๔๔
ชีวิตต้องบำเพ็ญบุญ

คนเราเกิดมาไม่มีอะไร เกิดมาแล้วจะเอาอะไร

ถ้าไม่มี "ประโยชน์" ก็อย่าเกิดมาเป็น "คน" เลย !จริงๆ แล้ว คนเราเกิดมา เพื่อ "บำเพ็ญบุญ" สูงสุด !!!

ตราบใดยังไม่ได้พบ "พระพุทธเจ้า" ก็ยังไม่มีความมั่นคงเที่ยงแท้ในองค์ธรรม คนที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง ธรรมเลย "วิบากบาป" นับไม่ถ้วน เห็นบ้างไหม ?

ไปตรวจดูได้เลย สังคมในโลกเขาทุกข์ร้อนกันขนาดไหน "วิบากบาป" มาก จนเข้าวัดไม่ได้ นั่นแหละ ไม่มี "วิบากบุญ" เลย เป็น "อเวไนยสัตว์"

ในความเป็นมนุษย์ จึงไม่มีอะไรจริงๆ เกิดมาก็วนเวียนอยู่กับบาปเวร ทุกข์ๆ สุขๆ กุศล อกุศล วนเวียนอยู่ อย่างนั้น นานนับชาติ

เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้ายังไม่เข้ากระแสแห่ง "พุทธธรรม"

"ศาสนาพุทธ" มีความเที่ยงแท้ เป็นนิยตะในธรรมะที่ได้ไม่เวียนกลับ ไม่ ถอดถอน มั่นคง แน่วแน่ แล้วก็ มีสิทธิ์ สั่งสมบุญขึ้นไปๆๆ จนเกิดเป็น "พระโพธิสัตว์" ไม่รู้กี่รอบๆ ก็เพื่อมาบำเพ็ญบุญ มีประโยชน์ต่อโลก ช่วยเหลือโลก

อยากเกิดอีก...ก็เกิดไป อยากอยู่อีก...ก็อยู่ไป เป็น "มหากรุณา" ของท่าน

แต่ถ้าคนไหน มี "ความเลว" อยู่ในตัวสิ ! ก็น่าหวาดเสียว ยิ่งอยู่นาน สักวันหนึ่ง คนเขาก็จะจับได้ ก็จะหมด ความเคารพลง

ถ้าอาตมาจะมีอายุยืนยาวนานสัก ๒๐๐ ปี คุณคิดว่า "อาตมาจะได้รับความเคารพ ลดน้อยลงไปหรือ ?" ก็อาตมา มีแต่ให้-เกื้อกูล-ขยัน-สร้างสรร-เอาไว้น้อย-จนไม่เอาเลย แล้วก็ไม่ได้ทรมานตนเองด้วย (อัตถกิลมถานุโยค)

อาตมายิ่งมีอายุอยู่ยาวนานเท่าไร ก็มีแต่ "บำเพ็ญบุญ" ช่วยคนให้รู้ความจริง ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ความเคารพ นับถือ ก็ต้องมากขึ้นๆ ด้วย

บำเพ็ญบุญสูงสุด ก็ได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ช่วยขนาดนี้ พอที จบสุด ท่านก็รู้กาลกิริยาอนาคต ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ช่วงนี้ไปจนถึงกลียุค "พระพุทธเจ้า" เกิดอีก ไม่มี ! (จะเกิดอีก ต่อเมื่อ หลังกลียุคล่วงไปแล้ว)

ช่วงนี้ จึงมีแต่ลูกศิษย์ของ "พระพุทธเจ้า" เกิดมาเพื่อจะรังสรรค์สืบทอด ทำงานรับช่วงสืบสานศาสนานี้ไป ให้ถึงกาลยุค พอสมควร ที่จะหมดยุคพุทธันดร หมดช่วงระหว่างหนึ่งของ "ศาสนาพุทธ" ที่สมณะโคดม ทรงสร้างไว้

อาตมาก็เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ที่จะมาช่วยทำงานนี้ มีพระโพธิสัตว์หลายระดับปนเปเสริมสานกันอยู่ อาตมา ก็ระบุบ้าง -ไม่ระบุบ้าง ตามวันเวลาที่อาตมาจะระบุ

ใครอยากรู้ อยากเห็น ก็ติดตามฟังศึกษาละเอียดลออไป คุณก็จะเข้าใจ

แม้แต่ "พระโพธิสัตว์" ด้วยกัน ก็อาจไม่รู้กัน

แต่ "พระโพธิสัตว์" ระดับสูง จะรู้ "พระโพธิสัตว์" ระดับต่ำ และที่อวดดีไม่เคารพ "พระโพธิสัตว์" ที่สูงกว่า ก็มีเป็นธรรมดา ไม่แปลกอะไร เป็นไปได้

เพราะในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องรับรู้ ถือว่า "เป็นคนอื่นเสียก่อน" แล้วให้ท่านทำงานในระดับอย่างนั้นไป เพราะ ถ้าท่านไม่ทำ ก็จะไม่มีการเชื่อมโยง

"พระโพธิสัตว์" ที่จะมาทำงานเชื่อมโยงกันนั้น จะต้องมี "สาระสัจจะ" ที่จริง

แล้วก็มาทำงานศาสนา ช่วยกันโปรดรื้อขนสัตว์ ชี้สัจธรรม

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง ผู้รู้ก็จะรู้จริงๆ ว่า "ควรพูดหรือไม่ควร ควรเปิดเผยหรือไม่ควร ควรแสดงออก หรือ ไม่ควร"

อาตมาเชื่อว่า "มีหลายคนคงตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์อย่างอาตมาบ้าง"

เพราะยุคใดที่ "พระโพธิสัตว์" เกิด บริวารของ"พระโพธิสัตว์" ก็ต้องเกิดเยอะ เป็นเรื่องธรรมดา และจะมีคน ตั้งจิตเป็น "พระโพธิสัตว์" เพื่อจะสืบสานงานศาสนา เป็นบริวารพรรคพวกช่วยกันทำงานต่อไป

อาตมาก็จะพากเพียรพยายามไปให้ถึงที่สุด จนเป็น "พระพุทธเจ้า" ให้ได้ ขอตั้ง "พุทธภูมิ" ช่วยรื้อขนสัตว์ ไปเรื่อยๆ เหนื่อย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทนได้

ยุคใด ที่ "พระอรหันต์" เกิด ก็จะเกิด "พระอรหันต์" มาก

"พระอรหันต์" ก็ทำ "โพธิกิจ" พอสมควร เพื่อรื้อขนสัตว์ ทำงานสืบทอดธรรมทายาท เพราะหมดตัวตนแล้ว แต่ไม่เน้นแรงแบบ "พระโพธิสัตว์"

ถ้าชีวิตนี้ชาตินี้ ขอเป็นแค่ "พระอรหันต์" ไม่ขอต่อภพต่อภูมิสูงขึ้นไปอีกแล้ว ไม่ตั้งจิตตั้งใจเป็น "โพธิสัตว์ โพธิกิจ" ก็จะเลิกเกิด สูญได้

แต่ "พระอรหันต์" ก็เป็น "พระโพธิสัตว์" ในตัว พอจบกิจหมดสิ้นอัตตา ตัวตนทุกเรื่องทุกอย่างแล้ว ก็เหลือ ร่างกายนี้ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ต่อไป

"พระอรหันต์" มีความสามารถ มีปัญญา มีกิจกรรมอะไร ก็ทำไปอย่างไม่ซังกะตาย เบิกบาน -ร่าเริง -มีกระจิตกระใจ -มีอิทธิบาท-มีความเพียร-ไม่เห็นแก่ตัว-เสียสละ อย่างชัดแจ้ง ให้แรงงานแจกจ่าย - เลี้ยงดู เป็นคนประเสริฐอยู่ในโลก เป็นคนผู้มีคุณค่าต่อโลก เป็นพระพรหม - เป็นพระผู้สร้าง - เป็นพระผู้ประธาน - เป็นพระผู้ให้

จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ต้องการอะไรแลกเปลี่ยน ไม่ต้องการเอามา

 

๔๕
อย่าก่ออกุศลวิบาก

ชีวิตคนที่เกิดมา แรกๆ ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉาน กิน ดื่ม เสพ สืบพันธุ์ ไป ตามประสา แล้วค่อยๆ ถูกฤทธิ์ โลกีย์ครอบงำ ด้วยกามคุณ-ด้วยโลกธรรม มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นภาระ-เสียคน-งมงาย-หลงเลอะ - เปลืองเปล่า - ผลาญพร่า - ทำลายชีวิตที่มีคุณค่า และก็เพราะ "เงิน" แท้ๆ ทีเดียว "คน" จึงคิดสร้าง "วัตถุ" และ "ความหลง" ขึ้นมาทำลายตนและสังคม ให้ "ต่ำสุด" ได้ปานฉะนี้

"พระพุทธเจ้า" ระลึกชาติได้หลายแสน หลายล้านชาติ ไม่รู้กี่ยุค กี่สมัย ตรวจสอบหมดแล้ว โอ้โฮ ! เจอแต่ สังคม มนุษย์หลงโลกีย์ มีแต่เรื่องที่ถูกหลอกให้หลงมัวเมาอยู่กับโลกโลกียสุขอยู่นั่นแหละ ทุกข์ๆ สุขๆ วนเวียนไป ไม่รู้จบ

อีกกี่โลกแตก อีกกี่ลูก คนก็จะหลงอย่างนี้ แต่คนเราจำไม่ได้ว่า "ตัวเองได้ หลงจัดจ้าน เคยชั่วกันมา มากมาย แล้วทั้งนั้น" คิดดูดีๆ ถ้าเชื่อ !

เกิดมาเป็นคน นอกเหนือจากเส้นทางสัจธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเท่าทางนี้ เป็นทางดิ่ง-ทางเดียว -ทางดี - ทางวิเศษ - ทางประเสริฐสุด ที่ "พระพุทธเจ้า" พาเป็น

จนกระทั่งสุดท้าย "พระพุทธเจ้า" ค้นพบ "ปรินิพพาน" โลก-จักรวาลจะเกิดอีกกี่ล้านๆ เท่าไหร่ก็ตาม เรา "ปรินิพพาน" สูญ เลิก ไม่เกิดมาเป็นคนอีกเลย

อาตมาก็ไม่รู้จะเน้นให้พวกเรารับรู้ได้อย่างไร อาตมาพิสูจน์ตัวเองมาจนถึง วันนี้แล้ว อาตมาเชื่อสุดเชื่อ ! จนไม่เอา โลกีย์รสอร่อยของโลกอีกแล้วจริงๆ

อาตมาเกิดมาในชาตินี้ หรือ ชาติไหนๆ ก็จะขอทำงานสืบทอดสัจธรรมของ"ศาสนาพุทธ" ไปจนตาย เป็นการ "กตัญญู" ต่อ "พระพุทธเจ้า" เพื่อสังคมโลก จะได้มีมนุษย์ที่รู้จักสัจธรรม หลุดพ้นจากเรื่องที่ต้อง วนเวียน อยู่ในโลกโลกีย์นี้อีก

ก็จะขอทำอย่างนี้ จะมุ่งมั่นทำงาน จะพยายามสร้างสรรคุณงามความดี แล้วก็ถ่ายทอด-บอกสอน - แนะนำ ให้คนอื่นๆ ได้รู้ตามต่อๆ ไป

อาตมาพยายามดูแลตัวเอง ให้มีชีวิตอยู่ให้ยาวนานที่สุด เท่าที่จะนานได้

ไม่ใช่เพราะอาตมา "กลัวตาย" แต่เพราะอาตมา "ไม่กลัวเหนื่อย"

ถ้าเป็น "พระอรหันต์" ดับกิเลส หมดอัสสาทะแล้วจริง จะวนเวียนเกิดอยู่ในโลกนี้อีก ก็อยู่ไป...ไม่ห้าม เพราะเกิดมาอีก...โลกีย์ก็ครอบงำไม่ได้ ก็จะได้ช่วยคนที่ยังหลงติดอยู่ โลกต้องการคนเช่นนี้ เกิดมาช่วยโลก

"พระอรหันต์" หมดทุกข์เข้าใจทุกข์อริยสัจ มีหลักประกันสำหรับตน โลกีย์ ทำทุกข์อะไรๆ ให้ไม่ได้อีกแล้ว

ฉะนั้น "พระอรหันต์" ทุกองค์ จะ "กตัญญูกตเวที" ต่อศาสนา

แต่ก็มีหลายองค์ ที่วิบากเยอะ ! แพ้วิบากของตัวเอง เป็น "วิปากทุกข์" แม้ เป็น "พระอรหันต์" แล้ว ถ้าไม่ได้ บำเพ็ญ ล้างกรรมวิบากเก่าๆ "วิปากทุกข์" ตามมา ก็น่ากลัว "พระอรหันต์" ที่ตั้งจิตเป็น "พระโพธิสัตว์" สู้ไม่ไหว ตรงวิบากของตนเอง ตอบแทนคุณศาสนาได้ร้อยชาติ -พันชาติ ช่วยได้แค่นี้ "สัพพัญญุตญาณ" ก็ได้แค่นี้ ก็เอาล่ะ พอ เลิก มีอย่างนั้นจริงๆ เพราะสู้ "วิบาก" ไม่ได้

ฉะนั้น อย่าได้ก่อ "วิบากอกุศล" ไว้มากนัก จะทำประโยชน์ให้แก่โลกไม่ได้มาก แล้วก็จะทุกข์ทรมานตัวเอง อย่าไปก่อ อย่าไปทำ แม้ที่ลับที่แจ้ง "อกุศล" แม้น้อยนิด อย่าทำเลย ทำแล้วก็เป็นของเราจริงๆ กิเลส แรงช่างยุให้ทำ ก็ต้องทนให้ได้

ต้องฉลาดหาทางอย่าให้ "กิเลส" มีอำนาจ สู้เองไม่ไหว ต้องวิ่งเข้าหาหมู่กลุ่ม หาคนที่มีอินทรีย์ - พละแข็งแรง จะได้ไม่กล้าทำ ผู้ที่แข็งแรงจะได้ช่วย

อาตมาเชื่อว่า "พวกเราหลายคน ได้รับความรู้ในอาริยสัจธรรมความจริง มีคุณธรรม มีอาริยคุณ และจะมี ผู้ดำเนินรอยตาม "พระพุทธเจ้า" แล้วถ่ายทอดให้ อนุชนรุ่นหลังๆ ได้รู้ตามไปอีก"

 

๔๖

เนื้อทุกชิ้น กระดูกทุกสัดส่วน เลือดทุกหยดหยาด
ลมหายใจทุกกระแส ขอบดขยี้ใส่พานเทิดทูนไว้ แด่...
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยชีวิต ด้วยจิตวิญญาณ
อาตมา ได้กล่าวไปแล้วว่า "อาตมาจะกอบกู้ศาสนา"
แม้ที่สุด อาตมาก็ได้ "กอบกู้" มาแล้ว

ถ้าอาตมาจะตายวันนี้ หรือจะตายพรุ่งนี้
อาตมาก็เชื่อว่า "เท่าที่อาตมาทำงาน "ศาสนา"
ที่มี "สารัตถะ" ลงไปแล้วในพิภพโลกนี้
อาตมาได้รื้อฟื้น "สัจธรรมของพระพุทธเจ้า" ขึ้นมาได้ขนาดนี้
มีเนื้อ-มีแก่น-มีแกนขนาดนี้ แก่นแกนเนื้อนี้
ก็จะเป็นไป" พวกคุณก็จะ "ดำเนิน" กันต่อไป

"ทิฐิ" ความเห็น-ความเข้าใจต่างๆ ได้แค่ไหน ? ปัญญาได้ขนาดใด ? เจโตมีหลักแรงเป็นของสถิต - คงมั่น - ยืนนานได้เท่าไร พวกคุณก็จะเป็นไปแทนที่จริงๆ ที่จะทำงาน "ศาสนา" ต่อไปได้ เท่าที่ "ภูมิ" ของพวกคุณ จะ "รักษา" ไปได้

ถ้าอาตมาทำงานอยู่ มีใครมาห้าม อาตมาก็หยุด เมื่อเห็นสมควร หากจะห้ามอย่างแรง เพราะความหลง ของเขา อาตมาก็จะขอบอกเขาว่า "คุณอย่าทำบาปเลย อาตมาจะทำบุญ อาตมาจะทำประโยชน์ คุณมาขัด เป็นบาปของคุณนะ !"

ถ้าห้ามเขาไม่ได้ เขาจะเอาอำนาจทางโลกมาขัด มาทำอะไรต่ออะไรเป็นบาปหนักเข้าไปอีก อาตมา ก็จะไม่เอาล่ะ ! ไม่ต้องทำ ! ไม่ต้องให้เขามาฆ่า !

เพราะ เขาฆ่า เขาจะต้องบาปหนักหนา ก็เลี่ยงๆ ไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็ไปทำอะไรๆ ที่พอจะทำได้ ตายเมื่อไหร่ ก็ตาย !

ถึงแม้ที่สุดหลบเลี่ยงไม่ได้ อาตมาเห็นสมควรที่สุดแล้ว เพื่อส่วนใหญ่ ส่วนประโยชน์แท้แห่งศาสนา เขาจะฆ่า เอ้า ! ฆ่าก็ฆ่าไป ตายก็ตายกัน บาปใครบาปมัน ก็อยากฆ่าอาตมานึกว่า "ได้บุญ ฆ่าก็ฆ่าซินะ" แม้ชีวิต ก็ยอมพลีได้ ไม่มีปัญหาเลย


ถ้าอาตมายังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก ก็จะทำงานทำการอะไรๆ สูงขึ้นมา เป็นแก่น- เป็นเนื้อ-เป็นสาระลงไป เท่าที่อาตมา จะทำไปได้ นำพาไปได้ แม้อาตมาจะพอมี "อนาคตังสญาณ" พอจะรู้อะไรๆ บ้าง ก็ตาม อาตมา ก็จะไม่เล็งญาณ ไม่ทำ !

อาตมาจะไม่พยายามพยากรณ์ ขนาดนั้นยังมีตัวเด่นขึ้นมาเอง ให้รู้อยู่

อาตมาไม่มีเวลาพอ แม้แต่ทำงานวันต่อวัน พอถึงเวลาพัก ก็รีบพัก นอนพัก ตื่นขึ้นมา แม้ยังเพลียๆ อยู่เลย ก็ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องทำงานต่อ ไม่มีเวลาที่จะมาทำอะไรเล่นๆ ยิ่งเป็น "เดรัจฉานวิชา" ยิ่งไม่ทำ ไม่จำเป็น งานของ "พระพุทธเจ้า" ไม่ต้องเอา "เดรัจฉานวิชา" เข้ามาช่วยให้ด่าง ให้เสียหาย

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่พยากรณ์ ดูแต่ปัจจุบัน ดูแต่เหตุผล ดูแต่ข้อมูล ดูแต่สิ่งที่เราจะกระทำ ให้ได้ สัดส่วน ที่จะเป็นองค์ประกอบ ประมวลองค์ประกอบเข้ามาให้ดีที่สุด แล้วก็จะเกิดการสร้างสรร สังเคราะห์ กลายออกมาเป็นผลเอง

อาตมาแน่ใจว่า "อาตมามีความจริงใจที่สุด ที่จะทำงานนี้ เสียสละเลือดทุกหยด ลมหายใจทุกกระแส เนื้อกับกระดูกที่เหลือ ดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งนี้ทั้งก้อน มอบให้แก่ "ศาสนา" ทั้งหมด มอบให้แก่ "สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ตายกันอยู่ตรงนี้ ไม่มีอื่นอีก"

อาตมามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ สู้ ! ไม่ใช่ไปย่ำยี-ถกเถียง-รังแก-รบราฆ่าฟัน-ทำร้าย

สู้ ! ตรงที่ว่า "อาตมาไม่หนี-ไม่ถอย นำพาสร้างสรร พาลดละกิเลส-ความโลภ-โกรธ-หลง- ไม่เห็นแก่ตัว - ไม่เอาแต่ใจตัว"

อาตมาทำงานนี้มาตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่า ยังหนุ่ม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ได้ชื่อว่า "แก่แล้ว" (พ.ศ. ๒๕๔๕) เพราะอีก ๒ ปี ก็ ๗๐ ตาก็เสียไปข้างหนึ่งแล้ว ไม่เต็มที่แล้ว เสื่อมไปตามกาล คอก็ไออยู่เป็นประจำทุกวัน จนเป็นสามัญ ซ่อมไม่ขึ้นแล้ว

จะพูดอธิบายบรรยาย จะทำอะไรก็ทำไม่ได้มากแล้ว ใกล้วันตายเข้าไปจริงๆ

แต่อาตมาก็ภูมิใจอยู่ว่า "คนฝึกได้" สามารถพัฒนาเป็นคนพิเศษในระดับ

"โลกุตระ" เป็นคนอีกโลกหนึ่ง เป็นคนที่ไม่ยินดีใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ติดในบันเทิงเริงรมย์สุขบำเรอใจต่างๆ นานา เลิกล้าง "กิเลส" นั้นๆ ได้จริงๆ

ทุกวันนี้อาตมาไม่ล้มเหลว มีคนได้สัจธรรมของ "พระพุทธเจ้า" มากขึ้นเรื่อยๆ

"จิตวิญญาณ" เมื่อเข้าถึงความจริงแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ตกต่ำ เที่ยงแท้

อาตมามั่นใจที่ตนเอง เพราะอาตมาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ชัดเจน แน่วแน่ มั่นคง

อาตมาก็พยายามจะเก่ง ที่จะเอา "สัจธรรม" มาบอก-เปิดเผย-ชี้แจง แสดงให้ เข้าใจ -ให้เห็นจริง ตามที่อาตมาเห็น อย่างน้อยเห็นโดยปริยัติ โดยบัญญัติภาษาก่อน

แล้วทุกๆ คน ก็จงเอา "ความจริง" นี้ ไปปฏิบัติพิสูจน์ กันเอง

จงพิสูจน์ให้ถึง "ความจริง" เหล่านี้ ให้ได้ทุกๆ คน

-จบ-

กลับที่ไปที่หน้าสารบัญ

(ย้อนกลับไปที่หน้า ๑)

โพธิรักษ์
กับ
โพธิกิจ


[7]