โพธิรักษ์ กับโพธิกิจ ๒


บุญบารมีที่สั่งสมมา

"พระพุทธเจ้า" ตรัสว่า "เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง ความรู้นี้มาก่อนเลย"
แล้ว "พระพุทธเจ้า" ก็นำความรู้นี้ ออกมาสอนแก่ใครๆ

"พระพุทธเจ้า" เป็น "สยัมภู" ตรัสรู้ได้เอง ซึ่งก็รู้มาจาก "พระพุทธเจ้า" องค์ ก่อนๆ นั่นเอง พระองค์รู้มาแล้ว หลายชาติ มากมาย จนไม่ต้องนับกันเลย

"ศาสนาพุทธ" นั้น ทุกอย่างมาแต่เหตุ อยู่ดีๆ มาเอง-มีเอง-รู้เอง..ไม่ได้! เหตุเพราะ ได้ "สั่งสมบุญบารมี" มา ได้ร่ำเรียนศึกษา เคยอบรมบำเพ็ญมา แล้วก็เอาความรู้นี้ มาสืบต่อ ยังกุศล ให้ถึงพร้อม เอามาถ่ายทอด เป็นธรรมทายาท

ผมก็รู้จาก "พระพุทธเจ้า" หลายองค์ ผมก็เรียนมา สั่งสมมา ผมก็รับรู้มาจาก "พระพุทธเจ้า" ทุกอย่างมีเหตุ อยู่ๆ มีเอง -รู้เอง -เป็นเอง ไม่ได้ ! ผมเป็น "สาวกสังโฆ" เป็น "สัมมาสัมพุทธสาวก" รับต่อทอดมา

ผมก็มาแนะให้เกิด "ปัญญินทรีย์" เกิด "ปัญญาผล" ให้เกิด "ธรรมวิจัย" ใน เหลี่ยมมุมต่างๆ ผมพูดในสิ่งที่ พวกคุณ ไม่เคย ได้ยินได้ฟังมาก่อน

ผมแน่ใจว่า "ทิฏฐิที่ผมมีอยู่ขณะนี้ เป็น "สัมมาทิฏฐิ" มีปัญญา มีปัญญินทรีย์ มีปัญญาผล มีธรรมวิจัย มี "สัมมาทิฏฐิ" อยู่ในองค์มรรคทั้ง ๘"

ในเรื่องของบุญบารมีที่สั่งสม นั้น เราต้อง "ลดกิเลส" ให้ได้ "ลดกิเลส" ไปเถอะ! แล้วอยากจะไปเชี่ยวชาญ - ชำนาญ - สามารถ -เก่งกาจในเรื่องใดๆ ก็เชิญ! แล้วความเก่งนั้นๆ จะไม่เป็นดาบสองคม ย้อนมาเป็นพิษ -เป็นภัยแก่เราเอง จะไม่ยอกย้อน ทำร้ายเรา ในภายหลัง เพราะเรามีหลักประกันที่ "ลดกิเลส" ได้

ถ้า ไม่ "ลดกิเลส" แล้วไปเก่งกาจสามารถ จะกลายเป็น "บาป" ยอกย้อน กลับมาแทงตัวเอง หรือ ทำให้ตัวเอง เกิดพิษภัย -เกิดโทษ -เกิดทุกข์

"ลดกิเลส" ได้แล้วจริง เราก็จะรู้จักเลือกด้วยว่า "ควรจะเก่ง ควรจะศึกษาอะไร ที่จะเป็นประโยชน์คุณค่า ต่อโลกมนุษย์ ต่อสังคม"

คนเราจะฝึกฝน-จะศึกษาอะไร ก็ฝึกไป จะไปเก่งดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือ ศาสตร์แขนงใดๆ ก็ตาม ใครอยาก จะเก่งอย่างไหน ก็เก่งไป ก็ไปศึกษาค้นคว้า เชี่ยวชาญในทางนั้น สั่งสมกันเป็นชาติๆ ไป แต่ก็ต้อง พิจารณาถึงเนื้อแท้ ความสำคัญด้วยว่า "สิ่งนั้น มีความสำคัญสักแค่ไหน มีประโยชน์อย่างไร กับชีวิต อย่างลึกซึ้ง สุดยอดหรือไม่

"พระพุทธเจ้า" เกิดไม่รู้กี่ชาติ ถ้าเชื่อว่า พระองค์ระลึกชาติได้ แต่ละชาติๆ ก็ได้ตั้งจิตมุ่งทิศทาง ที่จะศึกษา ความเป็น คนประเสริฐ และสิ่งที่ก่อเกิดวัฎสงสาร

พระพุทธเจ้า สนใจเรื่องอื่นๆ มาบ้าง ชาติสุดท้าย จึงเรียนจบหมดทุก ๑๘ วิชา เรียกว่า "จบ ดร. ทุกแขนง" ก็ยอดเยี่ยม มนุษย์แล้ว เพราะได้ฝึกฝน สั่งสมมาทุกชาติ มาชาตินี้ เรียนรู้แป...บเดียวก็จบ ซึ่งคนทุกวันนี้ จบ ดร. ๔-๕ ใบ ก็ยังมีเลย


สมณพราหมณา

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ และโลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่ง ด้วยตนเองในโลก มีอยู่

"สมณพราหมณ์" ที่เป็นผู้รู้โลกนี้-โลกหน้า ก็ยืนยันพิสูจน์ ด้วยการอธิบาย ด้วยการประกาศแจ้ง ให้พวกคุณ "รู้โลกนี้ ตามบ้าง รู้โลกหน้าตามบ้าง" พวกคุณ "โชคดี" ที่ได้มาพบ "สมณพราหมณา" ผู้นั้น ผมนี้แหละ คือ "สมณพราหมณ์ผู้นั้น ผู้ดำเนินชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ และโลกหน้า... ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่ง ด้วยตนเองในโลก" นี่ไม่ได้อวดตัวนะ!

เป็น "ยถาภูตัง อัตตานัง อาวิกัตตา" เป็น "ความจริง ตามความเป็นจริง" และ "อสโฐ โหติ อมายาวี" ไม่ได้เป็น เรื่องอวด เรื่องโอ่ ไม่ได้เป็นเรื่องมายา

ผมเปิดเผยตนเอง ด้วยตนเอง ในจิตผมขณะนี้ ไม่ได้คิดอยาก "อวดโอ่" ไม่ได้มีจิตใจ "ฟูฟอง" ถึงกาล ควรบอกกล่าว ก็บอก ผมไม่ได้พูดเล่นๆ อวดโอ่ เหมือนคนโชว์เพชร ร้านเล็ก ร้านน้อยก็โชว์ สลัมก็โชว์ ในวังก็โชว์ นั่นน่ะเรียกว่า "โอ่อวด" โชว์เขาไปหมด ผมไม่ได้เป็นคนบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ และไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมรู้หมู่กลุ่ม รู้กาละ เทศะ เวลา ในการที่จะพูดถึง และก็พูดด้วยจริงใจ

ผมขอยืนยันว่า "ผมเป็นสาวกที่ถูกต้อง ที่เป็นสัมมา ผมทำงาน ศาสนาที่ถูกต้อง สิ่งที่รู้ ผมรู้แจ้ง เห็นจริง เป็นสัจธรรม ที่ชัดเจน พิสูจน์ได้ และ กำลังนำพา พิสูจน์อยู่เดี๋ยวนี้" ขอตอบตรงๆ ว่า "ไม่ได้ยกตนสูง หรอกนะ" เป็น "ความสูง" เองจริงๆ สูงจริงโดยธรรม ที่ได้ทำตนให้ "สูง" แล้ว แต่ว่า "คน" กำลัง "ข่ม" ผมลงต่างหาก ไม่ใช่ผมยกตน!

อาตมาเป็นได้แค่ "สาวกของพระพุทธเจ้า" นะ อย่างเก่ง ก็เรียกอาตมาได้ว่า "สัมมาสัมพุทธสาวก" ซึ่งบางคน ได้ยิน ก็สะดุ้งสะเทือน ทั้งๆ ที่ ใน "พระไตรปิฎก" ก็มีคำว่า "สัมมาสัมพุทธสาวก" ที่เรียกสาวก ของพระพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติถูก - ปฏิบัติตรง ตามสัมมาสัมพุทธะ และก็มีมา ตลอดเวลา

แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครสามารถ ปฏิญาณตนได้ อย่างแน่ใจตนเอง และก็ไม่รู้กัน ได้ คือ ไม่เป็น "สัจฉิกรณะ" ไม่เป็นสิ่ง ที่รู้แจ้ง - เห็นจริง "สติปัญญา" จึงเบลอไปหมด! ช่วยเหลือสังคมไม่ได้!

นี่คือ "ศาสนากำลังจะไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีแก่นแกน กันอย่างมั่นคง"

 


เบื้องหลังสมณพราหมณ์ผู้นั้น

ชาตินี้อาตมาเกิดมา ก็ต้องมีเหตุปัจจัยครบ! ทำไมอาตมา ไม่มีอาจารย์ ทำไมอาตมาจึงไม่มี พื้นเบื้องหลัง ทางธรรม ในชีวิตอาตมา ไม่ได้เรียน ไม่ได้ใส่ใจ ไม่เคยสนใจศาสนา มาก่อนเลย ไม่มีเบื้องหลังแอบซ่อน ไปศึกษาศาสนา มาจากที่ลึก -ที่ลับไหนๆ

ชาตินี้ ใครก็ได้ บอกสิ! ยืนยันสิ! ว่า "อาตมาไปแอบเรียนรู้ธรรมะ เมื่อไหร่ ใครเป็นอาจารย์ ถ้าใครรู้ประวัติ เบื้องหลังอาตมา ก็ลองตามสิ"

อาตมาไม่เคยไปเรียนธรรมะ จากสำนักไหนๆ ไม่เคยไปเรียนรู้อะไรๆ เกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับพระ จนรู้แจ้ง เจนจบ รู้จริงมาจากใคร ไม่เหมือนหลายๆ คน ที่พยายาม สนใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ จากอาจารย์โน้น - อาจารย์นี้ ศึกษาจาก ตำราโน้น - ตำรานี้ อะไรๆ มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

อาตมามีแต่มุมานะ ใส่ใจทำมาหากินแบบโลกๆ เลอะเทอะไป ไม่ได้ใส่ใจเลย ในศาสนา กลับไปสนใจ "ไสยศาสตร์" ด้วยซ้ำ ไปเล่น "เดรัจฉานวิชา" แต่ อาตมาก็ไม่ได้ รังเกียจศาสนา เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจ แล้วอาตมา ก็ไม่ได้มีเจตนาจงใจ คิดอ่านว่า "จะต้องมาเป็น อย่างทุกวันนี้ มาทำงานอย่างนี้ มาพูดอย่างนี้ ไม่มีเลย ไม่เคยคิดฝันเลยจริงๆ"

มีแต่พากเพียร หัดเป็นนักโฆษก เสแสร้งทำทีพูดไพเราะ เพราะพริ้ง เพื่อที่จะให้ได้อยู่ในโลก ให้มีชีวิตวิเศษ ในทาง แบบโลก เป็นคนโลกๆ ด้วยซ้ำ มีวิมานวาดฝันว่า "จะต้องเป็นคนเก่ง -คนดังทางโลก ในงานอาชีพ ที่หลงไปแล้ว ที่ รัก รักพงษ์ เขาอยาก จะเป็นยิ่ง -เป็นใหญ่ทางโลก มุ่งหมาย อุตสาหะ วิริยะด้วยซ้ำ ที่จะขอโด่ง - ขอดัง ไปอย่างนั้น ใช้เวลา เพียรพยายาม ก็มากมายหลายปี"

แต่อาตมาต้องมาเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะ มีโลกก่อน มีโลกนี้ มีโลกหน้า เป็น "บารมีเก่า" อาตมา ถึงกล่าวว่า "ใครก็ตาม อธิบายให้อาตมาทีว่า อาตมาเอาความรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ (ภูมิธรรม) มาจากไหน" เป็นนักอ่าน ก็แสนเลว พระไตรปิฎก ส่วนมากที่รู้ๆ อยู่นี่ คนอื่นอ่าน แล้วก็เอามาช่วยป้อน ช่วยบอก เอามาเสนอ ให้ดูบ้าง ก็ได้รู้ได้เห็น ความสำคัญขึ้นมา

อาตมาไม่เคยคิดว่า "อาตมาจะมาฉลาดอย่างนี้ มีความรู้ ในทางธรรมอย่างนี้" แต่ก่อน อาตมาก็หลงๆ เลอะๆ ถูกโลกโลกียะ เขาเขย่าให้เมา อาตมาก็เมาๆ มึนๆ งงๆ งมๆ คลำๆ โลกหลอกให้เมา ก็เมาไปตามเขา บ้าง พอพ้นช่วงนั้นแล้ว ถึงเวลาก็รู้ ก็เป็นเอง ก็หายเมาเอง เพราะอาตมา "มีเชื้อเก่า มีบารมีเก่า" พอหันมา ใส่ใจในศาสนา อาตมาจึงปฏิบัติธรรมไว ไม่ช้าไม่นานเลย

เพราะอาตมามีฤทธิ์ในทางธรรม ของอาตมาเอง พอรู้ตัวขึ้นมา มีอินทรีย์พละขึ้นมา ก็หยุดเมา ค่อยๆ ฟื้น มารู้ตัว อาตมาถึงได้ หันเหชีวิตมาทางนี้ เมื่อมาทางนี้แล้ว ถึงได้รู้ตัว ค่อยๆ หายเมา จากลิงลม อมข้าวพอง ใหม่ๆ ก็ ยังเซ่อๆ อยู่ จนได้ "ภูมิธรรม" ขึ้นมาเรื่อยๆ ก็รู้ว่า "เราไม่ใช่คนที่จะต้อง ถูกสิง-ถูกทรง อะไรนี่ เราไม่ได้เป็น คนของโลกโลกีย์"

และการเป็นอยู่ทุกวันนี้ อาตมาก็ไม่ได้แกล้งเป็น ไม่ได้แกล้งรู้ ไม่ได้แกล้งฉลาด ไม่ได้แกล้งสบาย ใครแกล้งฉลาด แกล้งสบาย อย่างอาตมาได้ ก็จงแกล้งเถิด ให้ตลอดชีวิต นี่ถ้าอาตมา ไม่รู้โลกก่อนของตน อาตมา ก็จะต้องทึ่ง ต้องงง !

เวลามีคนถามว่า "ทำไมถึงต้องบวช" อาตมาจึงตอบไม่ได้ว่า "ทำไม?"

ถ้าตอบแล้ว จะเหมือนกับคุยโม้มาก เพราะเมื่ออาตมา สลัดอาการ ถูกสิง -ถูกทรง สลัดคราบโลกียะ ที่มา ฉาบพอก จนสะอาดหมดจด ออกมาแล้ว อาตมาถึงได้รู้ว่า "อาตมาเป็นใคร? อย่างไร? ต้องมาทำอะไร?" ซึ่งอาตมา ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ "สารัตถะ" ก็แสดงอยู่ พูดไป ทำไป

อาตมาจึงมาทำงาน -ทำหน้าที่ สิ่งจริง ของอาตมาไป ทำอยู่ จนกระทั่ง ทุกวันนี้

 


รู้เอง เห็นเอง แจ้งเอง

เพราะอาตมาไม่มีอาจารย์ ที่ไปศึกษาธรรมะ นำพาธรรมะ จากสำนักนั้น สำนักนี้ ที่พาให้ "บรรลุธรรม" อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่เคยมี !
เรื่องนี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า "บารมีเก่ามีจริง"

ความรู้ทาง "ศาสนา" ของอาตมา "เหมือนอาจารย์สำนักไหน องค์ไหน" แล้วอาตมาเอามาโอ่อวดว่า "เป็นของตน โดยเฉพาะ ธรรมะขั้นลึกๆ ซึ้งๆ" อาตมาจึงกล่าวได้ว่า "ชาตินี้อาตมา ไม่มีอาจารย์ ที่ได้ไปเรียนรู้ และได้บรรลุธรรม ตามอาจารย์นั้นๆ ได้ความรู้ อันนั้น -อันนี้ พาได้มรรค-ได้ผล อย่างนั้น-อย่างนี้ ก็ไม่มี"

มีแต่ ปฏิบัติเอง เรียนเอง จนรู้แจ้ง จนเข้าใจอะไร ต่างๆ นานา กระทั่ง สละออกจากโลกีย์ มาทำงาน "ศาสนา" จนป่านนี้ ก็มีคนเข้าใจผิด หาว่า "อาตมาอวดดี ที่กล่าวว่า ตนไม่มีอาจารย์" เขาแย้งว่า "ก็อ่านหนังสือของใครๆ นั่นไง ก็ต้องถือว่า นั่นก็เป็นอาจารย์"

อาตมาก็อยากจะให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ที่อาตมาได้ อาตมาทำนั้น ก็ไม่ได้ทำตาม หนังสือของใคร ทำก็ไม่ได้ เหมือนคณะไหน อาจารย์ไหน อย่างตรงกันไปทีเดียว พื้นฐานทั่วๆ ไป ตื้นๆ ก็เหมือนกันบ้าง แน่นอน เพราะของง่าย พื้นฐานสามัญ ใครๆ ก็ย่อมพอรู้! แต่ความเห็นขั้นลึก "ถึงมรรค-ถึงผล" นั้น ไม่เหมือนกัน ยิ่งต่างกันเอาด้วย ในความละเอียดลึกซึ้ง แล้วจะเรียกว่า "คือครู คืออาจารย์ ไปได้อย่างไร"

ก็เช่นกันกับ "พระพุทธเจ้า" ไปลองศึกษาเรียนรู้ จากคนอื่น เยอะแยะ แม้แต่อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่พระองค์ ก็ไม่ได้มรรคผล อย่างนั้น ไม่ได้ทางปฏิบัติอย่างนั้น สิ่งที่ "พระพุทธเจ้า" ตรัสรู้ เป็นความรู้ ของพระองค์เอง จริงๆ ต่างหาก

ผลที่ได้ก็ต่างจากฤาษี เดียรถีย์อื่นๆ มีมรรคไม่เหมือนกัน มีผลไม่เหมือนกันจริงๆ มี "คุณค่า" ผิดกันแยะ! ฉะนั้น อย่าเพิ่งตีขลุม -ตีความกันง่ายๆ

 

๑๐
รู้พระไตรปิฎก รู้พระบาลี (แปลกพิเศษ)

อาตมาเคยบอกกับพวกเราว่า "พระไตรปิฎก" ไม่ว่าเล่มไหน หยิบขึ้นมา จะเป็นสูตรไหนก็ตาม เปิดสูตรมา อาตมา สามารถอธิบายได้ทันที
จนมีคนเพ่งโทษ ด้วยซ้ำไปว่า "ทำไมไม่เตรียมตัวก่อน" เขาก็ว่า "แบบนี้ ก็เอาความเห็น ของตัวเอง ใส่เข้าไปหมดน่ะสิ!"

ก็ใช่อีกแหละ! ก็ความเห็นของตัวเองนี่แหละ ตามที่อาตมาเข้าใจ อาตมาอ่าน "พระไตรปิฎก" เข้าใจ แล้วซาบซึ้งด้วย ถ้าส่วนไหนที่ซึ้ง ก็ซึ้งเลย สัมผัสแล้ว ก็รู้ทันที เข้าใจ ทันที เยอะแยะ อธิบายไม่หมด

อย่าง *มหาจัตตารีสกสูตร นี้ อาตมาก็ต้องค่อยๆ อธิบาย ต้องพยายาม ใช้สำนวนชาวบ้านๆ ของเรา ออกมาเอง เพื่ออธิบาย สภาวะนี้ ให้ได้รู้กัน อาตมารู้อยู่ ในตัวเองนี่แหละ ก็ยังขยายให้คนอื่น รู้ตามยากมาก จึงต้องพยายาม อย่างที่สุด ที่จะใช้ภาษา และ สำนวน โวหาร คารม ปฏิภาณ ซึ่งก็ใช้ภาษา ธรรมดา นี่แหละ ที่จะพยายามสอดร้อย ขึ้นบน ลงล่าง ให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้คนฟังเข้าใจ

อาตมาพยายามแปล "บาลี" จนพวกเปรียญเก้าประโยค มาฟังแล้ว ก็หาว่า "อาตมาแปลเอาเอง" เพราะเขา ไม่เคยเรียน อย่างนี้ ก็อาตมามีญาณ รู้เองอย่างนี้นี่ อาตมาไม่เคยเรียนบาลี แม้เปรียญ หนึ่งประโยค ... ก็ไม่เคยเรียน นักธรรมตรี ก็ยังไม่เคยเรียนเลย เขาถึงได้ กล่าวหาว่า "อาตมานอกรีต นอกรอย พูดเอาเอง" ก่อนที่จะว่า "พูดเอาเองนี่" มาฟังเหตุผล กันหน่อยได้ไหม?

อาตมาว่า "อาตมาอธิบายธรรมะของ "พระพุทธเจ้า" ได้สอดคล้อง เหมือนร้อยมาลัย อธิบายได้ อย่างละเอียด -ลึกซึ้ง -หลากหลาย -มีแก่นสาร -มีสาระประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ" อย่าเพิ่งรีบ ผลักไส เร็วไปเลย มาฟังกันบ้างซิ! ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง แบบนี้มาก่อน ก็มาฟังบ้าง เป็นไรไป...ฯลฯ

ภาษาบาลีนี้ เป็นภาษาที่ไม่มีการพัฒนาอีกแล้ว เป็นภาษาตายแล้ว เหลือแต่ใน "พระไตรปิฎก" เท่านั้น อาตมา ก็หยิบยกหลักธรรม ขึ้นมาจากหลักฐานใน "พระไตรปิฎก" ที่เป็นวัตถุ ตำราชิ้นสุดท้าย ที่ไม่มีอื่นอีก ฝ่าย "เถรวาท" ก็มีแค่ ๔๕ เล่ม ฝ่าย "มหายาน" บ้างก็ว่า มี ๓๐๐ กว่าเล่ม บ้างก็ว่ามี ๖๐๐ กว่าเล่ม

ทั้งหมดนี้ ก็เป็น "ตำราศาสนาของพุทธ" ที่เราจะต้องเอามา เรียนรู้กัน โดยไม่แยก "มหายาน" ไม่แยก "เถรวาท" ไม่ทะเลาะกัน เพราะการทะเลาะกัน เป็นเหตุให้เกิด "สังฆเภท"

ผู้ใดยังแยก "มหายาน" แยก "เถรวาท" จะเป็น "สังฆเภท"

 

๑๑
ใครกันแน่ ? ไม่จริงใจในศาสนา

พูดด้วยความจริงใจนะ คนไม่รู้ใจอาตมา ก็หาว่า อาตมา ไม่จริงใจต่อศาสนา

พระผู้ใหญ่บางท่าน ก็เข้าใจผิด มองจิตลึกๆ ของอาตมาไม่ออก จะเอาอาตมา ออกจากศาสนาพุทธให้ได้ ก็เห็นจิตใจ ของท่าน แน่แท้แล้วว่า "โอ้โฮ! จะเอาเราออกนอกขอบเขต ศาสนาพุทธ พระโพธิรักษ์ อยู่ร่วม ศาสนาพุทธ ด้วยไม่ได้แล้ว"

อาตมาเห็นว่า "ท่านจริงใจ" แต่ท่านมีความรู้ -มีภูมิรู้เท่านั้น ใช้คาดคะเนเอา ยิ่งฟังคำวิเคราะห์ วิจารณ์ ของท่านมากขึ้น อาตมาก็ยิ่งเห็นว่า "ท่านมีน้ำหนัก เชื่อไปมากจริงๆ" ว่า "อาตมา ไม่จริงใจ ต่อพระศาสนา เชื่อว่าอาตมา คงจะมีเลศเล่ห์ ลึกๆ คิดที่จะมา ล้มล้างศาสนา" จริงๆ แล้ว ท่านควรมีเจตนาดี ให้มากกว่านี้

แต่ท่านกลับไปหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ให้แก่ "เจตนาร้าย หรือ เจตนาตัวโง่-ตัวผิด" ยิ่งทำให้อาตมาเห็นว่า "อ้อ ! ท่านเอง เป็นผู้ที่เข้าใจไม่ลึก"

ถ้าอาตมา "จริงใจ" ต่อศาสนาจริง ท่านก็ยิ่งเข้าใจผิด ออกไปมากว่า "อาตมา ไม่จริงใจต่อศาสนา" เพราะความฉลาด ของท่าน ก็เลยยิ่งวิเคราะห์ ยิ่งหาเหตุผล ของท่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งพา ให้ท่านผิดเพี้ยน จากความจริง ออกไปมาก ใช่ไหม?

ท่านก็ยิ่งเห็นว่า "อาตมามีใจไม่ซื่อสัตย์ มีเจตนาไม่ดี ต่อศาสนา" ท่านยิ่งเข้าใจ ออกไปอย่างนี้มาก แล้วท่าน เข้าใจผิดหรือถูก ท่านก็ยิ่ง เข้าใจผิดมากขึ้น ใช่ไหม?

อาตมาก็ยิ่งรู้สึกว่า "ท่านยิ่งไม่เข้าเป้า ท่านยิ่งไม่ฉลาด ในเนื้อหา แล้วกลายเป็นคนที่ ยิ่งไม่หนักแน่น ไม่แหลมคม ไม่ชัดเจน"

ภาษาบัญญัติ และ ตรรกศาสตร์เป็นพิษ เพราะไม่เข้าหา "ความจริง" ให้มาก มนุษยชาติทั้งหมด ทุกวันนี้ รวมทั้ง ต่างประเทศด้วย ก็เป็นแบบนี้ หลงใหลความรู้ แล้วห่างเหิน ความจริง เพราะราคาความรู้ มีค่าสูง เอามาค้าขาย ได้ราคาแพง จึงนิยม ความรู้ กันมาก ประเทศด้อยพัฒนา หลายประเทศ ก็กำลังพยายาม ให้การศึกษา ให้ความรู้ แล้วก็รับรอง ให้ได้ปริญญาออกมา เป็นใบเบิกทาง หางานทำ

คนมีฝีมือจริงๆ ทุกวันนี้ จึงโดนกีดกัน! โดนกดราคา!

 

๑๒
ประกาศสัจธรรมด้วยญาณ

อาตมาเห็นชัดเจนว่า "อาตมาไม่ยาก ในเรื่องการสอน"
เพราะว่า "อาตมามีของจริง มีเนื้อใน มีญาณ คือ ตัวธาตุรู้ ที่อ่านของจริง"

อาตมาเคยบอกกล่าว กับพวกเราว่า "อาตมาไม่ได้บรรยายธรรมะ หรือ ขยายความธรรมะ ด้วยตรรก หรือ ด้วยการสันนิษฐาน หรือ ด้วยการตีความ"

อาตมาบรรยายธรรมะ หรือ พูดภาษาธรรมะด้วย "ญาณ" เรื่องนี้ยากนะ!

คนไม่มีก็ไม่มีจริงๆ คนไม่มี "ญาณ" พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขาใช้แต่ ตรรก การตีความ ใช้แต่ความคิด ใช้แต่ เหตุผล เท่าที่เขามีภูมิรู้ มีประสบการณ์

"ญาณ" เป็นความรู้ที่รู้ โดยมีของจริง ที่เป็นสัจธรรม ไม่ใช่ภาษา ไม่ใช่ตีความ ไม่ใช่สันนิษฐานออกมา ของจริง ยิ่งลึกละเอียด บางทีพูดกันไม่ได้ พูดไม่ออก

อาตมารู้เอง แต่พยายามจะอธิบาย เป็นภาษาคนอย่างไร? เท่าที่อาตมาเข้าใจ ว่า "ภาษาอันนั้น... สื่ออันนี้ ใช้แทน สภาวะนี้ได้"

อาตมาก็พยายามใช้ แม้แต่ภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่เก่งเลย แต่อาตมา จะใช้ภาษาอะไร เป็นคำแทน เป็นซินโนนีม เป็นไวพจน์ เป็น คำขยาย คำคล้าย คำที่จะชี้สิ่งนี้-สื่อสิ่งนั้น ออกมา ให้ได้ทุกแง่มุม บางคนไม่เข้าใจอาตมา นึกว่า "อาตมาตีความ สันนิษฐานคิดๆ ค้นๆ"

จะเห็นได้ว่า "อาตมาไม่ต้องคิดมากหรอก ตอบเร็ว พูดเร็ว" ถ้าจะคิด ก็คิดหาคำ จะเอาคำอะไร? มาเรียก สภาวะนี้ ความจริงนี้ ออกมาให้ตรงชัดที่สุด เพื่อให้คุณรู้ ธรรมะลึกๆ เท่านั้นเอง

อาตมาก็ต้องมีเนื้อหา มีแก่นสาร มีธรรมะ มีปฏิภาณ มีนิรุตติ ภาษา มี "อัตถะปฏิสัมภิทาญาณ" มี "ธรรมะ ปฏิสัมภิทาญาณ" ให้เก่งมากขึ้น ทุกวัน

"นวโกวาท" แปล "ธรรมะปฏิสัมภิทาญาณ" ว่า "เหตุ ผู้รู้แจ้งเหตุ" "อัตถะปฏิสัมภิทาญาณ" ว่า "ผล ผู้รู้แจ้งผล" อาตมาเห็นว่า "แปลไม่ผิด แต่ไม่ครบรอบ แปลไม่หมด" ก็แปล ตามภูมิของเขาใน "นวโกวาท" หรือ ใน "พระไตรปิฎก" ก็ตาม

"ธรรมะ" ไม่ได้แปลว่า "เหตุเท่านั้น" ต้องแปลว่า "เหตุผลชั้นเชิงทั้งหมด"

คำว่า "ธรรมะ" นี่ รวมทั้ง "อัตถะ" ด้วย

แต่ "อัตถะ" หมายถึง "ผล" หมายถึง "แก่น" เท่านั้น

ส่วน "ธรรมะ" หมายถึง "เปลือกกระพี้นอกใน จนถึงแก่น"

"ธรรมะ" รวมเหตุและผลไว้ทั้งหมด แล้วอยู่อย่าง มีชั้นเชิง อยู่อย่าง สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ยากจนไม่รู้ จะพูดอย่างไร

ตั้งแต่อาตมารู้แจ้ง ในห้องส้วม ที่จะไปทำธุระเบา ตอนตี ๒ "โอ้โฮ ธรรมะนี่ เป็นอย่างนี้" จากวันนั้น จนถึงวันนี้ อาตมา ยังไม่มีภาษา ที่จะเรียกสิ่งนี้ ออกมาได้ทั้งหมด จนเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่มี อาตมาพูดเป็นภาษาได้ว่า "เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อน" คิดได้คำนี้...คำเดียว! ตั้งแต่บัดโน้น... จนบัดนี้ ยังไม่มีคำใด ดีกว่านี้

สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ถ้าเป็นวงกลม ก็ซ้อนกัน ทั้งข้างล่าง-ข้างบน สานไปมา จนไม่รู้จะสานอย่างไร ? ซับซ้อน จึงเรียกว่า "สภาพเหตุและผล ที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ไม่รู้กี่ชั้น กี่เชิง" ธรรมะเป็นปานนั้น

"นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ" คือ ผู้รู้แจ้งภาษา -คารม -ตัวหนังสือ -อักษร -พยัญชนะ รู้จักภาษา ที่จะเอามาใช้ พูดอธิบาย ขยายความ

"ปฏิสัมภิทาญาณ" ก็เป็นผู้รู้ ผู้มีความเฉลียวฉลาด -มีปฏิภาณ รู้แล้วก็เอา สิ่งเหล่านั้น ออกมาใช้ได้ด้วย

"ปฏิ-ภาณะ" ก็คือ "ทวนรอบ เอาออกมาใช้ได้"

ความรู้ที่อาตมารู้ รู้อยู่ในๆ นี้ รู้ยิ่งกว่า "ปฏิภาณ" ที่เอาออกมาใช้ได้ แต่อาตมาก็มี "ปฏิภาณ" เอาออกมาใช้ ได้เพิ่มขึ้น มี "นิรุตติภาษา" เพิ่มขึ้น จาก "อัตถะ" และ "ธรรมะ" ที่มีอยู่เก่านี้ ยังใช้ไม่หมด

อาตมาขอยืนยันว่า "อัตถะ ธรรมะ ที่อาตมามีอยู่ เอาออกมาใช้ ยังไม่หมด ยังเอาออกมาให้คุณ รับรู้ได้เรื่อยๆ ไม่หมด"

 

๑๓
ประกาศศาสนธรรม (เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย)

อาตมาแน่ใจว่า "อาตมาพยายามประกาศธรรม ให้งาม ในเบื้องต้น -ท่ามกลาง -บั้นปลาย พยายามจริงๆ" พยายาม อธิบายประกอบให้ "สูง" ขึ้น อยู่ตลอดเวลา

เน้นแกนใหญ่ คือ "ศีล" อาตมาสอน "ศีล" อยู่ตลอดเวลา ๑๐ กว่าปี มาแล้ว ตอนนี้จะขึ้น "สมาธิ" และ ต่อไป จะขึ้น "ปัญญา" ในอนาคต

อาตมาประกาศศาสนธรรมมา ๑๒ ปีแล้ว (พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๒๕) อาตมา จะเริ่มประกาศ "สมาธิ" อาตมา จะประกาศ "สมาธิ" แข่งกับ "สมาธิ" (นั่งหลับตา) ที่เขาหลงใหลกัน

อาตมาพูดอย่างนี้ เป็นเชิงให้รู้ว่า "ความรู้ ความเข้าใจเรื่องนี้ จะขึ้นมาขัดกัน แล้วจะข่มกัน ไม่ใช่เจตนาร้าย แต่เป็นเจตนาดี ด้วยเมตตาที่สุด"

และถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องข่มกันจริงๆ เพราะ "สมาธิ" ของพระพุทธเจ้า เป็น "สมาธิ" พิเศษ เป็น "สมาธิ" ของ "พระอาริยะ" ท่านเรียกว่า "สัมมาสมาธิ" หรือเรียกว่า "อริโย สัมมาสมาธิ" คือ "สัมมาสมาธิ ของ พระอาริยะ" ซึ่งไม่ใช่ "สมาธิ" เกลื่อนกลาด -ดื่นดาษทั่วไป ที่ใครๆ ก็เรียนอย่างนั้น มานาน เยอะแยะ "สมาธิ" สาธารณะ แบบนั้น มีมาก่อน "พระพุทธเจ้า" เกิด

"สมาธิ" ของ "พระพุทธเจ้า" นั้น ต้องใช้ "ปัญญา" และ ปฏิบัติตน จนมี "สัมมาในมรรค" องค์ประกอบ (บริขาร) ในการปฏิบัติ "สมาธิ" ก็คือ องค์ทั้ง ๗ ของ "สัมมามรรค" ต้องปฏิบัติ ตั้งแต่ "สัมมาทิฐิ" จนถึง "สัมมาสติ" แล้วจะสร้าง "อาริยะสมาธิ" ที่เป็น "สัมมาสมาธิ"

เรื่องของ "ปัญญา" อาตมาจะไปเน้น ตอนปลายทีหลัง จะพูดกันถึงเรื่อง การวิเคราะห์ทาง "ปัญญา" ไปอีก ถึงวาระ เมื่อไหร่ อาตมาจะเปิด จะสอน

การที่เรามี "ศีล" ขัดเกลาเป็น "สมาธิ" ก็เกิด "ปัญญา" ได้ตลอดเวลา เกิดอยู่เสมอ ก็ได้สอนอยู่เสมอ ได้พูด ประกอบกันมา อยู่เรื่อยๆ แต่ตอนนี้ "ภูมิปัญญา" ยังไม่ถึงกับเฟื่อง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็จะไปเน้นใน โวหารของ "ปัญญา" อย่างแน่น และมากอีก ในอนาคต

ทีนี้จะสนุกตรงที่ว่า "ต่างคนต่างเฟื่อง ภูมิปัญญา ทั้งนั้นเลย" "เฟื่องจนเฟ้อ" คือ "สติเฟื่อง หลงกันแต่... เหตุผล -นึกคิด" ที่สุดก็กลายเป็น "เหตุผล คือ ความบ้า อัตตา คือ ความจริง"

เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ดียิ่งขึ้น ให้งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คือ รู้จักก่อน รู้จักหลัง เช่น ต้องสอนให้ ละ"สักกายะ" ก่อน ละ"อัตตา"

ซึ่งบาลี ๒ คำนี้ ไทยเราแปลว่า "ตัวตน, ตัวของตน" เหมือนๆ กัน ซ้ำๆ กัน ผู้ไม่รู้ความลึกซึ้ง จึงเรียน "ตัวตน" กันเผินๆ แล้วก็เรียนกันผิด สอนกันผิดๆ

ที่จริงแล้ว "สักกายะ" กับ "อัตตา" นั้น มีสภาวะหยาบ ละเอียด คนละระดับ

เมื่อจับลักษณะธรรมที่ผิด ความผิดเพี้ยน จึงเกิดขึ้นได้ จนกลายเป็น ผิดฝา ผิดตัว ลากผิด -จูงกันผิดๆ ไปถึงเรื่อง อื่นๆ อีก ก็เลยผิดกันไปใหญ่

ทุกวันนี้ เขาเรียน "อนัตตา" กันเลย ไม่มีตัว-ไม่มีตนเลย

"สักกายะ" ไม่พูดถึง หลักการปฏิบัติประพฤติ จะต้องหัด สำรวมอย่างนั้น สังวรอย่างนี้ ไม่มี! องค์ธรรม เป็นอย่างไร ไม่พูดถึง! มีแต่อะไรๆ ก็ "ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน" แล้วก็ทำอะไรๆ ตามใจตัว สบาย!

เดี๋ยวนี้ศาสนา "จิตว่าง" ที่เพี้ยนๆ หลงผิดๆ เต็มบ้าน เต็มเมือง เฟ้อปัญญา กันหมด "ศีล" ไม่เรียน "สมาธิ" ไม่มีจริง" ไม่มีภาคปฏิบัติ ที่ถูกต้อง เรียนแต่ "ปริยัติ" เรียนแต่คิด มีแต่ "จินตามยปัญญา"

อย่างนี้ ไม่งามใน "เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย" เลย!

 

๑๔ ตนพึ่งตนได้ (อัตตา หิ อัตตโน นาโถ)

(อ่านต่อหน้า ๓)