โพธิรักษ์ กับโพธิกิจ ๕

๓๐
พระพุทธรูป

การเคารพบูชาสิ่งที่น่าเคารพบูชา ไม่ว่าจะเป็น พระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระพุทธรูป ที่ไหนๆ ก็ตาม หรือ วัตถุสิ่งของ ซึ่งเป็นตัวแทนของคน "ผู้ประกอบคุณงามความดี" อันยิ่งใหญ่ไว้แล้ว ในโลกนี้

"พลังแห่งศรัทธา พลังแห่งการเคารพ นับถือบูชา พลังแห่งมโนกรรม" นี้ เป็น "พลังงาน" ที่จะก่อให้เกิด พลังรวม เมื่อพลังงานนี้ รวมตัวผนึกกันแน่นอย่างดี จะก่อให้เกิด "อิทธิปาฏิหาริย์" อะไรๆ ก็ได้ แต่อาตมา ไม่ส่งเสริมให้สร้าง

เพราะสร้างกันมากแล้ว และทำให้คนหลงใหลยึดติด จนงมงาย ก็ตีทิ้งก่อนเลย แต่ไม่ได้หมายความว่า "อาตมา ไปลบหลู่พระพุทธรูปนะ"

แต่ก่อนนี้ อาตมาตีทิ้ง "พระพุทธรูป" เพราะคนหลง "พระพุทธรูป" กันมาก

แม้แต่ในพวกเรา "ชาวอโศก" ก็เชื่อตามอาตมาก่อน แล้วอาตมาก็ค่อยๆ อนุโลม ปรับปรุง ปรับเปลี่ยน รับพระพุทธรูปบ้าง ตั้งแต่องค์เล็ก องค์น้อย

ต่อมาก็ค่อยๆ เข้าใจว่า "พระพุทธรูป เป็นสิ่งแทน เป็นสิ่งจูงนำ พาเชื่อมโยง ไปหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร" ไม่ใช่สิ่ง น่าเกลียด ที่ต้องไปทำลายทิ้ง เหมือนศาสนาลัทธิอื่น อาตมาไม่เคยไปดูถูก ไม่เคยลบหลู่ พระพุทธรูป ไม่เคยพาไม่กราบพระพุทธรูป

แต่อาตมาสอน มีเหตุผล มีคำอธิบาย มีรายละเอียด มีความลึกซึ้งของ ความรู้ -ความจริง ว่า "ทำไม ไม่ให้สร้าง ไม่ให้ไปวุ่นวาย" เพราะชีวิตคนเรา ไม่ต้องมี "พระพุทธรูป" ก็ได้ ไม่ต้องไปหลง "พระเครื่อง พระบูชา" ไม่ต้องไปหลงขลังศักดิ์สิทธิ์

แต่ไม่ได้หมายความว่า "อย่าไปเคารพ" ไม่เคยสอน !!!

ถ้าอาตมาจะสร้าง "พระพุทธรูป" ก็จะสร้างให้ถูกต้อง ตามกาละ อย่างได้สัดส่วน ให้เกิดศิลปะ มีสุนทรียศิลป์ เป็นสิ่งที่จะนำจูง ชี้ชวน ให้คนมาศรัทธาสนใจ แล้วเราก็จะอธิบาย ให้ถูกทาง หรือ นำพา ให้เขาเข้าใจ ลึกไปกว่านั้น

ถึงวันนี้แล้ว (พ.ศ. ๒๕๔๕) อาตมาสร้าง "พระพุทธรูป" อย่างนี้ได้ แต่อาจจะสร้าง ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะจะสร้างใหญ่ แต่ใหญ่สมเหมาะสมควร กับบริบทนั้นๆ ฉะนั้น ต้องรู้ รายละเอียดข้อมูลต่างๆ

ทำไมจึงคิดสร้าง "พระพุทธรูป" (ใหญ่) แค่คิด ก็ถูกด่าแล้ว ชังน้ำหน้าแล้ว วิจัยวิจารณ์ กันใหญ่ ก็ดีเหมือนกัน

ขอถามก่อนว่า "เราจะล้มล้าง ไม่ให้มีพระพุทธรูป ในโลกศาสนาพุทธ ได้ไหม ?" ล้มล้างไม่ได้ ทำลายทิ้ง ก็ไม่ได้ ใช่ไหม ? ดูตาลีบันเป็นตัวอย่างสิ ตาลีบัน ทำลาย "พระพุทธรูป" สลักหินองค์ใหญ่สูง ๗๐ กว่าเมตร มีอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี ชาวพุทธเห็น อย่างไร ? ดีหรือ ? ก็ไม่ดีใช่ไหม ? ประณามกันทั่วโลก

เราก็รู้สึกว่า "พระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ของมนุษย์ อุตส่าห์สร้างขึ้นมา ก็ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ บูชา เคารพนับถือได้"

แต่ไม่มี "พระพุทธรูป" เราก็สร้างศาสนาได้ อาตมาก็ได้ยืนยันทำแล้ว

แล้วทำไมต้องคิดสร้าง "พระพุทธรูป" เพราะอาตมามีเหตุผล เข้าใจกาละ ที่ต้องอนุโลม -ปฏิโลม ตามกาละ

๑. "พระพุทธรูป" ล้มล้างไม่ได้ ทำลายไม่ได้ ก็ต้องเอามาเป็น เครื่องใช้ที่ดี ให้เกิดประโยชน์คุณค่า ในด้าน "ศรัทธา" เพราะล้มล้างไม่ได้แล้ว

ข้อสำคัญ ต้องเข้าใจการเคารพ "พระพุทธรูป" คือ "การเคารพพระพุทธเจ้า" เพราะพระองค์ เป็นตัวอย่าง อันดีงาม ที่มนุษย์ทุกคน พึงดำเนินรอยตาม

แล้วคุณจะ "เคารพ" อย่างไร ? ก็ต้องปฏิบัติดี -ประพฤติชอบ ตามหลักธรรม คำสอน ของ "พระพุทธเจ้า" นี่คือ "การเคารพ" ก็ต้องสอน ให้รู้จักเคารพ "พระพุทธรูป" อย่างนี้

แม้ใบหน้า จะเป็นไปตามความนิยม ของแต่ละชาติ เราก็ไม่ติดใจ ถือเป็นสิ่งแทน คุณงามความดีของ "พระพุทธเจ้า" ไม่หลงขลัง ออกนอกรีตพุทธ

"พระพุทธรูป" จึงเป็นรูปธรรม สิ่งแทน สิ่งยึดถือ สิ่งเชื่อมโยง เห็นใครแขวนพระ (สิ่งเคารพของชาวพุทธ) ก็รู้เลย เรา "พุทธ" ด้วยกัน ก็ทำให้รู้ทั่วกันว่า "อะไรควรเคารพ" ยังมีนัยะ อีกเยอะแยะลึกซึ้ง

๒. จะสร้าง "พระพุทธรูป" องค์ใหญ่ ไม่สร้างองค์เล็กๆ น้อยๆ เพราะ จะเป็นเรื่องฟ่ามๆ กะปริดกะปรอย หมดความหนักแน่น

ถ้าเรามีใหญ่ๆ แน่นๆ หนึ่งๆ มีน้ำหนักกว่า ก็จะทำให้ใหญ่ เท่าที่สามารถ ถ้าหน้าตัก ๗ เมตร ความสูงต้อง ๙ เมตร ก็น่าทึ่ง !

แต่อาตมาไม่ได้กำหนดอะไร ถ้าทำใหญ่ไม่ได้ เราจะไปฝืนทำ ให้ทุกข์ทำไม อาตมา ก็แค่คิดว่า "ใหญ่ได้ก็ดี" ไม่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร ! หน้าตักแค่ ๔ เมตร ก็ได้ ไม่ได้ติดยึดอะไร ได้เท่าไร ก็เท่านั้น

๓. พวกเรา "ชาวอโศก" ปัญญาเยอะ ศรัทธาหย่อน เพียงแค่อาตมา คิดจะสร้าง "พระพุทธรูป" ใหญ่ ก็ลด ศรัทธาลงแล้ว บางคนปัญญาเยอะ รู้มาก ก็นึกว่า "อย่างอาตมานี้ จะสักเท่าไหร่ ?"

คนที่ออกจากอโศกไป เขียนหนังสือมาว่า "พ่อท่าน ก็ไม่ได้ดีเด่น เก่งไปกว่าคนอื่นหรอก แต่เก่งอยู่อย่าง สามารถรวมคน ให้ผนึกกันได้" อาตมาก็ไม่ได้ถือสา

ในชีวิตของอาตมา ถ้าสร้าง "พระพุทธรูป" ใหญ่องค์นี้ได้นะ ก็จะเป็น "พระพุทธรูป" หน้าน้ำตก มีน้ำไหล ผ่าน มาขังแอ่งที่ไหล่ แล้วก็ไหลย้อยลงไปที่มือ ให้น้ำตกลงไปจากมือ ก็จะมีความแปลก มีองค์ประกอบ ของศิลปะ ที่ทำให้เกิดการจูงนำ ประทับใจ น่าเทิดทูน ดูศักดิ์สิทธิ์ น่าศรัทธา

ในจิตลึกๆ ของคนเรา ก็คงมีคนนึกอยาก จะดื่มน้ำจากมือ "พระพุทธรูป" นะ

ดังนั้น ถ้าอาตมาจะสร้าง "พระพุทธรูป" ขึ้น ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย เพราะ "ชาวอโศก" ทุกคนเข้าใจ รู้จัก ความหมายของ "พระพุทธรูป" แล้ว

คนภายนอกยังบูชาศรัทธา "พระพุทธรูป" ถ้าเขาเข้ามาพบ "พระพุทธรูป" ที่นี่ ใครก็ตาม เข้ามาทำไม่ดี หรือ ทำไม่ชอบมา พากลกับ "พระพุทธรูป" เราจะสอนเขาได้ว่า "คนที่นี่ มีจารีต ประเพณีปฏิบัติ กับ 'พระพุทธรูป' อย่างนี้"

พวกเรา "ชาวอโศก" ไม่ได้ฟั่นเฝือเลอะเทอะ หลงขลัง หลงศักดิ์สิทธิ์ และจะไม่พาเคารพ "พระพุทธรูป" ด้วยการ จุดธูปเทียนบูชา เพราะพุทธศาสนา ไม่เคยสอน ให้มีธูปเทียนบูชา ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีห้ามไว้ชัด แต่ไม่เข้าใจกัน

เราก็จะเป็นตัวอย่างแก่คนข้างนอก ให้เขา "เคารพบูชา" ตามแบบอย่างนี้


๓๑
ตายสูญ ตายเกิด (อุจเฉททิฏฐิ - สัสสตทิฏฐิ)

ตายแล้วสูญ ตายแล้วเกิด เรื่องของ "วิญญาณและอัตตา" เกี่ยวพันกันอยู่

ถ้าใครมีความเห็นว่า "คนตายแล้วสูญ ตายแล้วไม่มีอะไรสืบต่อ จบสิ้นเลย" สภาพ "วัฏสงสาร" ที่สืบเนื่อง ด้วย อดีตกรรม -ปัจจุบันกรรม -อนาคตกรรม ที่จะสั่งสม สืบทอดต่อไป ก็ไม่เชื่อว่ามี !

ทำบาป-ทำกรรม ก็แค่ชาตินี้ ! อย่างมาก ๑๐๐ ปี ตาย ก็จบกัน สบายมาก ก็จะเอาตัวรอด ยอดเดี่ยวไป คนเหล่านี้ จะไม่กลัว "บาปกรรม"

คนที่เข้าใจอย่างนี้ เป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ประเภท "อุจเฉททิฏฐิ" เป็น "ทิฏฐิ" ที่ร้ายแรงมาก ! ผู้นั้นทำลายสังคม -ชาติ - มนุษย์ !

ทุกวันนี้ คนเข้าใจอย่างนี้มากขึ้น พวกปัญญาที่ได้แต่คิดเอา เท่าที่ตัวเองคิดได้ ยิ่งไม่ปฏิบัติทางจิต ก็ยิ่งจะ ไม่มีทางรู้ ได้ไกลไปถึงชาติหน้า อย่างละเอียดลออ

ยิ่งไม่รู้ "ชาติก่อน-ชาติหน้า" ก็ยิ่งคิดเผินๆ ว่า "ต้องพิสูจน์ได้" ก็ "ชาติหน้า" ไม่รู้ ไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้นี่ ก็ต้องเข้าใจว่า "มีแค่ชาตินี้"

เมื่อมี "ภาวะความเข้าใจ" อย่างนี้ ก็จะรู้สึกไม่มี "บาป-บุญ -คุณ-โทษ" สืบต่อยาวไกล จะมีก็สั้นๆ แค่ชาตินี้ ชาติเดียว

อย่างนี้ ถ้าใครทำบาป แล้วหลบเลี่ยงได้ ก็ถือว่า "พ้นแล้ว ! ไม่ต้องไปรับกรรม -รับเวรอะไร ?!?" เพราะไม่เชื่อว่า "จะมีอะไรสืบต่อ เป็นบาป-บุญ ไม่มีบาป-มีเวรไล่ทัน" ก็สบายเลย ใครมีปัญญา มีเหลี่ยมคู อันลึกลับ ซับซ้อนสูงส่ง หรือ ช่องทางที่แน่ชัด อย่าให้เขาจับได้ ตลอดชีวิตนี้ ก็จะโกงกิน แล้วก็จะทำกันอยู่ ทั้งๆ ที่รู้เหมือนกันว่า "สิ่งนี้เป็นทุจริต -บาป -เวร -เบียดเบียน -เอาเปรียบ" ก็รู้ !

สังคมใดมีความเชื่อเป็น "อุจเฉททิฏฐิ" อย่างนี้ บรรลัยเดือดร้อน

แต่ที่เชื่อกันว่า "ตายแล้ว เกิดนิรันดร์" มีมาก่อน "ศาสนาพุทธ" มีความเห็นว่า "สูญไม่ได้" แม้ประพฤติ ปฏิบัติตน จนประเสริฐสุดยอด ให้เก่ง เยี่ยมอย่างไร ตายแล้ว ก็ไปอยู่กับ "พระเจ้า" ไปอยู่กับ "พระพรหม" เป็น GOD นิรันดร์ เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันกับ "พระเจ้า" เป็น วิญญาณใหญ่ ผนึกรวมกันกับ "วิญญาณ ปรมาตมัน" ความเชื่ออย่างนี้เป็น "สัสสตทิฏฐิ"

ถ้าเข้าใจ "จิตวิญญาณ" อันดีนี้ ไม่ได้ อย่างละเอียดลออ ทั้งรูปร่าง สภาวะ ของ "วิญญาณ" ยังติด เป็นมานะ เป็นตัวตน มีวิมานะ มีตัวตนเหลือเชื้ออยู่

ผู้นั้น ก็ไม่สูญ-ไม่สลาย !!!

จะเป็น "พระเจ้า" หรือ เป็น "วิญญาณใหญ่" อะไร ก็จะเป็นอยู่จริง

 

๓๒
เกิดก็ได้ สูญก็มี
!
คนเราเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร ? แม้ "พระพุทธเจ้า" ก็ยังไม่รู้ที่ต้น พระองค์ได้พยายาม ค้นหา ที่ต้นที่สุด อยู่ตรงไหน ระลึกชาติไป ไม่รู้กี่ล้านๆๆ ชาติ ตรวจหาที่ต้นกำเนิด เกิดมาจากอะไร ? ตรงไหน ? อย่างไร ? ไม่รู้ !

รู้แต่ว่า "เกิดเป็นคน มีอัตภาพ มีตัวตน ที่เกิดมาจาก 'อวิชชา' ความไม่รู้ มันอวิชชา จนไม่มีทาง ที่จะจบ แล้วก็เป็นไป อย่างผิดๆ โง่ๆ หลงๆ" ยึดดี ยึดชั่ว ถูกเขาหลอกมาเรื่อย ก็เชื่อไปเรื่อย แล้วก็ไม่จริง หมุนเวียนอยู่ แต่ในสวรรค์และนรก เพราะไม่หมดตัวตน ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ไม่มากก็น้อย

"พระพุทธเจ้า" ค้นพบความจริง ที่ไปมัววุ่นวาย เสียเวลาค้นหาที่ต้น อยู่ตั้งนาน ก็ไม่เจอ แล้วก็ไม่รู้ว่า "มีมาแต่เมื่อไร ก็ไม่ได้เรื่องอะไร"

แล้วมีที่จบไหม ? มีที่จบ...จากเหตุ "จิตวิญญาณ" นี่แหละ วิเคราะห์ออกได้ว่า "มีกิเลส เป็นราคะ - โลภะ - โทสะ -โมหะ จับได้มั่นคั้นตาย ต้องตรวจสอบ มีหยาบ -กลาง -ละเอียด แล้วต้องล้าง กิเลสพวกนี้ออก จนหมดเกลี้ยง"

"กิเลสหยาบ" คือ ขนาดไหน ก็ต้องรู้ของเราเอง มีญาณทัสนะ มีอธิปัญญา อ่าน ในขณะที่เกิดจริงๆ ไม่ใช่ใน ขณะที่นั่งหลับตา สะกดจิต เข้าไปอยู่ในฌานเฉยๆ

"พระพุทธเจ้า" ตรัสรู้ว่า "ตายแล้วสูญก็ได้ ตายแล้ว ยังต่อก็มี"

ตายแล้วสูญ ต้องสูญจริง ต้องรู้ว่า "อะไรเป็นรากเหง้า แห่งการก่อเกิด"

"วิญญาณ" คือ "อายตนะ" คือ "ธาตุรู้" เป็นธาตุผสมเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตน อันแน่แท้ และ ไม่มีรูปร่างสรีระ แต่เมื่อ เราไปยึดเข้า มี "ราคะ -โลภะ -โทสะ -โมหะ" ก็จะผนึกขึ้นมา เป็นตัวตน เป็นตัวพาก่อเกิด เป็นตัว ผูกมัด รัดตรึง วิญญาณ เป็นรากเหง้าแห่งการก่อเกิด

ผู้ใดยังไม่มีปัญญาหยั่งรู้ "ราคะ-โลภะ-โทสะ-โมหะ" อย่างหยาบ -กลาง -ละเอียด -ลึกซึ้ง ถึงขั้น อนุสัยอาสวะ ก็จะยังไม่มี ความสามารถรู้แจ้ง ถึงสภาพที่สลายจริงของ "กิเลส" ที่ "ถอนอาสวะ" ได้สนิทสิ้นเกลี้ยง !

เมื่อไม่มีปัญญาหยั่งรู้ว่า "มี หรือ ไม่มี" แล้วจะบอกว่า "เราไม่มี" ก็เพียงปากพูดพล่อยๆ ไปเท่านั้นเอง เพราะ ยังล้าง "กิเลส" ไม่สิ้นเกลี้ยง !

เมื่อยังสลายไม่ได้ -ยังไม่หมดอัตตา ก็ยังมีตัวตน -มีอัตตา ก็ยังไม่สูญ !

เหตุปัจจัยอื่น ที่ยังเป็นตัวตน เกิดหมุนเวียน เป็นทาสมันอยู่ ก็ต้องละไปอีกๆ ยิ่งละก็ยิ่งเก่ง จนเป็น "พระอาริยะเจ้าชั้นสูง" ก็ยิ่งมีวันหมดสิ้น "อัตตา" ทุกชนิดได้

ฉะนั้น "ผู้เชี่ยวชาญ" จึงคือ "ผู้ที่ทำสิ่งที่ตนทำยังไม่ได้ ...จนได้"

แต่ ยิ่งละเอียด ก็ยิ่งยาก ที่จะรู้อาการ "รูปราคะ อรูปราคะ" ซึ่งต้องทำลาย อัตตาพวกนี้ ให้สิ้นเกลี้ยง ! แล้วยัง อาจมีมานะ เกิดซ้อนได้อีก จึงต้องออกมา รับรู้โลก ถึงจะไม่เกิด "อุทธัจจะ" (เก้อเขิน ไม่ราบรื่น สัมพันธ์กับโลก ไม่สนิทเนียน)

เช่น ฐานสกิทาคามี ผู้ที่หมดอัตตา เรื่องการแต่งตัว สวยงามแล้ว แต่งเรียบๆ ง่ายๆ เชยๆ ไม่ตามสมัยนิยม ก็จะ ไม่เก้อเขินเลย จะประสาน เข้ากับเขาได้สนิท แม้กิริยานอก ก็ไม่เห็นความเก้อเขิน อย่างนี้หมด "อุทธัจจะ"

เพราะใจไม่มี (กิเลส) จึงไม่พาเก้อเขิน ถ้ามีปัญญาพร้อม ก็สามารถอธิบาย ตอบใครๆ ได้ ไม่กลัวเกรง หวั่นไหว เพราะไม่ได้ทำชั่วอะไร "อุทธัจจะสังโยชน์" นี้ ภูมิสูงกว่า "มานะ" ถ้ามี "มานะ" ไปข่มเขาอีก ก็ไม่ใช่แล้ว คนละฐาน แล้วนะ ! คนที่อยู่ฐานปรับ "อุทธัจจะ" จะไม่มี "มานะ" ไปข่มเบ่งใคร

กายไม่มี "อุทธัจจะ" ใจก็ต้องเรียบเกลี้ยงไม่มี สนิทเลย ซ้อนแล้วซ้อนเล่า สภาพหมุนรอบ เชิงซ้อนนี้ เป็นภาวะ ซับซ้อน ละเอียด ลึกซึ้ง อาตมาก็บอกภาวะ ลึกซ้อนลงไปของ "สังโยชน์ ๑๐" เราต้องเรียนรู้ สภาวะธรรม ในแต่ละขั้นของ "โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์" ให้ชัดเจน

"สกิทาคามี" ก็มีโพธิกิจ ที่จะต้องทำตามฐาน เป็นประโยชน์ต่อศาสนา -สังคม มนุษยชาติ เป็น "พหุชนะ หิตายะ" ต้องสัมพันธ์กับสังคม ก็ต้องทำแบบไม่เก้อเขิน จะมีภูมิปัญญา สามารถอธิบาย ยืนยัน แม้ไม่พูด แต่กิริยาไม่เก้อเขิน ก็ได้แล้ว ขั้นหนึ่ง ถ้าพูดได้กลมกลืน ไม่ก่อให้เกิด แตกร้าว บาดหมาง ให้เขาเกิดศรัทธา เชื่อถือ เกิดปัญญา -เข้าใจ และให้เขา เข้ามา ปฏิบัติธรรมตามได้ ก็นี่แหละ "โพธิสัตว์"

"พระอนาคามี" ราคะอาจจะสูญหมดเลยได้ เหลือแต่ "อรูปราคะ" ยังเหลือเชื้อ ที่ยังล้าง ไม่เกลี้ยง - ยังสลาย ไม่หมด -ยังไม่สะอาด ก็ยังเหลือ "อรูปพรหม อรูปอัตตา" ก็ยังมีอัตตา ไม่ได้ตายสูญ พระอนาคามี "ตาย" จึงยัง "ไม่สูญ" แต่ไม่เวียนกลับมาเกิด ในโลกนี้!

แม้เดี๋ยวนี้ ในโลกหยาบ ก็พิสูจน์ได้ ลัทธิอื่นพิสูจน์ไม่ได้ชัด!

แต่ "ลัทธิพุทธ" มี สัมมาอริยมรรคองค์ ๘ คบหา คลุกคลีอยู่ด้วยกัน แล้วจะวัดภูมิได้ว่า "พระอนาคามี จะไม่มี 'ปฏิฆะ" จะไม่มีพฤติกรรม ที่จะไปเสพกามเลย กามราคะกิริยาภายนอก ไม่มี สามารถอยู่ เหนือโลก ตา หู จมูก ลิ้น กาย"

แม้ละเอียดลออ จนกระทั่ง ถึงขนาดว่า "มีผัสสะอะไร มายั่วเย้า หลอกล่อ กระทบกระแทก สัมผัสอยู่ตาม ธรรมชาติ จะยังเหลือกิเลส กบดานอยู่หรือเปล่า ?"

ผู้ที่เป็น "พระอนาคามี" จะอยู่เหนือได้อย่างสบายๆ แล้วรู้เท่าทัน ไม่มีอาการ ไม่เกิดในโลกนี้ แม้อาการ "กาม - ปฏิฆะ" ก็ไม่มีจริงๆ เห็นได้ รู้ได้ ทางกาย-ทางวจี เพราะ มโน หรือ ใจ นั้น ยิ่งยอด หลุดพ้นแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่า เป็น "พระอนาคามี"

"พระอนาคามี" จึงหมดทุกข์ได้แล้ว แต่ยังไม่ได้ล้าง "อาสวะ" เท่านั้นเอง

แม้อาการ "ปฏิฆะ" ลักษณะอาการขนาดหนึ่ง ของสายโทสะ "พระอนาคามี" ไม่มีแล้ว แต่ยังมี "อรติ" คือ ยังมี ความไม่ชอบใจ ขนาดหนึ่งได้

"อรติ" เป็นนิวรณ์ข้อที่ ๗ เป็นอันตรายแก่ตัว "พระอนาคามี" และ โลก เพราะอาการ ไม่ชอบใจนี้ ไม่ก่อให้เกิด การสร้างสรรอุปการะ จึงเป็นอันตราย

ถ้า "ปมุชะ" หรือ ปราโมทย์ ยินดี มีจิตปรารถนา ใคร่อยากในธรรม เป็นธรรมกาโม ยังเป็นอุปการะ แม้จะมี โลภะ มีการอยากได้นิพพาน หรือ อยากได้ สิ่งที่เป็นกุศล ก็ทรงไว้ก่อนได้ แล้วค่อยมา ถอนกันทีหลัง (แต่ธรรมโทโส -ธรรมพยาปาโท -ธรรมอาฆาโต ให้มีโทสะในธรรม หรือ ให้พยาบาทในธรรม ไม่มี)

ต้องรู้อาการของใจตนด้วยตน คนอื่นรู้กับเรา ไม่ได้หรอก ยิ่งเหลือน้อยนิดเป็น "โอปปาติกะ" ผีหลอก อยู่ข้างใน ภายนอกอาจจะ ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ภายใน ยังมีกรุ่นๆ ไม่ชอบใจอยู่นิดๆ อาการอย่างนี้ ใครๆ ก็คงเคยเป็น จึงต้องรู้อาการของ "จิต" เป็นสำคัญ ที่สุด จับให้มั่นแม่น ตั้งแต่หยาบ จนละเอียด

แม้เหลือเศษ "วิญญาณ" ไม่ชอบใจนิดๆ ก็เป็นตัว "วิญญาณ" ที่จะต้องรู้ว่า "นี้ก็ยังเป็นอัตตา" แม้อ่อนแรง มาก ไม่พาเกิดได้ แต่ก็... "ไม่สูญ"

แค่ "อรติ" ก็ยังเป็นอัตตา ยังเป็นเชื้อที่อกุศลอยู่ ยังไม่สูญแม้แค่นี้

เราต้องเรียนรู้อารมณ์ ตั้งแต่ พยาบาท อาฆาต ไม่ชอบใจ ให้ละเอียดลออ แล้วจงประมาณ ลดละ จางคลาย ออกไป ให้สนิทเนียนเป็น "พระอรหันต์" ที่ไม่มีแล้ว แม้แต่ "อรติ" อาการไม่ชอบใจ ไม่มีเลย เกลี้ยงสนิท

ความรู้สึกที่ไม่สูญ ไม่สลายตัว ยังมีตัวตน ยังมีอัตตาของวิญญาณ ก็เพราะ "มีเยื่อ มีกาว" ของ "ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ" เป็นตัวผนึก ถ้าล้างกาวใจนี้ออกหมด แม้แต่ "มีนิด-มีน้อยหนึ่ง" ก็ล้างได้หมดสิ้นเกลี้ยง ไม่เหลือเลย แล้วก็เห็นแจ้ง ด้วยตนเอง รู้ชัดว่า "หมดสิ้นที่ตัวเรา" "วิญญาณ" ในตัวเรา ก็จะมีสภาพ เป็นเพียง "วิภวตัณหา" หรือ "อุดมการณ์"

"พระอรหันต์" มีเครื่องสลายกาว ที่เป็นใยยึดให้ "วิญญาณ" รวมตัวกันอยู่ แล้วก็ใช้ วิญญาณนี้ (ที่ยังมีชีวิตอยู่) โดยไม่จำเป็นต้องทำลาย (สลายไปเอง)

เมื่อตายก็จะรู้ว่า "เราไม่มีเยื่อใยผูก ไม่มีราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าไปเกี่ยวเลย" วิญญาณนั้น ก็จะสลายตัว ไม่มีตัวตน แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นต่ออีก "ก็สูญ"

ผู้ใดที่สามารถรู้จริง แล้วแหนงหน่ายจริง ไม่เอาจริง ก็ไม่มาเกิดจริง แต่จะหมดอัตตาได้ ต้องเป็น "พระอรหันต์" เท่านั้น ทั้งหมดอัตตา ทั้งไม่มาเกิดอีก

ถ้าเป็น "พระโพธิสัตว์" ที่บรรลุ "อรหันต์" จริง ท่านจะมาเวียนวน กลับมาเกิดอีก ก็เรื่องของท่าน ตามใจท่าน ไม่ต้อง พูดถึงเลยว่า "จะมีอัตตา หรือไม่มี"

ถ้าสามารถดับสูญสิ้นแล้ว ท่านจะมาเกิดอีก ก็ไม่ยาก นี้ก็เป็นเรื่องเกินเลย ที่อาตมาพูด เกินกว่า "เถรวาท" เรียนรู้ หรือ เกินกว่าหลักต้น ขั้นพื้นฐาน ต้องเรียนรู้ หลักพื้นฐาน ต้น-กลาง-ปลาย ให้เป็นขั้นตอน แล้วจงทำ ให้งามพร้อม คือ ต้องสอบปริญญา ตรี -โท -เอก ให้ได้ก่อน ส่วนหลักปลายต่อไปอีกนั้น จะเรียนรู้ เพิ่มเติมอีก ก็ไม่มีปัญหา

สำหรับผู้ที่ยังไม่ถึงขั้นตอน ไม่รู้หลักต้น ขั้นพื้นฐานจริง ไม่พิสูจน์ให้เห็นแจ้ง มีจริงแล้ว ก็อย่าไปคิด อย่าเพิ่ง ทำเป็น (แอ๊ค) จะไปสอบปริญญาเอก ไม่เอา !

โดยเฉพาะฆราวาสปุถุชน ก็ต้องมาเรียนรู้ "โสดา -สกิทา -อนาคา -อรหันต์" ขึ้นไปเรื่อยๆ หรือ ทำความสูญสิ้น "สังโยชน์" ของ "โสดาบัน" ให้เกลี้ยง
"สกิทาคามี" ก็พิสูจน์ผลของ "สกิทาคามี"
"อนาคามี" ก็พิสูจน์ผลของ "อนาคามี"

ไล่ไปตั้งแต่ "อุทธัมภาคิยะสังโยชน์" (เบื้องต้น) "โอรัมภาคิยะสังโยชน์" (เบื้องสูง) ก็ต้องรู้ให้ได้ ละเอียด แทรกชอน ลงไปอีก ก็จะกล้าหาญชาญชัย ที่จะถอนตัว-ถอนตน ทุกอย่าง ล้างให้ละเอียด ก็จะละ ละเอียด ได้จริงๆ แล้วจะขอเปลี่ยนจิตใจ "อยู่กับโลก" อีก ไม่ยาก!

แต่การที่จะ "พ้นโลก" นี้ หรือ การที่จะ "ดับสูญ" ยากมาก !!! จึงต้องทำความเข้าใจ ให้ดีๆ รู้เห็นให้ชัดแจ้ง

"ศาสนาพุทธ" จึงมี "ตายเกิด" และมี "ตายสูญ" อย่างแท้จริง อย่างนี้

เพราะ ปฏิบัติจนถึงหลัก -ถึงสภาวะของ "ความจริง" ฉะนั้น...

เห็นว่า "ตายแล้วสูญ" โดยที่ไม่มีอะไรสืบต่อ (อุจเฉททิฏฐิ) ก็อย่าคิดอย่างนั้น

เห็นว่า "ตายแล้วเกิด" เป็นนิรันดร์ (สัสสตทิฏฐิ) เป็นปรมาตมัน ก็ไม่ใช่ !

ต้องเข้าใจว่า "สืบต่อมี และ สูญก็ได้"

ถ้าเป็น "อรหันต์" แล้ว จะตัดสินจบเป็น "ปรินิพพาน" ของตน ก็สูญ และ ต้องทำได้ถึงจริงๆ คิดเองว่า "จะสูญ ..ไม่ได้" ต้องมีเหตุ -มีปัจจัยจริง อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ต้องรู้ทุกข์... แล้วหมดทุกข์จริง แต่การ หมดทุกข์... ก็ยังไม่สิ้นอาสวะนะ !

ถ้าญาณปัญญาหลงผิด คิดว่า "นิพพานแล้ว หมดกิเลสสิ้นอาสวะแล้ว" แท้จริงตัวเอง ไม่มี "ญาณปัญญา" หยั่งรู้ จิตวิญญาณ ที่มีกิเลส ของตัวเอง

แต่ก็ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังกุศลให้ถึงพร้อม สร้างกุศลวิบากเพื่อผู้อื่น ขยันหมั่นเพียร ทำจริงๆ อุตสาหะ วิริยะ ไปตลอดชีวิต แม้ตายลงด้วยความหลงนั้น ก็ยังไม่สูญจริงๆ ไม่ปรินิพพานจริงๆ ต้องเวียนกลับ มาเกิดอีก ก็ไม่แปลก เพราะได้สร้าง กุศลไว้แล้ว มีวิบากที่ดี ไม่เสียหายอะไร ก็อาศัยเป็น "กัมมปฏิสรโณ"

แม้ไม่หลงผิด การสร้างสรรคุณงามความดี ให้แก่โลกมนุษยชาติ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ก็เป็นบุญ เป็นกุศล แล้วจะปรินิพพาน สูญไปเหมือน "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ก็ไม่ใช่เรื่อง เลวร้ายอะไร แม้จะไม่ เวียนวน กลับมาเกิดอีก

การทำใจในใจให้แยบคายนั้น จะล้างกิเลสออก ได้หมด หรือ ไม่หมด จะมีญาณปัญญา รู้แน่แท้จริง ขนาดไหน ? แค่ใด ? ก็เป็นเรื่องของเรา ที่จะฉลาดเฉลียว มีญาณรู้ได้ เห็นได้ ในสภาพญาณที่ตรัสรู้ กิเลส อนุสัย อาสวะ แต่อย่างน้อยที่สุด หลักประกันที่เราได้ ก็คือ "สร้างกุศล" อยู่ตลอดเวลา

ศาสนาอื่น ที่ไม่ได้ล้างอัตตา ก็คล้ายกัน ไม่มีนิพพาน ไม่รู้รอบในเรื่องเหล่านี้ เขาก็วนเวียน มาเกิดอีก ตามกาละ เวลาวิบากของเขา ก็เป็นคุณความดีของเขา แม้ไม่ได้เรียนรู้ เหมือนพุทธ แต่มีความเชื่อว่า "กรรมพาเกิด" ก็มีเหมือนกัน

เกิดใหม่-ได้ร่างใหม่ แปรเปลี่ยนไปตามวิบาก เป็นเดรัจฉานก็ยังได้ ต่างๆ นานา หรือ เป็นมนุษย์ที่ดี ตามวิบากบุญของตน ก็ได้ "ศาสนาพุทธ" ชัดเจนรอบถ้วน

"อาสวักขยญาณ" ของพุทธ อยู่จบพรหมจรรย์ คือ "หมดทุกข์และสิ้นอาสวะ" ไม่ใช่มีทุกข์ แล้วก็พ้น ทุกข์สมุทัย -พ้นทุกข์นิโรธคามินีปฏิปทา เท่านั้น ยังหมดสิ้น อาสวะสมุทัย หมดสิ้นอาสวะนิโรธ หมดสิ้น อาสวะนิโรธคามินีปฏิปทา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ จึงเรียกว่า "อยู่จบพรหมจรรย์" เห็นอยู่-รู้อยู่ เป็นปัจจุบัน

อย่าง "พระอรหันต์" หมดทุกข์ หมดอาสวะ ก็เห็นอยู่-รู้อยู่-แจ้งอยู่ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องให้ใครบอก หรือ ไม่ต้อง ไปรู้เอาเมื่อ ตายแล้ว

การที่จะรู้ความไม่เกิด-ไม่ดับ จึงพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ รู้ได้ในกายยาววา -หนาคืบ -กว้างศอก พร้อมสัญญา และ ใจ ในแท่งทดลองร่างนี้ ของใครของมัน มีวิญญาณ จิต ให้พิสูจน์อยู่แล้ว ก็จงพิสูจน์เข้าไป ถ้าทฤษฏีนี้ ไม่โกหก คุณก็จะรู้เอง

ส่วนอาตมา จริงชัดเหลือเกิน ในทฤษฎีของ "พระพุทธเจ้า" แน่ว แน่ๆ

ก็เพราะอาตมา ได้พิสูจน์แล้ว จึงเอาสิ่งที่อาตมาชัดจริง มาพูดกับพวกคุณ

 

๓๓
อายุกาลศาสนาพุทธ

มนุษย์มีความสุดโต่งอยู่ ๒ ขั้ว คือ "กามสุขัลลิกานุโยค" กับ "อัตตกิลมถานุโยค" แล้วทั้ง ๒ ขั้ว ก็หนุนเสริม ช่วยกัน ประมาทไม่ได้ทั้ง ๒ ด้าน

และ "กิเลส" ก็เก่งจริงๆ มีความเฉลียวฉลาด ทางโลกียะเยอะ จัดจ้านมาก ที่สุด "กิเลส" จะชนะ ! จนทำให้ "พุทธศาสนา" เสื่อมไปได้ สู่กลียุค! และทุกวันนี้ ก็กำลังใกล้ "กลียุค" แล้ว

"ศาสนาพุทธ" จึงไม่ใช่ศาสนาที่ จะมีอยู่ในโลก ไปตลอดกาลนาน จะมี "อายุกาล" ของศาสนา เป็นช่วงๆ ช่วงที่จะไม่มี "ศาสนาพุทธ" เกิดอยู่ในโลก มีอยู่ ๒ ยุค ๒ ลักษณะ คือ

๑. ยุคสมัยที่คนดีพร้อม มีแต่คนมีบุญบารมีมาเกิด ไม่ทุกข์ร้อน -ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กันอย่าง สุขสงบ มีอายุ ยืนยาว มีความสุข ความเจริญอยู่ในสังคม ไม่ต้องการ ศาสนาพุทธ มาสอน มาแก้ปัญหา ยุคนั้น "พระพุทธเจ้า" ก็ไม่ต้องอุบัติ

๒. ยุคเลวร้าย (กลียุค) ที่ต่อจากยุคศาสนาของ พระสมณโคดมนี้ไป จะถึงขั้นกลียุค ไฟบรรลัยกัลป์ ไหม้โลก คนจะเลวร้าย รุนแรง จนพูดกันไม่รู้เรื่อง เลว ชั่ว ต่ำทรามมาก นี่ก็ใกล้แล้ว จะเห็นว่า เลวร้ายกัน หน้าด้านๆ ทุจริต อกุศลกันรุนแรง

เป็นช่วงสุดท้ายแล้ว ที่จะไม่มี "ศาสนาพุทธ" แม้ "พระพุทธเจ้า" เกิดมา ก็สอนกันไม่ได้เลย คนเหล่านี้ โง่เง่า ดื้อด้าน รุนแรง กิเลสหนา ตัณหาจัด

ถ้ากลียุคแล้ว แม้แต่ศาสนาพุทธ ก็ไม่อวดเก่ง ศาสนาพุทธ รู้รอบจริงๆ รู้กาละ รู้ยุค รู้สมัย รู้เหตุปัจจัยนี้ เป็นอย่างนี้ ก็ต้องปล่อยไป ตามวิบากอย่างนั้น ให้ไฟบรรลัยกัลป์ ไหม้โลกไป พวกผีนรก ทั้งหลายแหล่ ก็ต้อง ถูกเผา ถูกครอกไหม้ไป ทั้งเป็นๆ ในไฟบรรลัยกัลป์นั้น ซึ่งก็เป็นความจริง

แม้โพธิสัตว์ใหญ่ ที่จะต้องมาเกิด ในยุคนั้น ก็ต้องเห็น แล้วก็ช่วยไม่ได้ ศาสนาพุทธ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ยกตัว - ยกตน จนกระทั่งว่า ข้านี่แหละใหญ่ ข้านี่แหละเป็นเจ้า ดับทุกข์เข็ญได้หมด

"พระพุทธเจ้า" ไม่เลือกเกิด ยุคกาลอย่างนั้นแน่ !

เกิดมาแล้วช่วยคนไม่ได้ เสียเหลี่ยม-เสียชื่อมาก! ถึงช่วยได้ ถ้าไม่มีปริมาณพอคุ้ม ก็ไม่เอา นั่นเรียกว่า "ยุคที่ไร้พระพุทธเจ้า"

ยุคกาลที่ "พระพุทธเจ้า" เกิดมา ต้องช่วยคน ให้เกิดสันติสุข สังคมต้องสันติสุข ในยุคที่ท่านทำ นี้เป็น "อจินไตย" เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง ละเอียดลออชัดเจน ถ้ายิ่งศึกษา ยิ่งมีภูมิธรรม ลึกซึ้งแล้ว จะรู้ว่า "ทุกอย่าง เป็นอย่างนั้นจริงๆ"

เราจะรู้ว่า "โลกนี้หมุนเวียนไป ซับซ้อน มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้อะไรๆ ชัดแจ้งจริงจัง และมีเหตุ-มีผล"

อาตมาเอาเหตุผลของ "อจินไตย" มาอธิบายสู่ฟังบ้าง เป็นครั้งคราว เมื่อถึงเหตุ -ถึงผล -ถึงครั้ง - ถึงกาล ที่จะแนะนำ พวกคุณก็จะได้รู้ เป็นขั้น เป็นตอนไปได้บ้าง

ขนาดยุคนี้ ที่อาตมาทำงานศาสนาพุทธนี่ คนก็ยังเข้าใจยาก ยังเป็นไปได้ยาก มาได้ยาก คนที่มาประพฤติ ปฏิบัติได้นี่ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญ มีบารมีเก่า มีพื้นฐาน วิบากบุญเก่า ของตนเอง จะมีบารมีใหม่มานั้น หายากมาก

คน "มีวิบาก มีกรรม มีกุศล มีอกุศล มีสิ่งที่สั่งสมเป็นทรัพย์" เป็นของของตน เป็น "กัมมัสสกตา" ได้ทำ - ได้สั่งสม มาเอง อย่างนั้นๆ แล้วก็หนาแน่นมากพอ จนมีฤทธิ์ มีแรงมาก มีผลต่อวิถีชีวิตของเรา

ถ้าจิตวิญญาณสั่งสม อยู่ในฐานะของ "อเวไนยสัตว์" คือ สัตว์ที่สอนไม่ได้ เป็นคนที่ สอนไม่ได้ เป็นบัวใต้ตึก คุ้ยเขี่ย อย่างไร ก็ไม่มีทาง! ดิ้นขึ้นมาไม่ได้เลย! คือ "สอนไม่ได้เลย" ก็ต้องปล่อยไป ตามเวร ตามกรรม

ในยุคนี้มีคนประเภทนี้เยอะ แล้วก็ดูออกยากด้วย เพราะยุคนี้เป็นยุคของ "คนฉลาด" (โลกีย์) แบบ... ไม่มี "วิชชา" คือ "ไม่มีปัญญาทางธรรม"

แต่ "ฉลาด" มี "อวิชชา" คือ "รู้มากในสิ่งที่ไม่ควรรู้"

แต่ ไม่มี "วิชชา" คือ ไม่มี "ภูมิรู้" อันเป็น "ความรู้ที่ควรรู้ยิ่ง"

๓๔. สืบสานศาสนานานเท่านาน

(อ่านต่อหน้า ๖)