๔. แม่ค้าหาบเร่
จำลองเขารู้วิธีนับปล้องไม้คานได้อย่างไร
คาน แคน ยาก แค้น มั่ง มี ศรี สุข พลเอกจุไท แสงทวีป อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก
ถามเพื่อนผม เมื่อตอนที่ ผมเขียนบทความ หาบเร่กับผม คนชื่อจำลอง
ลงในหนังสือพิมพ์รายวัน พร้อมๆกันหลายฉบับ ตอนนั้น หลายคนสับสน บางคน
หาว่าผมโหดร้าย บ้างก็ว่า ผมใจดี กับแม่ค้าหาบเร่เกินไป
แม่สอนผมว่า ไม้คานเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับแม่ค้าหาบเร่
จะต้องพิถีพิถัน เลือกให้ดี ถ้าไม้คานมี ๔ ปล้อง ทำมาค้าขาย มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง
ต้นหายกำไรหด เพราะ ๔ ปล้องนั้น นับดังนี้ คือ คาน แคน ยาก แค้น ไปตกท้ายคำว่า
ยากแค้น
ถ้าหกปล้องจะตกว่า มั่ง มี จะให้ดีหาไม้คาน
๘ ปล้องได้จะวิเศษ คาน แคน ยาก แค้น มั่ง มี ศรี สุข
ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยสมัยนี้ คงไม่รู้หรอก
ผู้ว่า คนที่เข้มงวดกวดขัน และเป็นขี้ปาก ให้ผู้ค้า ที่เข้าใจผิด
ด่าทุกวันนั้น เป็นลูกแม่ค้าหาบเร่ จึงรู้เรื่องหาบเร่ดี แต่การเป็นผู้ว่าฯ
ต้องทำเพื่อ คนทั้งหมด ไม่ใช่ทำ เพื่อผู้ที่มีอาชีพเดียว กับแม่เราเท่านั้น
จึงไม่เป็นที่สบอารมณ์ ของแม่ค้า บางคนเท่าไร ถ้าผมเอาหูไปนา เอาตาไปไร่
ทั้งหูทั้งตา อยู่ที่นาที่ไร่ ไม่สนใจกับทางเดินเท้า ไม่สนใจว่า ใครจะต้องลำบาก
เดินหลีก กระจาด หลีกแผง ลงไปเดิน ให้รถชนรถเฉี่ยว ในถนน ผมคงจะเบาหูกว่านั้นมาก
ไม่ต้องเป็นขี้ปาก ให้ใครด่า
สมัยแม่ แม่หาบเร่จริงๆ หาบจากวัดกลาง
ตลาดพลู ลัดเลาะเร่ไปขาย ถึงโพธิ์สามต้น และบ้านขมิ้น ถ้ายังขายไม่หมด
ก็เร่ขายกลับมา ตามเส้นทางเก่า แม่ขายหมากขายพลู ถ้าขายสมัยนี้ คงไม่มีใครซื้อแน่
เพราะคนรุ่นใหม่ เขาไม่กินหมากกันแล้ว ตอนที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ห้ามกินหมาก ด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าไม่ห้าม อย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนนั้น
เดี๋ยวนี้ เราคงเหมือนอินเดีย บ้วนน้ำหมากกัน ทุกหนทุกแห่ง สถานีรถไฟ
คงเต็มไปด้วยอ่าง สำหรับบ้วนน้ำหมาก อย่างที่ผมไปพบเห็นมา ในอินเดีย
เป็นแน่
ผมจำได้ แม่หาบของขายเสียจนไหล่ปูด ขายของหาบเร่นั้น
ต้องแข่งกับเวลา เมื่อหาบไปๆ บ่าใดบ่าหนึ่งเจ็บ แม่จะไม่ยอมเสียเวลา
พักเพื่อเปลี่ยนบ่า แต่แม่จะเปลี่ยนบ่า ขณะที่เดิน หาบไปนั้น เหมือนทหารแบกปืน
ที่เปลี่ยนบ่า ตอนกำลังเดิน แม่สวมเสื้อแขนยาว คลุมถึง ข้อมือ สวมงอบ
ไม่ต้องเอาร่มไปกาง ให้เกะกะเหมือนสมัยนี้ แม่ไม่ลืม ที่จะเอาม้านั่งเล็กๆ
ใส่หาบไปด้วย เมื่อลูกค้าเรียกซื้อของ แม่จะเอาม้ามานั่ง หยิบของขายทันที
ลูกค้าจะยืนบ้าง นั่งยองๆบ้างอยู่รอบๆ
หน้าผลไม้ แม่ก็เปลี่ยนมาขายผลไม้ แม่มีความชำนาญ
ในการดูทุเรียน จนถึงวันนี้ เพียงแต่ จับลูกทุเรียน หมุนดูรอบๆ และเอามีดเคาะๆ
เท่านั้น แม่ตีราคาได้เลยว่า ควรจะลูกละเท่าไร ข้างในมีกี่พู ผมคุ้นกับชื่อ
ชะนี ก้านยาว กบ
มาตั้งแต่เล็กๆ แต่จำไม่ได้ว่า ตอนนั้นมีทุเรียน
หมอนทอง แล้วหรือยัง
ผมมาเกี่ยวข้องกับทุเรียนหมอนทองอีก เมื่อตอนเป็น
เลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ตอนนั้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ไม่นาน รัฐบาลก็เชิญ เหงียน โกธัค รัฐมนตรี ต่างประเทศ ของเวียดนาม
มาเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่ทำเนียบ หน้าทุเรียนพอดี ให้เจ้าหน้าที่ ไปซื้อทุเรียน
หมอนทองอย่างดี มาต้อนรับ
ผมนั่งอยู่ติดกับเหงียน โกธัค ไม่ห่างจากท่านนายกฯ
เท่าไร คุยกันไปคุยกันมา สักพัก เหงียน โกธัค ก็เปลี่ยนมาคุย เรื่องเบาๆ
ซึ่งล่ามแปลเป็นไทย อย่างรวดเร็ว
ผมอยู่บ้าน ถือศีลเหมือนกันครับ
ดี ถืออย่างเลขาจำลองซี เขาถือศีลแปดกินมื้อเดียว
ท่านนายกฯ กล่าวเสริม พร้อมกับ ชำเลือง ไปทางผม
โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับ ผมใจไม่แข็งพอ ทำได้อย่างไร
ถือศีลแปด กินมื้อเดียว ทั้งๆ ที่ ยังไม่ได้บวช เหงียน โกธัคค้าน
ผมนั่งฟังการสนทนา และนั่งดูอาหาร จานที่อยู่ข้างหน้าผม
จนกระทั่ง เขายกกลับไป โดยไม่ได้ แตะต้องเลย พอถึงรายการของหวาน ก็มีทุเรียน
สำหรับแขกทุกคน รวมทั้ง ตัวผมด้วย เหงียน โกธัค กินเดี๋ยวเดียว หมดจาน
ผมรีบยก จานทุเรียนของผม ยื่นให้ เหมือนรู้ใจ
เขายืนขึ้นพร้อมกับกล่าว ตามแบบฉบับ ของคอมมิวนิสต์
ข้าพเจ้าขอคารวะต่อสหายที่ใจแข็ง ถือศีลแปดกินมื้อเดียว
นอกจากท่าน จะเคร่งครัด กับการถือศีลแล้ว ท่านยังเป็นประโยชน์ ให้ข้าพเจ้า
สหายผู้นั่งข้างๆท่าน ได้กินทุเรียน อย่างดี เพิ่มอีกหนึ่งจาน ข้าพเจ้าขอคารวะ
เป็นคำพูดทีเล่นทีจริง ของคนที่ได้รับ ขนานนาม ในบางครั้งว่า บุรุษเหล็ก
แห่งโลกคอมมิวนิสต์
เพราะเป็นลูกแม่ค้าขายเรียน ได้กินทุเรียนมาตั้งแต่เล็กๆ
ผมจึงติดทุเรียน มาจนกระทั่งโต พอถึง หน้าทุเรียนทีไร มีเงินเป็นต้องไปซื้อ
หากินทุกที ถ้าปีไหน ราคาแพงมาก ก็พยายามซื้อ ชนิดที่ราคาถูก ลงมาหน่อย
เช่น กบบ้าง ชะนีบ้าง แม้บางครั้ง จะไม่ได้กินเป็นลูกๆ กินแค่ ข้าวเหนียวทุเรียน
ได้กินเนื้อทุเรียนนิดๆ ผสมกลิ่นทุเรียนหน่อยๆ ก็ยังดี
ตอนที่มาเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติธรรม
ละลดความอยากได้ใคร่ดี ละลดกิเลสต่างๆ ลงบ้าง ก็ยังทิ้ง กิเลสทุเรียนไม่ได้
แม้จะฝึกเอาชนะใจตนเอง ด้วยการเลิกกิน ของชอบๆ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมก็ไม่ประสงค์
จะเลิกกินทุเรียน
วันหนึ่งผมยังจำได้ดี เห็นหญิงจนๆ คนหนึ่ง
นุ่งผ้าถุงเก่าๆ ไปยืนรอ ซื้อทุเรียนที่พ่อค้า ใส่รถเข็นมา แกยืนกำเงิน
จนเหงื่อหยด ซื้อไม่ได้ เพราะในมือแก มีเงิน ๑๐ บาทเท่านั้น ผมเห็นแล้ว
ก็สะท้อนใจ ทุเรียนบางปี ราคาแพงลิบลิ่ว แพงเกินเหตุ แพงกว่าผลไม้อื่นๆ
หลายสิบเท่า แล้วผมยังตั้งหน้า ตั้งตากิน ของที่คนจนๆ กินไม่ได้ อยู่อีกหรือนี่
ทุเรียนมีอะไร มีแค่หนามแหลมๆ ส่วนผมมีมือที่
จะจับมีดผ่าทุเรียน แล้วทำไมผม จึงยอมแพ้ ทุเรียน มาตลอด ลองเอาชนะใจตนเอง
ด้วยการเลิกกินทุเรียน ดูสักที จะตายก็ให้รู้ไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมเลิกกินทุเรียนมา
๗ ปีแล้ว ไม่แตะต้องเลย แม้แต่ทุเรียนกวน หรือ ข้าวเหนียวทุเรียน นอกจากหย่า
กับทุเรียนแล้ว ผมยังหย่า กับแอปเปิ้ลอีก ด้วยเหตุผล เดียวกัน ราคาแพงเกินไป
คนจนมากๆ กินไม่ได้ ผมจะไปนั่งกิน อยู่ได้อย่างไร แต่ถ้า ไปเมืองนอก
ผมกินแอปเปิ้ล เพราะเขาปลูกได้เอง ราคาไม่แพง
มีการลองใจมาตลอด ลองทั้งใจ ลองทั้งกาย
ว่าจะเลิกกินทุเรียน ได้จริงหรือไม่ ถ้าเลิกได้ เพราะไม่มี เงินจะซื้อ
ไม่มีทุเรียนจะกินละก็ ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ต้องเลิกได้ แม้มีคนมาให้
เปล่าๆ ก็ไม่กิน
น่าแปลก ตอนที่ยังกินทุเรียนอยู่ ต้องซื้อเอง
พอเลิกกิน มีคนเอามาให้อยู่เรื่อยๆ ให้เอา ให้เอา เหมือนกับลองดี เมื่อเดือนพฤษภาคม
ปี ๒๕๓๒ นี้ ผมได้รับเชิญ ให้ไปพูดธรรมะ ให้สามเณร วัดคณิกาผลฟัง พระท่าน
ให้ทุเรียนมาถึง ๓ ลูก ผมก็เอาไปให้คนอื่นต่ออีก เหมือนที่เคยปฏิบัติมา
ผมไม่ได้ต่อต้านทุเรียนแต่อย่างใด ไม่เคยชวนใคร
ให้อดทุเรียน บางครั้ง ยังไปช่วยขาย ให้เสียด้วย
เมื่อเดือนเมษายน ปี ๓๒ นี้ ผมพาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ของ กทม. ไปเที่ยวชายทะเล ที่หาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง ชวนกันเดินไปดู
ซื้อของที่ตลาด แม่ค้าทุเรียนคนหนึ่ง อุตส่าห์ทิ้งร้าน เดินข้ามถนน
มาหาผม ปอกทุเรียน มาให้หนึ่งจาน พร้อมกับเล่าว่า หน้าทุเรียน เวลามากรุงเทพฯ
มักเอาทุเรียน ติดมือมา ฝากผมเสมอๆ โดยไม่ได้พบผม ซึ่งเป็นความจริง
ผมได้รับทุเรียนไม่ขาด โดยไม่รู้ว่า ใครเป็นคนให้
ผมตามไปนั่งที่ร้านคุณป้าคนนั้น ใครผ่านหน้าร้าน
ก็ทักทายผม ล้วนแล้วแต่ เป็นคน กรุงเทพฯ ทั้งนั้น บ้างก็ขอถ่ายรูปด้วย
เป็นที่สนุกสนาน ทักแล้ว ถ่ายรูปแล้ว ก็มักจะซื้อทุเรียน ติดมือไป
ไม่ทันไร ขายได้กว่าครึ่ง แล้วผมก็ย้าย ไปช่วยขายทุเรียน ร้านข้างๆอีก
ตลาดทุเรียน บ่ายวันนั้น คึกคักเป็นพิเศษ ผมช่วยขาย ให้มากมาย หลายสิบลูก
เมื่อมีการตัดถนนตากสิน ผ่านสำเหร่ การทำมาหากิน
ของชาวสำเหร่ ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะ ผู้ที่เคยรับจ้างทำสวน หรือเรียงพลู
ก็หันมา เป็นกรรมกร สร้างถนน ซึ่งต้องใช้คนงาน วันละ มากๆ
แม่หาบของไปเร่ขาย แต่ละวัน ต้องไปไกลๆ
เหน็ดเหนื่อยมาก จึงเปลี่ยนเป็น ปักหลักขาย ริมถนนตากสิน ที่กำลังตัดใหม่นั้น
มีลักษณะ เหมือนกับหาบเร่สมัยนี้ คือไม่หาบ และก็ไม่เร่ นั่งขายอยู่กับที่
แม่ขายเมี่ยงคำและข้าวเม่าคลุก เอามะพร้าวมาซอย
เป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดไว้คั่ว ส่วนใบ ทองหลาง และใบชะพลู ไม่ต้องซื้อ
เก็บเอาในสวน ไม่มีใครหวง
การค้าขายของแม่ ดำเนินไปได้พักหนึ่ง ก็เริ่มซาลง
รายได้ชักไม่แน่นอน ผมก็โตขึ้นทุกวันๆ ทำอย่างไร แม่ถึงจะสู้กับชีวิต
ไปให้ตลอดรอดฝั่ง เผอิญแม่ทราบ จากลูกค้า ที่มาซื้อ เมี่ยงคำว่า คุณนายละมุน
กำลังหาคน ทำงานบ้านพอดี แม่จึงไปสมัคร ขออนุญาตคุณนาย เอาผมไปเลี้ยงด้วย
แม่ได้ทำงานที่มีรายได้มั่นคง เดือนละ
๖ บาท ส่วนผมยังเล็กอยู่ ไม่ได้ทำอะไร คุณนายท่าน แถมเลี้ยงดู ให้ผมได้กินข้าว
อีกคนหนึ่ง ก็เป็นบุญแล้ว
แม่สอนผมเสมอๆมาตั้งแต่เล็ก ให้เป็นคนขยัน
และประหยัด แม่เป็นตัวอย่าง ที่ดีที่สุด ได้รับคำชม จากคุณนาย และทุกๆคนในบ้าน
เกี่ยวกับเรื่อง ความขยัน แม่เล่าถึงความหลัง ให้ผมฟัง เมื่อตอนผม
เป็นผู้ว่าฯ แล้ว แม่ใช้เดือนละ ๒ บาท เท่านั้นเอง เก็บไว้ ๔ บาท เป็นทุนให้ผมได้เล่าเรียนต่อมา.
|