๑๒. ร่วมกันสู้ หน้า ๑๔๕

ล้นสนามหลวง

เพื่อปกป้องกันการบิดพลิ้วของ ส.ส. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นักวิชาการ ๕๐ ท่าน จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทนดูต่อไปไม่ได้ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม จึงได้ยื่นหนังสือ ถึงผู้แทนพรรคการเมือง ทุกพรรคที่รัฐสภา ขอให้ ส.ส.ทั้งหมด มีความจริงใจ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การไปร่วมพิธีวันวิสาขบูชา ๑๖ พฤษภาคม ที่ท้องสนามหลวง เป็นกิจกรรมหนึ่ง ที่สมาพันธ์ประชาธิปไตย กำหนดไว้

หนังสือ “ประชาธิปไตยเลือด” ได้กล่าวไว้ละเอียดดังนี้

“ที่สนามหลวง พล.ต.จำลองพร้อมกับแกนนำ ของสมาพันธ์ประชาธิปไตย หลายคน ได้ไปร่วมเวียนเทียน วันวิสาขบูชา ซึ่งคณะของ พล.ต.จำลอง ได้เวียนเทียน คนละรอบ กับคณะของ ผู้บัญชาการทหารบก

ในวันนี้ พล.ต.จำลอง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดแสดงดนตรี ของฝ่ายรัฐบาล ในวันที่ ๑๗ พ.ค. ประชาชน ที่วางตัวเป็นกลาง และติดตามสถานการณ์มาตลอด จะเห็นว่ารัฐบาลพยายาม กลั่นแกล้งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น รถสุขาเคลื่อนที่ หรือการจะเลื่อน ระยะเวลาจัดงาน ที่ท้องสนามหลวงออกไป นอกจากนี้ ยังเกณฑ์ประชาชน จากต่างจังหวัด ที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาด้วย… แต่เข้ามากันมากๆ ก็ดี จะได้มาเป็นญาติกัน”

ผมพูดปราศรัยหลายครั้งว่า การชุมนุมเรียกร้อง ประชาธิปไตยนั้น เป็นการตามหาญาตินั่นเอง หาคนที่ มีความรู้สึก นึกคิดเหมือนกัน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นญาติ ยิ่งชุมนุม ก็ยิ่งพบญาติมาก มีญาติเยอะ

ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ กรรมการคนหนึ่ง ของสมาพันธ์ ประชาธิปไตย ตอบผู้สื่อข่าวว่า วันที่ ๑๗ พฤษภาคม รัฐบาล จะไม่สามารถ หยุดคลื่นมวลชน ที่มีจิตสำนึก ทางประชาธิปไตยได้ และการชุมนุม อาจยืดเยื้อต่อไปอีก หากรัฐบาลยังดื้อแพ่ง พูดจาวันนี้อย่าง พรุ่งนี้อย่าง

นักศึกษาร่วมมือกันแข็งขัน ออกประชาสัมพันธ์ รณรงค์ทั่วกรุงเทพฯ เชิญชวนประชาชน ให้ไปร่วมชุมนุม ที่สนามหลวง ในขณะเดียวกัน องค์การนักศึกษา งดใช้ตำราเรียน ของนักวิชาการ ที่เข้าข้างเผด็จการ คือ นายวิษณุ เครืองาม นายทินพันธ์ นาคะตะ และนายพูนศักดิ์ วรรณพงศ

สื่อมวลชนมีการเคลื่อนไหว เป็นครั้งแรก หลังจากวิทยุ และโทรทัศน์ ถูกโจมตี มาตลอดระยะเวลา ของการรณรงค์ เรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา ลาออก วันที่ ๑๖ พฤษภาคม กลุ่มสื่อมวลชนของรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้สื่อข่าว ไทยสกายทีวี. สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, สำนักข่าวเอบีเอ็น, วิทยุ จส.๑๐๐, โทรทัศน์ ช่อง ๓,๕,๗,๙ และช่อง ๑๑ ได้พร้อมใจกัน แถลงความในใจ ว่าพวกตน ตระหนักดีว่า ประชาชนผิดหวัง การเสนอข่าว ของสถานีวิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาล กลุ่มสื่อมวลชน วิทยุ และโทรทัศน์เอง ก็ผิดหวัง ไม่น้อยกว่าประชาชน และตกอยู่ ในที่นั่งลำบาก ซึ่งผู้อื่นเข้าใจยาก เพราะจิตวิญญาณ และ อุดมคติ ของการเป็นผู้สื่อข่าว เช่นเดียวกับ สื่อมวลชนแขนงอื่น ปรารถนาจะเสนอข่าว อย่างตรงไปตรงมา

บ่ายวันที่ ๑๖ พฤษภาคม กรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย ทั้ง ๗ คน ประชุมกัน เพื่อวางแผนการจัดชุมนุม ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ที่ประชุมประเมินว่า จะมีผู้ไปร่วมชุมนุม มากกว่าครั้งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะประชาชน เกิดความเคียดแค้น ชิงชังรัฐบาลหลายเรื่อง เรื่องสำคัญก็คือ สัญญาว่า จะแก้รัฐธรรมนูญ จนประชาชนหลงเชื่อ หยุดชุมนุมไปชั่วคราว พอประชาชน หยุดการชุมนุม ก็บิดพลิ้วทันที เท่ากับหลอกลวงประชาชน นั่นเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังกลั่นแกล้ง ผู้ชุมนุม ทุกวิถีทาง เท่ากับ เป็นแรงกระตุ้น ให้ประชาชน ไปร่วมชุมนุมมากขึ้น

เมื่อประชาชนไปชุมนุมกันมาก หากจะให้เกิดผล ในการเรียกร้อง คณะกรรมการ สมพันธ์ประชาธิปไตย เห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องเดิน จากสนามหลวง ไปยื่นข้อเรียกร้อง ที่ทำเนียบรัฐบาล ให้มีการ “ร่วมโต๊ะเจรจา” กัน เพื่อขอทราบโดยตรงว่า พลเอกสุจินดา จะตัดสินใจอย่างไร เพราะหลายครั้งหลายหน ที่ประชาชน ชุมนุมกัน ท่านไม่เคยสนใจ โดยหาว่า เป็นมวลชนจัดตั้ง ของพรรคนั้น พรรคนี้บ้าง เกิดจาก ผู้ต้องการได้อำนาจ แล้วไม่ได้บ้าง

แม้ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พลเอกสุจินดา จะไปต่างจังหวัดก็ตาม แต่จะต้องมี ผู้รักษาการนายกฯ ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสาร กับนายกฯ ได้ตลอดเวลา ประชาชนจะได้รับคำตอบแน่นอน ไม่ตอนนั้น ก็ตอนรุ่งเช้า

การชุมนุมผู้คนมากๆ เราก็ทำมาแล้วถึง ๗ วัน คือวันที่ ๔,๕,๖,๗,๘,๙ และ ๑๐ พฤษภาคม การชุมนุม ๑๗ พฤษภาคมนั้น เป็นการชุมนุม ครั้งที่ ๘ หรือวันที่ ๘ ซึ่งใน ๗ วัน ที่ชุมนุมมา ก็เรียบร้อยทุกประการ ส่วนการเคลื่อนย้าย การชุมนุม ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราเคยย้ายมา ถึงสองครั้งแล้ว ครั้งแรก เดินจากหน้ารัฐสภา ไปสนามหลวง ครั้งที่สอง เดินจากสนามหลวง ไปสะพานผ่านฟ้า เรียบร้อยตลอด ทั้งการชุมนุม และการเคลื่อนย้าย จึงไม่มีอะไร ต้องวิตกกังวลเลย

ที่ประชุมยังได้เตรียมแก้ปัญหา หากทหารตำรวจ ไม่ยอมให้เราเดิน ไปทำเนียบ ยกกำลังออกมาปิดกั้น จะทำอย่างไร ตกลงกันว่า กั้นตรงไหน เราก็หยุดตรงนั้น เสร็จแล้ว กรรมการทั้ง ๗ คน จะปรึกษากัน อีกครั้งว่า จะแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ ลัดเลาะไป หลายๆเส้นทาง แล้วไปรวมกัน ที่หน้าทำเนียบ จะเหมาะสมหรือไม่

ได้มีการทำแผนที่เส้นทาง จากสนามหลวง ไปทำเนียบ แจกให้กรรมการทุกคน พร้อมกับเตรียมแบ่ง กรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย เป็น ๓ กลุ่ม เพื่อเดินนำประชาชน ๓ ขบวน

ขบวนแรก เดินนำหน้าสุด มีหมอเหวง และคุณสมศักดิ์ ขบวนที่ ๒ อยู่ตรงกลาง มีหมอสันต์ กับผม ส่วนขบวนท้ายสุด มีครูประทีป คุณปริญญา และผู้แทนของ เรืออากาศตรีฉลาด ที่ร่วมเป็นกรรมการด้วย

ตกลงกันว่า คืนวันที่ ๑๗ พฤษภาคม เราจะประชุมกัน ที่หลังเวทีปราศรัย อีกครั้งว่า จะเคลื่อนย้ายจาก สนามหลวง ไปที่หน้า ทำเนียบรัฐบาลหรือไม่

ถ้าเป็นไปได้ เราจะแบ่งประชาชน จำนวนหนึ่ง ไปชุมนุมที่ข้าง สำนักงาน กพ. เป็นเพื่อนเรืออากาศตรี ฉลาด โดยจัดให้มี การปราศรัยย่อยที่นั่น เพื่อรอประชาชนส่วนใหญ่ จากสนามหลวง ไปสมทบในภายหลัง

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ตอนเที่ยง กรรมการสมาพันธ์ ประชุมกันอีกครั้ง ยืนยัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม เสร็จแล้วทุกคน ก็แยกย้ายกันไป ครูประทีป จะต้องรีบเดินทาง ไปวนเวียนใหญ่ เพื่อปราศรัยกับประชาชน ฝั่งธนบุรี แล้วชวนให้เดินทาง ไปสมทบที่สนามหลวง

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ประชาชนเริ่มทยอย ไปรวมตัวกัน ที่สนามหลวง ตั้งแต่บ่ายสามโมง เวลาประมาณ บ่ายสามโมงครึ่ง สมาพันธ์ประชาธิปไตย ก็เปิดเวทีปราศรัย ตอนนั้นมีประชาชน ประมาณ ๒ หมื่นคน ในเวลาไล่เลี่ยกัน ประชาชนจากต่างจังหวัด จำนวนมาก ถูกเกณฑ์ ไปร่วมงานคอนเสิร์ต ต้านภัยแล้ง ที่สนามกีฬา กองทัพบก และที่วงเวียนใหญ่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฉพาะที่สนามกีฬา กองทัพบก แห่งเดียว มีรถสุขาเคลื่อนที่ เตรียมไว้ถึง ๑๕ คัน ในขณะที่สนามหลวง ไม่มีเลย ประชาชน จึงช่วยกันสร้าง ห้องสุขาชั่วคราว ขึ้นหลายแห่ง ตั้งไว้รอบๆสนามหลวง ใช้ถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตร ตัดครึ่ง ทำเป็นฐาน มีไม้กระดาน พาด ๒ แผ่น คล้ายกับที่ใช้ใน ค่ายแบร์แคท ตอนไปรบ ที่เวียดนาม แต่มีเพิ่มเติมคือ คลุมรอบด้วย กระโจมผ้าพลาสติก มีช่องเปิดปิดได้ เขียนป้ายไว้ว่า “สุขาสำหรับ ผู้รักประชาธิปไตย”

ดนตรีสู้ภัยแล้งของรัฐบาล ซึ่งจัดขึ้นที่ สนามกีฬา กองทัพบก มีคนดูประมาณหมื่นคน ส่วนหนึ่ง ย้ายจาก การชมรายการ โลกดนตรี สถานีโทรทัศน์ ช่อง ๕ นักร้องชื่อดัง จำนวนมากมาย ได้ผลัดกันขึ้นไป ร้องเพลง ตลอดระยะเวลา แทบจะไม่มีการพูดถึง ภัยแล้งเลย ส่วนที่วงเวียนใหญ่ มีคนดูเท่าๆกันคือ ประมาณหมื่นคน ส่วนใหญ่ เป็นคนงาน ย่านฝั่งธนบุรี ในขณะที่ดนตรี กำลังแสดงอยู่นั้น มีการถ่ายทอดสด ทางโทรทัศน์ ช่อง ๑๑ ด้วย

เวลาประมาณห้าโมงเย็น สนามหลวง ฝนเริ่มตก แต่ผู้ชุมนุมก็ไม่ถอย มีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฝนหยุดตก นักการเมืองฝ่ายค้าน หลายคน เรียงรายกันขึ้นปราศรัย เรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา ลาออก

ขณะเดียวกัน ตำรวจชายแดน ประมาณ ๒,๐๐๐ คน แต่งเครื่องแบบชุดฝึก เคลื่อนกำลังจาก จังหวัดกาญจนบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี และอุดรธานี กำลังทั้งหมดนี้ ส่งไปตรึงที่บริเวณ สะพานผ่านฟ้า สะพานวันชาติ และ สะพานมัฆวาน

เวลาประมาณหกโมงครึ่ง กลุ่มยุวชนสร้างสรรค์ ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนมัธยม ทั่วประเทศ ๒๐ โรงเรียน ส่งผู้แทน ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ บนเวทีท้องสนามหลวง ขอให้พลเอกสุจินดา ลาออก และขอให้ แก้รัฐธรรมนูญ ให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง

ในเวลาดังกล่าว พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารบก และผู้อำนวยการ กองกำลังรักษาพระนคร ได้สั่งให้ หน่วยทหารเคลื่อนที่ เข้าประจำที่ตั้ง ตามแผน ที่วางไว้ เพื่อระงับยับยั้ง การชุมนุม

แอ๊ด คาราบาว ขึ้นเวทีประมาณ หนึ่งทุ่มกว่าๆ ปราศรัยกับประชาชนว่า มีความภูมิใจ ที่ได้อยู่ท่ามกลาง พี่น้องประชาชน เรือนแสน
ซึ่งผู้มีอำนาจ ในบ้านเมือง ไม่มีโอกาส และแม้จะมีเงินมาก ขนาดไหน ก็ไม่สามารถ จ้างประชาชน มารวมตัวได้มากมาย ขนาดนั้น เสร็จแล้ว แอ๊ดก็ร้องเพลง ติดต่อกัน ๓ เพลง

พอถึงเวลาทุ่มครึ่ง กลุ่มแนวร่วม จัดให้มีการแสดง เช่น งิ้วเคลื่อนที่ และดนตรีพื้นบ้าน เป็นต้น ยิ่งค่ำคนยิ่งเพิ่ม เพิ่มจนล้นสนามหลวง ลงไปเดินในถนน ประมาณคร่าวๆ ถึง ๓ แสนคน การจราจร ในถนนบริเวณนั้น หลายสาย ติดขัดไปหมด

เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง นายวีระ มุสิกพงศ์ พรรคความหวังใหม่ ได้ขึ้นปราศรัย เรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา ลาออก ด้วยเหตุผลน่าฟัง หลายประการ พร้อมกับกล่าวว่า คนไทยในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ได้ร่วมกันต่อสู้ เพื่อขับไล่เผด็จการ ออกไปจากเมืองไทย การมาชุมนุมกันนี้ ประชาชน มาด้วยความสุจริตใจ ไม่ได้ถูกจ้างมา อย่างที่ พลเอกสุจินดา กล่าวหา

กรรมการสมาพันธ์ประชาธิปไตย มีการประชุม ที่หลังเวที เนื่องจากคนมากเกินคาด เสียงจากเครื่องขยายเสียง ได้ยินกันไม่ทั่ว มีความจำเป็น ต้องไปเปิดเวทีเล็กๆ ทางด้านพระบรมมหาราชวัง โดยใช้รถตู้ ตกลงกันให้ผม ไปเปิดเวทีก่อน แล้วใช้คนพูด คณะเดียวกับเวทีใหญ่ วิ่งรอกไปปราศรัย

เนื่องจากไม่ได้เตรียมมาก่อน เวทีเล็ก ไฟจึงไม่สว่าง เท่าที่ควร แต่ประชาชน ให้ความสนใจมาก ไม่แพ้เวทีใหญ่ สรุปแล้ว ทั้งสองเวที คนไม่มีถอย

ผมขึ้นเวทีเล็กกล่าวนำ แล้วขอให้ประชาชน กล่าวคำปฏิญาณตาม ๓ ข้อ

ข้อแรก ผู้ชุมนุมจะเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไว้เหนือสิ่งอื่นใด
ข้อที่ ๒ จะต่อสู้โดยสันติวิธี
และข้อที่ ๓ จะหยุดยั้งการสืบทอด อำนาจเผด็จการ เรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา ลาออกจากนายกฯ ให้จงได้

เมื่อกล่าวนำที่เวทีเล็กเสร็จ ผมก็กลับไปที่ เวทีใหญ่ กรรมการสมาพันธ์ มีการประชุมกันอีก ตามที่วางแผนว่า จะเคลื่อนย้าย ตอนดึกนั้น เนื่องจาก ประชาชนล้นหลาม ตั้งแต่หัวค่ำ ถ้ารอดึก อาจมีจำนวนน้อยลงมาก จึงเห็นตรงกันว่า จะต้องเคลื่อนย้ายให้เร็วขึ้น

เมื่อตัวแทนนักศึกษา ประชาชนกลุ่มต่างๆ และตัวแทนนักการเมือง พูดกันไปมากแล้ว ก็ถึงวาระของ กรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย ซึ่งกำหนดให้ผม เป็นคนพูดสั้นๆ โดยกรรมการคนอื่นๆ ยืนเรียงราย อยู่ข้างหลัง

ผมได้กล่าวนำคำปฏิญาณ ๓ ข้อ ที่เวทีใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ข้อเสนอ ให้มีการกล่าว คำปฏิญาณนั้น มาจากคุณหมอ ท่านหนึ่ง ไปเติบโต และจบหมอที่อเมริกา แล้วกลับมาช่วยเมืองไทย ท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ใฝ่หาประชาธิปไตย อย่างยิ่ง ทั้งสามีและภรรยา ไปร่วมชุมนุมกับเรา เป็นประจำ การกล่าวคำปฏิญาณ เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ผู้ร่วมชุมนุมทุกคนชอบ

ในการปราศรัย ผมยังได้เล่าถึง การทำงานของ สมาพันธ์ประชาธิปไตย ที่มีคณะกรรมการ ๗ คนว่า ก่อนจะลงมือทำอะไร เรามีการประชุมกันเสมอ คิดแล้วคิดอีก อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผล ในการเรียกร้อง ประชาธิปไตย มากที่สุด

เวลาประมาณสามทุ่มเศษ พอผมพูดเสร็จ เดินลงจากเวที หมอเหวง ก็พูดชักชวน ประชาชน เดินไปทำเนียบ ผมกับหมอสันต์ รีบเดินไปเวทีเล็ก แล้วประกาศ ชวนประชาชน ให้พากันเดินตามไป ทุกคนเดินไปมือเปล่าๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวประโยคสั้นๆ พร้อมกันบ้าง ร้องเพลงบ้าง ปรบมือบ้าง สลับกันไป ผมยืนอยู่บนรถตู้ แลไปตามถนน สุดลูกหูลูกตา เหมือนกับอยู่ใน ทะเลคน ผมเตือนผ่าน เครื่องขยายเสียง ขอให้เดินไปสบายๆ อย่าเดินเบียดกัน จะทำให้อึดอัด และเหนื่อยเร็ว

กรรมการสมาพันธ์ประชาธิปไตย คนอื่นๆ ก็ปฏิบัติ ตามที่ตกลงกันไว้ การเคลื่อนย้าย เป็นไป ด้วยความเรียบร้อย ทุกประการ

เราทราบภายหลังว่า ในเวลาเดียวกันนั้น ทหารตำรวจ ได้รับคำสั่ง ให้เคลื่อนย้ายกำลัง ออกประจำ ตามจุดต่างๆ ต่อมา ได้วางกำลัง ป้องกัน เพิ่มเติมหลายชั้น ไม่ให้ประชาชน ผ่านเข้าไป หน้าทำเนียบได้ กำลังที่เพิ่ม มีทั้งหมด นับพันๆ คน ที่สะพานมัฆวาน ทหารยืนเรียง เป็นตับ ซ้อนกันถึง ๑๐ แถว แล้วแบ่งกำลังกันไป ตรงหน้าทำเนียบ ด้านสำนักงาน กพ. โดยยืนดาหน้ากัน ขวางถนน ๒ แถว ทำให้รถที่แล่นมาจาก สนามม้านางเลิ้ง ผ่านเข้าไม่ได้ นอกจากนั้น ทหารอีก ๒๐๐ คน ยังได้เข้าไปป้องกัน ในทำเนียบรัฐบาล อีกด้วย

กำลังเพิ่มเติมทั้งหมดนี้ สำรองเอาไว้ ในกรณีที่ ผู้ชุมนุม เดินข้ามสะพานผ่านฟ้า จะมุ่งตรงไปทำเนียบ

 

ผู้ที่ไม่ทราบเหตุการณ์มักคิดว่า เป็นความผิดของผู้ร่วมชุมนุม เพราะมีการชุมนุม และมีการเคลื่อนย้าย ที่ชุมนุม จึงเกิด การสูญเสีย

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันได้ว่า มีการชุมนุมคนนับแสนอย่างนี้ มาถึง ๗ วันแล้ว และมีการเคลื่อนย้าย ถึง ๒ ครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียบร้อย

๑๗ พฤษภาคม ชุมนุมเป็นวันที่ ๘ ชุมนุมอย่างเดิม เคลื่อนย้าย เหมือนเดิม เส้นทางเดิมและเวลาเดิม

เกิดการสูญเสีย เพราะรัฐบาลใช้กำลัง เข้าปราบปรามประชาชน อย่างที่ใครๆ ไม่คาดคิด

 

อ่านต่อ ๑๓ เหมือนอยู่ในสนามรบ

 

จากหนังสือ ... ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง
* ล้นสนามหลวง * หน้า ๑๔๕