ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๕

ในฐานะของเราเป็นนักศึกษา หรือที่เรียกกันว่า เสขบุคคล หรือบางคน จะรู้ตัวว่า ตัวเองยังไม่ได้ แม้แต่เสขะ ยังเป็น ปุถุชนอยู่ก็ตาม เราก็จะศึกษาให้มาเป็น เสขบุคคล จากเสขบุคคล ก็ค่อยๆ ลดละ ลงไป จนกระทั่ง จบไป เป็นรอบๆๆๆ โสดา สกิทา อนาคา ขึ้นไปจริงๆ ซ้อนลงไป ในแต่ละฐานะ เช่น โสดา สกิทา มันก็มีราย ละเอียด ของมันอีก เราจะเป็นผู้ที่ ละเอียดลออ ศึกษา เพ่งอ่าน ตรวจตน แล้วก็มี การเรียนรู้ต่อ ทุกๆ กาลเวลา มีสติปัฏฐาน มีโพธิปักขิยธรรม พิจารณาตรวจสอบ อ่าน อย่าเหลาะแหละ เราเป็นนักศึกษาที่จริง เราได้รู้จริงว่า เราได้ศึกษาแล้ว มันได้มรรคได้ผล อย่าเผลอไผล อย่าสะเพร่า ที่ว่า เรามีจริงก็ไม่รู้จริง ได้ก็ไม่รู้ว่าได้ หรือ ไปหลงว่าไม่ได้ แล้วเราก็หลงตัวว่าได้ ต้องพิจารณาให้ออกชัดว่า มันได้คือได้ เป็นอย่างนี้นะ แต่ก่อนเทียบให้ดี มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรวจสอบ อ่าน กำหนด อย่าเข้าข้างตัว อย่าหลง หลงเร็ว ผลุบผลับ แล้วก็ตัดสินอะไรต่ออะไรเร็ว เกินไปนัก เอาให้ชัดแจ้ง เราจะเป็นผู้ที่รู้ ลักษณะธรรม ลักษณะธรรมะ ที่ชัดที่เจน เราจะมีเป็นสภาพ ที่เราตัดสินได้ รู้จริง จึงจะเป็นของที่แน่นอน แล้วเราก็จะได้รู้ว่า ชีวิตอย่างนี้ น่าสงสัยหรือ? เราสบาย หรือไม่สบาย เราเบาว่างง่าย เราเดินมาใน ทิศทางที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พาเป็น แล้วก็ปลดปล่อยโลกออกมา อย่างมั่นคง เชื่อใจตนเอง เห็นจริง เห็นจัง หมดสงสัย สิ้นวิจิกิจฉา หมดความสงสัย เห็นชัด เห็นเด่น ว่ามันเป็น เอ้อ! อย่างนี้แหละหนา มนุษย์โลกุตระ กับโลกียะ มันอย่างนี้ จริงๆ มันแน่นอน แม้เราได้แค่โสดาบัน แม้เราได้สกิทาคามี ลดโลกธรรม ลงได้พอสมควร ลดกาม ลดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลงไปพอสมควร หรือ ยิ่งมากๆ ขึ้น เข้าฐานอนาคามี เราสบายแล้ว ได้เรื่องลาภยศ จริงจริ๊ง เราไม่มีปัญหาอะไร รายได้รายจ่าย รายได้ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกยอะไร มีชีวิตยังอยู่ อย่างหมุนเวียน ด้วยระบบที่เราเป็น เราไปอยู่นี้ เราเข้าใจ มั่นคง เชื่อมั่นว่า มันไม่มีตาย มันทรงชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็น คนหนุ่ม คนสาว คนแก่ คนเฒ่า คนเด็กอะไร เห็นให้ชัดเจนว่า ระบบของพระพุทธเจ้า เป็นไปได้จริงหรือไม่ เขาไม่เชื่อหรอกข้างนอก เขาเชื่อยาก เพราะเขาไม่ได้พิสูจน์กันมา เราพิสูจน์ ทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช จะเห็นเด่น ชัดเจน---

เพราะฉะนั้น แม้แต่เนื้อในของพวกเรานี่ ต้องพยายาม เป็นสังคมลำลองขึ้นมาแล้ว เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ดูแลกัน พระพุทธเจ้า ท่านเคยบริภาษ พระที่ไม่ดูแล การเจ็บ การป่วย ของนักบวชด้วยกัน ท่านบริภาษ อย่างหนักว่า เราออกมาแล้ว ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ญาติปริวัตตัง ปหายะ ออกมาแล้ว เราไม่ช่วยดูแลกัน ใครจะช่วยดูแล จุดนี้ อยากจะใคร่ ขอพวกเรา ให้ได้ช่วยดูแลกันไป จนกระทั่งถึงว่า บางคน อยู่ในรูป ที่เรายังทำไม่ได้ เช่น มาอยู่เป็นอาคันตุกะ มาอยู่เป็นอารามิกะ อารามิกา อะไรพวกนี้ ซึ่งพฤติกรรม ประจำวัน เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี แม้เรายังไม่ได้รูป เป็นนักบวช แต่ก็เป็นผู้ที่อยู่ ในสังคมของเรา เหมือนกับ ปลดปล่อย ญาติ ปริวัตตัง ออกมา อยู่ในขั้น ปหายะได้ บางคนอยู่ในขั้น ที่เราตัดปล่อยแล้ว เรื่องญาติโก โยติกา เรามาเป็นญาติธรรมกันแท้ อยู่ในวงพี่น้อง ของทางนี้กันจริงๆ อยู่ในสายของศาสนา---

เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ช่วยดูแล ช่วยสอดส่อง อย่าใจดำ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ให้อยู่ในสังคมนี้ มันต้องมี มันต้องดูแล เกื้อกูลกัน คนที่จะป่วย เจ็บป่วย หรือว่าเรี่ยวแรง ลดถอย โดยสัจธรรม แก่ลงไป ทรุดโทรม ลงไปแล้ว หรือแม้แต่ดูแล เด็กที่เข้ามา บางคน เด็กที่มันยังไม่เท่าไหร่ เพราะว่า ไม่ได้รับเป็น อารามิกะ อารามิกา เป็นคนวัด อะไรมากมาย ก็ช่วยอบรม สั่งสอน ดูแลเขาบ้าง อันนี้มันจะเป็น วงสังคม ที่มีภาระ หรือ มีงาน เป็นสัมมากัมมันตะ เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ในฐานะของฆราวาส ก็ดูแลมากขึ้น สอดส่องมากขึ้น เอาภาระมากขึ้น สำหรับส่วนของ ฆราวาส ด้วยกัน ส่วนพระก็จะเป็น ผู้ที่จะสอน พวกผู้ที่จะเข้ามา ปฏิบัติ ประพฤติเข้มข้น เข้ามาหาการเป็นนักบวชนี่ รับผิดชอบพวกนี้มาก---

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในทะเบียน ก็รับผิดชอบ มากหน่อย ผู้ที่นอกทะเบียนออกไป ก็บางจางไปหน่อย เลื่อนไหลไป ส่วนฆราวาสด้วยกันเอง ก็ต้องรู้ฐานะ ที่จะต้องกอบกู้ ช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้น แม้แต่ฆราวาส ที่อยู่ภายนอกเลย เขามาอุดหนุน ช่วยเหลือพวกเราอยู่ ก็เข้าใจเขาให้ได้ บางที เขามีเจตนาดี อย่าพึงรังเกียจ รังงอนอะไรเขานัก ไอ้การที่จะไม่รับจากเขา ให้มากนั้นมันดี แต่บางที ก็อย่าทำให้เสียน้ำใจ กันเกินการ ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น สังคมเราใหญ่ขึ้น จะต้องมีการบันยะ บันยัง ต้องดูท่าที กิริยามารยาท ทำอะไร ให้ดูไม่แตกหัก แตกร้าว พออุ้มชูกัน พอเป็นไป ขอให้สอดส่อง ขอให้ได้พอเข้าใจ ถ้าวงแคบๆ น้อยๆ ส่วนเขาจะอุ้ม เขาจะช่วยเหลือเรา มีมาก มันไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก---

ทีนี้เรามากขึ้น เราก็จะต้องมีส่วน ที่มีคนจะช่วยเหลือ โอบอุ้มมากขึ้น ไม่ใช่เราง้องอน แต่ว่าเราต้องทำ ให้สมส่วน สุภาพเรียบร้อย เป็นไปสอดคล้องกันดี ไม่ใช่ อนุโลมกัน จนเกินการ แต่จัดสรร กิริยา มารยาท จัดสรร สิ่งที่พอจะให้สุภาพ เรียบร้อย ให้ดีงาม ทำให้สมส่วน แล้วมันจะเกื้อกูล สอดร้อย เราจะพิสูจน์ ทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า พิสูจน์ระบบ ซึ่งทุกวันนี้ ก็น่าฉงนสนเท่ห์ น่าทึ่ง ยิ่งเราเปิด ออกไป อาตมาออกไปบรรยาย คณะเศรษฐศาสตร์ ไปบรรยายกับ ผู้กลุ่ม ที่เขาจะใช้ วิธีการสัมพันธ์อยู่ ด้วยระบบ แบบโลกๆเขา พอเราเสนอ ระบบของทาน พวกเราออกไป เขาบอกว่า มันมองไม่เห็นทาง เขาเชื่อไม่ได้ว่า จะเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องดี ความคิดดี แต่เป็นไปไม่ได้ เราเห็นใจเขานะ----

อาตมาบอก อาตมาพูดว่า ก็คุณอยู่ในกลุ่ม ของคนมีกิเลส โลภก็เต็มที่ โทสะก็ยัง เต็มเขื่องอยู่ คุณจะเข้าใจว่า มันจะเป็นไปได้ คุณจะเชื่อว่า คนเหล่านั้น จะมาลดละ จะมาเป็นไปอย่างนี้ ได้อย่างไร แต่ดีที่เรา มีบุคคล เข้าไปยืนยัน ดีที่เรามีวัตถุเข้าไป ยืนยัน เช่น เรามีหนังสือแสงสูญ มีหนังสือ เศรษฐศาสตร์ ไปบ้าง เมื่อวานนี้ เขาบอกว่า จะให้บริการฟรี จะทำผลผลิต แจกฟรี ได้อย่างไร เราบอก นั่นไง ที่เราทำ เราไม่ได้เพิ่งทำ เราทำมานานแล้ว อย่างนี้เป็นต้น พอชี้สิ่งเหล่านี้เข้า เขาก็รู้ว่า เราสะพัดออกไป ในจำนวน ที่ไม่ใช่ทำเล่น มีปริมาณพอเพียง กับบริษัทอื่น เขาทีเดียว เราทำได้---

เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องเข้าใจและเห็น ที่หยิบขึ้นมาบอก มาพูดนี่ ให้รู้ว่า เราเอง เราอยู่ในวงสัมพันธ์ หรือ วงสร้างสรร อยู่แบบไหน อย่างไร เราก็จะได้เข้าใจว่า ที่เราทำอยู่นี้ มันเป็นหลักฐาน มันเป็นของจริง มันเป็นสิ่ง ที่จะยืนหยัด ยืนยัน พิสูจน์ความจริง เพราะฉะนั้น คุณสร้างสรร คุณกระทำอยู่ ทุกวันนี้ มันก็เป็นผล ที่จะพิสูจน์ระบบ พิสูจน์สังคม พิสูจน์การเสียสละ พิสูจน์การงาน พิสูจน์ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ พิสูจน์สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ แม้อยู่ในฐานะ พวกเราฆราวาส เราก็เรียก ลำลองได้ แม้เราจะอยู่ในวัด เป็นคนวัด เป็นอารามิกะ เป็นอารามิกา เป็นสมณุทเทศ เป็นสิกขมาตุ อะไรอย่างนี้ มันมีอีกเยอะแยะ เราจะได้เข้าใจ ถึงระบบสังคม แล้ว ระบบสังคมวันนี้ จะโตใหญ่ จะเป็นกลุ่ม แยกแขนงออกไป เป็นหลายๆวัด หลายๆกลุ่ม หลายๆจุด เมื่อแยกมีวัด ทั่วประเทศ มันก็จะเป็น ระบบอย่างนี้ จะเป็นระบบ ที่ต่อทอดไป จนกระทั่ง แม้แต่ฆราวาสที่ ไปๆ มาๆ เป็น อาคันตุกะสัมพันธ์ สุดท้าย ก็เป็นพุทธศาสนิกชน หรือเป็น พุทธมามกะ ที่เห็นวัด เป็นจุดรวมของสังคม เป็นบ่อ ที่ให้ความรู้ ทางจิตวิญญาณ ทำให้วิญญาณ ละโลภ ละโกรธ ละหลง เป็นบ่อที่จะให้ความรู้ เป็นบ่อที่จะต้อง เอาคุณธรรม เอาทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ เป็นบ่อที่เขาจะต้องมา กอบโกยเอาทรัพย์ อันนี้ด้วย ไม่ใช่ว่า เขาจะกอบโกย แต่วัตถุ ทรัพย์ทางโลก เท่านั้น เขาจะเห็น อริยทรัพย์ เป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งหนึ่ง ของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์มีแต่กาย มนุษย์ต้อง มีจิตวิญญาณ ต้องมีอริยทรัพย์ มันจึงจะทำให้ สังคมนี้อยู่รอด ทำให้สังคมนี้ เข้าใจถึงจิตนิยม วัตถุนิยม ให้เขาได้รับ สิ่งเหล่านี้ สมส่วน---

พระพุทธเจ้ายืนยันว่า จิตวิญญาณ เป็นประธาน ของสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้น จิตนิยม หรือจิต วิญญาณ มันเป็นของสำคัญ กว่าวัตถุ ฐานะของสังคม ฐานะของมวลมนุษยชาติ จึงจะอยู่ได้ เพราะมี จิตวิญญาณ ที่ลดความโลภ ลดความโกรธได้จริง เอื้อเฟื้อเกื้อกูล สร้างสรรจริง สังคมจึงจะอุดม สมบูรณ์ และ เผื่อแผ่ ช่วยเหลือ เกื้อกูล ไม่เผาผลาญ อย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่กระเบียด กระเสียน แย่งชิง อย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่ทุกข์ร้อน อย่างที่มันเป็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเราเห็นๆ อยู่ เข้าใจอยู่---

เพราะฉะนั้น สังคมของเรา เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องวุ่นวาย เงินคงคลังไม่ต้อง เป็นกอบเป็นก้อน ไม่ใช่นักสะสม กอบโกย เราก็เป็นอยู่ได้ ด้วยสุขภาพกาย สุขภาพจิต มีแรงงาน มีสิ่งผลิต มีกิจกรรมต่อทอด ออกไป จากสังคมเรา ออกไปสู่ข้างนอก เราก็ศึกษา เราก็เล่าเรียน เราก็ทำความเจริญ ให้แก่พวกเราเอง และ พร้อมกันนั้น เราก็มีสิ่งที่ จะออกไป เกื้อกูลแก่ข้างนอก---

ฆราวาสที่เข้ามาในสำนักเราแล้ว ได้อุดหนุน เจือจุน ให้เราได้มีแรงงานผลิต ให้มีเงินทุนหมุนเวียน มีทาน อย่างแท้จริง มีสิ่งสนับสนุน โดยที่เราจะพิสูจน์ ถึงขนาด ทฤษฎีกำไรขาดทุน ขนาดที่เราแจก ของฟรี แจกสิ่งผลิตฟรี อาตมาได้เล่า ให้เขาฟังกัน ถึงขนาดว่า เราแจกหนังสือ แต่เท็ป เรายังแจกไม่ได้ เรายังมีระบบ ในการที่จะ ให้แลกเปลี่ยนบ้าง ในอัตราส่วนอย่างนั้น แล้วเราก็พิสูจน์ทฤษฎีว่า เรายิ่ง ต้นทุนลดลง เราก็จะลดราคา ของที่จะให้ไปแลกเปลี่ยน ราคาขาย ถ้ามีคนสนับสนุน เข้ามามาก เท็ป นี้จะจำหน่าย หรือ ว่าจะขาย ให้แก่โลกเขา ในราคา แม้แต่ทุนของ วัตถุดิบ ก็ลดลงไปได้ เราก็สามารถ จะทำได้ อาจจะทำได้ ถึงขนาดว่า เท็ปนี่จะจำหน่าย ในม้วนละ ๑๕ บาท ซึ่งที่จริงนี่ ทุนวัตถุไม่คุ้ม แต่เรามีแรงทาน มีแรงสนับสนุน เข้ามาเกื้อกูลได้จริง เราก็อาจจะให้เท็ป ของเรานี่ จำหน่ายไป ในราคา อย่างนี้ได้ อย่างนี้ ก็เป็นความหวัง หรือเป็นความคิด เป็นอุดมการณ์ ที่เราก็ลอง พิสูจน์กันดู---

ไม่ใช่ว่าเราจะไปทำ ให้เป็นกำรี้กำไร แล้วก็ทำให้เดือดร้อน ไม่มีการเสียสละที่จริง แรงงานของเรา มากจริงขึ้น มีแรงงานที่จริงๆ มากขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเสียสละจริงขึ้น เพราะฉะนั้น ไอ้ทุนรอน ผู้ที่จะมีทาน มีการอุดหนุน ก็มากขึ้นได้ ระบบของพระพุทธเจ้า ที่มีทาน มีเปยยะวัชชะ มีอัตถ จริยา มีสมานัตตา เหล่านี้ จะสังเคราะห์ หรือ สงเคราะห์สังคม หรือ สังคมอันสังเคราะห์ เป็นมนุษย์ สงเคราะห์ เป็นสภา สงเคราะห์ อย่างแท้จริง เราจะเกิดการสงเคราะห์ สังเคราะห์ประชาชน อยู่ได้อย่างเกื้อกูล ช่วยเหลือ แม้แต่ในระบบโลก เขาก็พยายามกระทำ แต่มันไม่จริงจังได้ เพราะว่า สัจจะอันเป็นแก่น เป็นเนื้อ มันไม่จริง ตัวจิตวิญญาณมนุษย์ มันไม่สงเคราะห์กันจริง มันไม่เอื้อเฟื้อ ทานกันจริง แล้วมันไม่ทนทาน ต่อคำกล่าว ติเตียน เพื่อปรับปรุง มันไม่มีอัตถจริยาที่จริง มันไม่สมานัตตาจริง มันยิ่งมีศักดินา ทุนนิยม คั่นกลาง อยู่จริงๆ---

เพราะฉะนั้น มันทำอะไร มันก็ไม่จริง มันก็ได้เป็นเพียงปลีกๆ ย่อยๆ สุดท้าย ก็ไปสร้างฐานแห่ง ศักดินา และ ทุนนิยม อยู่อย่างเก่า มันก็ไม่ได้สุดยอด มันก็ไม่เป็น สิ่งที่เป็นไปด้วยดี เราจะศึกษาให้ลึกซึ้ง และ จะพิสูจน์ สิ่งนี้ ให้ยืนหยัด ยืนยันขึ้นมาให้จริง ถ้าประเทศไทยเรา เป็นประเทศที่มีศาสนา อันสมบูรณ์ได้จริง ประเทศอื่นๆ ในโลก จะต้องมาศึกษา และประเทศเรา จะเป็นมหาอำนาจ เพราะเรามี ระบบการศึกษา ทางด้านศาสนา หรือ จิตวิญญาณ อันเจริญก่อนเขา---

ทุกวันนี้ จริง เราพ่ายแพ้ ความเจริญทางด้านวัตถุ เราไม่เก่ง แต่เราควรจะเก่งสิ่งนี้ เพราะอันนี้ เรามีเชื้อ มีเค้า เรามาบำรุง อันนี้กันให้ดีจริงๆ เถิด เราจะเป็นประเทศ ที่จะมีสิ่งดี ให้เขาเข้ามา พึ่งพา อาศัยได้ เราไม่ใช่เบ่ง เป็นอำนาจว่า เราจะต้องเป็น มหาอำนาจ อะไรต่างๆ แต่เราจะเป็น ผู้ที่มีอะไร ให้แก่มนุษยโลก ในชาติอื่น ประเทศอื่นบ้าง แม้เราจะไม่เก่ง ในทางวัตถุ เราไม่เก่งในทางเทคโนโลยี่ แต่เราก็ควรจะเก่ง ในสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้ เรามีเชื้อเค้า อยู่ในประเทศจริงๆ อาตมาคิดว่า ประเทศไทยเรา จะเป็นประเทศ ที่มีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้ แต่มันเป็นความจริง ที่เขาจะมา ขอแบ่งปัน---

เป็นทาง หรือเป็นสิ่งที่ จะแง้มแงะ มาให้คุณฟัง มาให้คุณได้รู้ ไม่ใช่เครื่องอ่อย ไม่ใช่เครื่องล่อ ถ้าใครเข้าใจว่า นี่เป็นเครื่องอ่อย เครื่องล่อ เลิกไปเลย ถ้าใคร เห็นว่า นี่เป็นเรื่องที่ประเสริฐไหม ดีไหม ถ้าจะไม่เรียกว่า เครื่องอ่อยเครื่องล่อ หรือ กระทำอันนี้ เพื่อให้คุณเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณเป็นอย่างนั้น จริง คุณได้สนับสนุนสิ่งดี หรือสิ่งเลว คุณได้เป็นมนุษยชาติ ที่เป็นประโยชน ์ต่อสังคม ต่อประเทศ ต่อความเป็น มนุษย์เอง จริงหรือไม่จริง ตัดสินเอาเอง ไม่มีการบังคับ ไม่มีการเผด็จการ ทางความคิด เห็นให้แจ้ง สิ่งเหล่านี้ เป็นคุณค่า อาตมามั่นใจ และ อาตมาเองยืนหยัด คนอื่นจะยืนหยัดด้วย หรือไม่ด้วย ไม่มีการบังคับ เห็นให้จริง พิสูจน์ให้จริง ใช้ปัญญาของตนเอง ให้ถ้วนทั่ว แล้วเราจะมา อุตสาหะ วิริยะ พากเพียร สร้างสรรระบบ สร้างสรรลัทธิ สร้างสรรศาสนา นี่แหละ โดยเราพยายาม เทียบเคียง ยืนหยัด ยืนยันว่า เราไม่เป็นลัทธิแก้ เราไม่ดัดแปลง ไม่ปรับปรุง แก่นสารสารัตถะ ของพระพุทธเจ้า แต่เราจะรู้ สิ่งประยุกต์ ตามมหาประเทศ หรือ ตามกาลเทศะ ที่มันเป็นจริง เราก็จะทำ ให้มันสมส่วน เราจะเป็นทั้ง เถรวาท และ มหายาน อันไม่ที่จะไปติดยึดอะไร จนเกินการ จะประสมส่วนให้ดียิ่ง แล้วเรา จะทำศาสนานี้ ใช้ศาสนานี้ เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไปให้ได้สูงสุด นานที่สุด สถิตเสถียรที่สุด เท่าที่เรา จะสามารถ.---