ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๕

เราได้แนะนำพิจารณาไปพลาง โดยอาศัยคำว่า ปฏิสังขาร หรือว่าพิจารณา การพิจารณาที่เรากำลัง กระทำอยู่ ในอิริยาบถนี้ คือพิจารณาบิณฑบาต หรืออาหาร ที่เราจะรับประทาน แต่แล้ว เราก็ได้ศึกษาไป แม้แต่อาหาร เราก็จะได้เรียนรู้ เหลี่ยมคู ของการพิจารณา ว่าเราจะฉันอาหารอย่างไร จึงจะเป็นบุญ จึงจะเป็นกุศล จึงจะได้ประโยชน์ ในการปฏิบัติธรรม ตามมรรค องค์ ๘ คือมีการพิจารณา จริงๆ แล้วเรียนรู้ จริงๆ เตรียมตัว สังวรระวังจริงๆ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ ประพฤติปฏิบัติไป ทุกคำฉัน ประพฤติปฏิบัติไป ในทุกอิริยาบถ ละเอียดยิ่งกว่านั้น ประพฤติทุกขณะ ---

เรายังมีอิริยาบถใหญ่ จะเกิดการสัมผัส อะไรต่ออะไรอยู่ เราก็จะรู้เท่าทัน และพยายาม สังวรระวัง ลดละ จางคลาย ปลดปล่อย ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดจริง ไม่ใช่ เวลานี้ เวลาที่ไม่จริง เป็นเวลาจริง ที่เราจะได้ทำจริง ได้ทำแบบฝึกหัดจริง ได้ลดละ จางคลายลงจริงๆ สังวรเรียนรู้ --

ความรู้ทางปริยัติใด ที่เราได้ศึกษามา เราก็จะได้เอามา ใช้พร้อมกันกับ การปฏิบัติจริง ซึ่งเราจะต้องลดละ จางคลาย ตั้งแต่ความนึกคิด ธรรมวิจัย มีสติรู้ สัมผัสมาแล้ว ก็วิจัย กุศลอกุศล ทำในใจอย่างไร ทำอย่างไรกับ สิ่งที่มาประกอบ มาประชุม สิ่งที่เป็นวัตถุข้างนอก เมื่อมากระทบสัมผัสแล้ว เราเกิดอาการอย่างไร เราจะทำอย่างไร จะตัดสินอย่างไร จะใช้วิธีการอย่างไร เป็นอิทธิวิธี ที่เราจะได้เกิดบุญ เกิดคุณ เกิดค่า ในการพิจารณา และกระทำ ---

เพราะฉะนั้น การที่จะทำท่าที รูปแบบ ก็เพื่อเตือนให้เรารู้ว่า บัดนี้ เรากำลังจะเข้าสงคราม เรากำลังจะต่อสู้ เรากำลังจะปฏิบัติ ประพฤติ แม้แต่ผู้ใด จะลดละ จางคลายได้ ไปมากแล้ว ยังเหลือเศษ เหลือเลยอะไรอยู่ ก็ไม่พึงประมาท ควรจะทำการสังวร ระวัง พยายามที่จะกระทำ ให้ลึกซึ้งละเอียดไป ถึงรูปราคะ อรูปราคะ หรือ เศษส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่เราควรจะพึงเป็น พึงไป มันเกิดความแยบคาย เกิดความละเอียดจริง ของการอบรมตน อย่างสูง เราก็จะพึงกระทำอย่างจริง แม้กระนั้นก็ตาม เราได้ศึกษาส่วนตรง ของการบิณฑบาต หรือว่า พิจารณาอาหารแล้ว เราก็ยังมีเวลาอื่นอีก ที่มากมาย เราก็ได้ ชักชวนแนะนำ เพื่อที่จะให้ พิจารณา ในเรื่องอื่นๆอีก เชิงชั้น อื่นๆ อันมากหลาย เป็นประโยชน์ ในการศึกษา จนเราเอง ผู้ที่เข้าใจ ในเรื่องของ ยิตถัง หุตตัง อะไรต่างๆนานา ที่เราจะต้องใช้ เป็นองค์ประกอบ เป็นระเบียบ แบบแผน ประเพณี เพื่อที่จะกระทำ ให้มันสมบูรณ์ ---

แม้กระทั่ง เราจะมีรูปแบบอะไร เพิ่มเติมขึ้น ในการที่ได้รวมกลุ่มกัน ปฏิบัติ ประพฤติ มันเกิดมี เป็นระเบียบ เรียบร้อย ถึงเวลาลงฉัน ถ้าใครไม่ติดธุระ ไม่ติดความจำเป็นอะไร ก็ลงฉันพรั่งพร้อม เป็นสามัคคีธรรม เป็นพลัง อย่างน้อยก็เป็นบุญ ที่ได้สนับสนุน ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย เป็นกฎ เป็นหลัก เป็นจารีต เป็นประเพณี ได้ เป็นผู้ไม่คัดค้าน ไม่กระทำให้ดูแตก ไม่กระทำ ให้ดูกระเด็นกระเซ็น แต่เรียบร้อย ลงกัน พรั่งพร้อม เป็นสามัคคี สามัคคีนี้ เป็นพลังที่เราได้อาศัย ในการพัฒนา ในการกระทำงาน ในด้านศาสนา มานี้ ก็เพราะพลังสามัคคี ---

สามัคคีที่เกิดจากปัญญาของเรา และเราก็ทำได้ เพราะจิตใจของเรา มันไม่มีตัวเลว หรือตัวค้าน ตัวแย้ง ตัวที่เป็นมานะ หรือตัวที่ เป็นตัวกระด้าง ขวาง มันไม่มี มันเข้าใจ แม้มันจะมี ถ้าเราเข้าใจ ด้วยปัญญาแล้ว เราก็ต้องพยายาม กระทำตนเอง ให้ปล่อยวาง ให้เป็นไป เพราะว่าหมู่กลุ่ม ย่อมมีกฎ มีระเบียบ มีหลัก มีการกระทำ เหมือนกัน พรั่งพร้อมกันฉัน พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันลง พรั่งพร้อมกันเลิก พรั่งพร้อมกัน กระทำต่างๆ นานา พวกนี้เป็นความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นก็อนุเคราะห์เกื้อกูล กระทำสิ่งที่มันเป็น พลังสามัคคีเสมอ ---

โลกที่มีความสามัคคี พรั่งพร้อมอย่างไร ต้องขัดข้อง แต่มีจิตใจอันดี อย่าว่าแต่ เป็นพลังสามัคคี ทางด้านกุศลเลย พลังสามัคคี ทางด้านอกุศล ยังสามารถทำลายล้าง อะไรได้ด้วยเลย ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ป่วยการ กล่าวไปใยว่า ถ้าเป็นพลัง และยังเป็นกุศล ด้วยซ้ำ มันจะมีความดีงาม ยิ่งกว่านั้นอีก เท่าใดๆ น่ะ ---

เมื่อพวกเราได้พยายามเรียนรู้ ได้พยายามสังเกต จะเห็นว่า แม้แต่เรามานั่งเรียงกัน เป็นแถว ทำการรับประทานอาหาร อย่างมีระเบียบ เรียบร้อยอย่างนี้ เป็นของแปลก เป็นประสิทธิภาพ เราได้ไปแสดงกัน ถึงขั้นถึงขนาดว่า ที่สวนลุมฯ มีคนตั้งหลายร้อย จะเป็นพัน แล้วเราก็ได้จัดแจง สิ่งเหล่านี้ขึ้น เราเห็นได้เลยว่า เราเองลดความฟุ่มเฟือยลง ประหยัด ถ้าต่างคน ต่างตัก เมื่อวานนี้ อาหารไม่พอ แต่เมื่อวานนี้ ได้จัดระเบียบอย่างนั้น อาหารพอ และเหลือด้วยซ้ำ และทุกคนก็ได้ อาศัยเป็นไป พอประมาณ มันเกิดระเบียบ มันเกิดความเป็นไปอย่างดี อย่างงาม อย่างลงร่องลงตัว ลงช่อง เป็นของดี ขอให้พวกเรา ได้สำนึกถึง พลังสามัคคีที่ก่อสุข ก่อความสำเร็จ ก่อพลัง ให้สำคัญ ให้มาก และเราก็พยายามช่วยกัน สร้างสรร สิ่งที่เป็นพลัง แล้วจะก่อความสุข ความสุขที่ว่านี้ เป็นความสุขที่เป็นไป เพื่อสันติ ไม่ใช่ความสุข เสพย์สม แต่เราต้องลด ต้องทน สำหรับ คนที่ยังมีกิเลสเหลือ คนที่ไม่มีกิเลสแล้ว มันเป็นสุขสงบ สบาย เรียบร้อย ง่าย เป็นไปด้วยดี ถ้าเผื่อว่า หมู่เขาเป็นไปอย่างนี้ ทุกอย่าง มันก็ยิ่งเป็นพลัง มันเป็นฤทธิ์เป็นแรง อย่างแน่แท้ ---

ถ้าต่างคน ต่างก็เอาตามใจตัวแล้ว ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็แตก และ ความพร้อมเพรียงนี้ ในสำนึกของมนุษย์ อนุโมทนา เพราะคนทุกคน ชอบสามัคคี คนไม่อยากจะให้ ทะเลาะกันหรอก คนที่มี จิตวิปลาส เท่านั้น ที่จะให้ทะเลาะ แตกแยก หรือว่า ค้านแย้งกัน ส่วนคนที่ เป็นคนสามัญ เป็นคนที่มี ธรรมในใจแล้ว ก็จะต้องชอบ ความสงบ เรียบร้อย สอดคล้อง เบิกบาน แจ่มใส สอดคล้องกันอย่างดี นี่เป็นเรื่องที่เป็น สามัญ สำนึกของมนุษย์ ---

เพราะฉะนั้น เขามาเป็นชาวอโศก เห็นพระท่านกราบ ก็พรั่งพร้อมกัน เห็นฆราวาสกราบ ก็พรั่งพร้อมกัน เป็นหมวดหมู่ ทำได้มากคน ยิ่งมากยิ่งมีน้ำหนัก น่าทึ่ง มันไม่ใช่ว่า เราทำความน่าทึ่ง ไปอวดอ้างเขา แต่ว่ามันเป็นน้ำหนัก ของสัจธรรม ที่แท้จริงว่า ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ ไม่ว่า จะพร้อมเพรียงกันทำ แล้วยิ่งการกระทำอันนี้ เป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใส เป็นความพรั่งพร้อม ที่เป็นระเบียบ เรียบร้อย แล้วก็เป็นสิ่งที่น่า อนุโมทนา เพราะว่า มันเป็นกรรมดี เป็นกุศลกรรม มันก็ยิ่งมีน้ำหนัก อย่างสูง ---

ขอให้พวกเรา ได้พิจารณาให้ลึกซึ้ง ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ในกรรมกิริยา ในการกระทำ ในสิ่งที่กำลัง ก่อเกิดกันอยู่ ทุกวันนี้ ---

สำหรับผู้ใดไม่เข้าใจ ในแง่เชิงประเด็นอย่างนี้ ก็ขอให้ ทำความเข้าใจให้ดีๆ แล้วก็ช่วยกันสร้าง พลังสามัคคี เพื่อความสำเร็จ อันที่เรา ได้แน่ใจแล้วว่า เรากำลัง จะไปสู่เป้าหมายที่ดีนั้น เราจะได้สร้าง ความสำเร็จนั้น ให้แก่ประชาชน มวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะได้มาก เท่าใดๆ เราก็ทำให้ดีที่สุด ที่เราจะทำได้ คิดว่า ทุกๆคน คงจะเห็นพ้อง และสำรวมสังวร ตั้งใจทำกิจอันนี้ ให้เจริญรุ่งเรือง ไปได้ด้วย จนกว่า จะสิ้นชีวิตของเรา ทุกคน

 

สาธุ.---