ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๕

การสร้างสมมุติสัจจะ ซึ่งเราเรียกว่าสัจจะ ที่รู้กันติดต่อกันไป สมะ แปลว่า ต่อเนื่อง มติ หรือ มุติ แปลว่ารู้ เรารู้กันต่อเนื่องไป เป็นสิ่งที่รู้กันต่อเนื่อง แล้วก็กระทำกันขึ้นมา จนกลายเป็น สัจจะ อย่างหนึ่ง หรือ เป็นความจริง อย่างหนึ่ง ที่คนได้อาศัย เมื่อคนได้อาศัย เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ อยู่อย่างสบาย อยู่อย่าง เรียกว่า พอไปแล้ว ไม่ต้องมากกว่านี้ ก็ใช้ได้ หรือว่าจะพัฒนา ถ้าเผื่อว่าทุกอย่าง เหตุปัจจัย สิ่งแวดล้อม มันพอจะพัฒนาได้อีก ก็พัฒนาไปบ้าง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห่อเหิม ไม่มาก ไม่รีบร้อน ที่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนา จนเกินการนัก อย่างนั้น เราก็ไปได้ อย่างสบาย --

ทุกวันนี้ มันมีแต่ความล่อหลอก ที่จะพยายามปรุง พยายามพัฒนา พยายามเปลี่ยนแปลง ให้มันเป็น ความแปลกใหม่ และให้ได้รับ ประสิทธิภาพ อะไรหลายๆอย่าง ที่ล่อหลอกให้คนเรา หลงติด หลงนิยมชมชื่น เพราะเพื่อจะได้ แย่งกันซื้อ แย่งกันขาย เพื่อจะได้เปลี่ยนไม้ เปลี่ยนมือโดยเร็ว ของที่ควรใช้ได้อยู่ ก็จะมีอายุสั้น จะถูกเอามาใช้ ประเดี๋ยว ประด๋าว แล้วก็ไปนิยมสิ่งใหม่ ที่ยั่วยวนขึ้นใหม่ วัตถุดิบ ก็ถูกเผาผลาญ โดยเร็ว ของที่ก่อสร้างขึ้นมาใช้ ก็ถูกทิ้งขว้าง โดยเร็ว ---

กรรมกิริยาหรือพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นความฟุ้งเฟ้อ ผลาญพร่า คนสมัยใหม่ ไม่รู้เท่าทัน มีแต่ความปรารถนา ที่จะได้มาก ด้วยการค้าการขาย ด้วยการเอาชนะ ให้เขานิยม ของของกู กูจะต้องชนะ กูจะต้องเด่น กูจะต้อง มีคนมานิยม มากกว่า จึงปรุง จึงพยายามหุ้มพอก ด้วยสังขารธรรม ด้วยมุมเหลี่ยมต่างๆ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป นี่เกิดจากสัจจะ ที่มันเฟ้อ มันเกิน พอมันเกิน เราก็เรียกว่าเป็น สมมุติสัจจะ เหมือนกัน แต่ว่าเราต้อง มีปัญญา ที่จะกลั่นกรอง ที่จะเลือกเฟ้น แล้วรู้จักหยุด รู้จักพอ รู้จักเอาแต่ขนาดนี้ ก็พอเหมาะแล้ว ---

เพราะขณะนี้ เราเอง เราเกิดมาในยุคกาล ที่มันสังขาร มันปรุง มันสร้าง มากเหลือเกิน เราวิ่งตามไม่ไหว เมื่อเราวิ่งตาม แล้วก็ทุกข์ เราก็หยุด แล้วเราก็เลื่อนไหลลงมา หาจุดที่มันพอ พอพอแล้วก็หัด น้อยลงมา หาจุดที่มันพอ เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตของเรา เกินมา ไม่รู้เท่าไหร่ๆ การกินก็เกิน การอยู่ การใช้ การสอย การหลับ การนอน การเต้น การดีด การร่าเริงบันเทิง เกินทั้งสิ้น ---

ศาสนา จึงมีหลักในการลด ละ หน่าย คลาย ปลดปล่อย เปลื้องออก หลักของ ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงมีหลักนี้ และก็ได้ ทำการลด ละ หน่าย คลาย ปลดเปลื้องออกมา ที่เราได้พากันมาทำ มาลด ละ ปลดเปลื้อง จนกระทั่ง เราได้หลักแกน เราได้จุดสมบูรณ์ เราเอาพระพุทธเจ้า เป็นหลัก พระพุทธเจ้าก็เป็นคน เราก็เป็นคนน่ะ สรีระ ยังไม่ต่างกันเลย เราจะมีแคลอรี่ เราจะมีพลังงาน เราจะมีอะไร ต่ออะไร พอได้ ชีวิตร่างกายนี้ เราก็มาเรียนรู้ ตามหลักพระพุทธเจ้า ที่ยังเป็นทฤษฎี ที่ใช้ได้ดีอยู่ เรามาพิสูจน์ การกินก็เท่านี้ การนุ่งห่มก็เท่านี้ การขยันหมั่นเพียรซิ เราก็เอาอย่างพระพุทธเจ้า เหมือนกัน และ เราจะไม่ท้อถอย ในการขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร และ เราก็จะมีปัญญารู้ การสร้างสรรว่า สิ่งที่ควรสร้าง คืออะไร สิ่งที่เฟ้อเกิน อย่างที่โลก เขาปรุงสร้าง กันเยอะมากมาย เราไม่จำเป็นที่จะต้อง ไปวิ่งไล่เขา แล้วเรา ก็จะทำให้มัน อนุโลมบ้าง พอเหมาะ พอไป พอเป็น ---

เราจะไม่วิ่งไล่สังขารโลก นี่โลกมันไปกันอย่าง ไม่มีหยุดยั้ง ไปอย่างเร็วด่วน เหลือเกิน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เมื่อเราได้ มาหยุดแล้ว เราได้ตัด ลด ละ หน่าย คลาย เปลื้องปล่อยออกแล้ว เราจะรู้ เราจะเห็น ความจริงว่า เราได้สบาย เราได้เบา แล้วชีวิตของเรา ก็ไม่ได้น้อยค่าอะไร กลับจะมีค่ายิ่งกว่า เพราะเราไม่ต้อง เอาเวลา ไปซอกๆ ซอนๆ วิ่งไล่ สิ่งที่เขาหลอก สังขารโลกเหล่านั้น แล้วเราก็กลับ มามีเวลาเหลือ มีพลังงานเหลือ มีสมรรถภาพ ที่จะสร้างสรร สิ่งที่เป็นแก่นแกน เป็นสิ่งสำคัญ ของชีวิต อะไรสำคัญ เราเร่งสร้างก่อน ---

ขณะนี้สำคัญคือธรรมะ เราก็จะพยายาม ผลิตธรรมะ เป็นอาหาร ออกไปให้แก่ชาวโลก ด้วยรูปแบบ ด้วยสื่อสาร ด้วยกรรมวิธี ด้วยอะไร หลายๆอย่าง ทั้งพฤติกรรม ที่เราจะเอาเรี่ยวเอาแรง เอาชีวิต เอาพฤติกรรม เอาการประพฤติ เอากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา เข้าไปร่วมผลิต ร่วมสร้าง ร่วมกระทำ ให้เขารู้ ให้เขาเห็น ให้เขาเข้าใจ ให้เขารับ ให้เขาชัดแจ้ง ในสัจธรรมว่า เขาควรจะมาอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ซึ่งเราได้กระทำ และมีผลเพิ่มขึ้นๆ เราได้สบาย เพราะว่าเราเอง เราได้ลดละ เปลื้อง ปล่อย จากการวิ่งตาม สังขารธรรม หรือ สังขารโลก มากหลายนั้น จนกระทั่ง เราลดในทางวัตถุ ลดในทางส่วนนอกได้ แล้วเราก็จะมาลด ลงไปอีก ---

แม้แต่พระพุทธเจ้าสอนเราว่า สังขารร่างกาย ก็เป็นเพียงการประชุม ที่มันเกิดโดยธรรมชาติ มันก็เหมือนกัน ทุกๆอย่าง ตั้งแต่ของนอก ที่เขาเอามาตบแต่ง เป็นสังขารโลก เป็นสังขารธรรม ปรุงแต่งขึ้นมา ซึ่งเป็นของประดิษฐ์ เป็นของผสม ที่เห็นเด่นชัด ร่างกายมนุษย์ ก็เป็นของผสม ของธรรมชาติ แม้ที่สุด เราก็จะต้อง ไม่ยึดมั่นถือมั่น และเราก็จะเพียงอาศัย และใช้ร่างกาย ที่เป็นธรรมชาตินี้ สร้างสรร สิ่งที่จำเป็น สร้างสรร สิ่งที่เราได้อาศัยอยู่ อย่างพอดี สบาย เจริญ ครบพร้อมแล้วนี้ เพื่อที่จะกระทำ ให้มนุษย์อื่นๆ เขารู้ด้วย แล้วเขาจะได้ อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนอย่างเรา อยู่เย็นเป็นสุข ---

ผู้ใดอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว ไม่หลงใหลวิ่งวุ่น ผู้นั้นมีแต่สร้างสรร ก็เกิดแต่คุณค่า ประโยชน์ แต่ถ่ายเดียว เราจึงกลายเป็นคนที่ แทนที่จะเผาผลาญ ร่วมไม้ร่วมมือ เป็นไปละเลงไป กับชาวโลกเขา เรากลับเป็น ตัวหลักแกน เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ให้คนอื่น มาดู มาแล มาศึกษา เราเอง ได้ที่ยืนอันเกษม ได้ที่อาศัยอันเกษม เราได้จุดที่สบาย ว่างเบา แต่สร้างสรร มีคุณค่า มีประโยชน์ อย่างแท้จริงได้ เพราะเราศึกษาตาม ทิศทางทฤษฎี ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ---

นี่พูดนี้ ก็ขยายความลงไปบ้าง เกลี่ยอะไรออกไป ให้รู้ ให้พิสูจน์ ให้คุณระลึก สำนึกและเทียบเคียง ความเป็นจริง เรากำลัง มุ่งหมาย อย่างนี้หรือไม่ เราพิจารณา เราจะทำอย่างนี้ เพื่ออย่างนี้หรือไม่ แล้วเรา ทำได้ลงตัวหรือยัง เราจะน้อยลงอีก ได้ไหม เราจะไปสู่ความพอดี แก่นแกน ที่เราไม่ได้ทำให้ ตนเองเสื่อมต่ำ เรามีพฤติกรรม อันแข็งแรง ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร มีประสิทธิภาพ แต่เราก็เป็นคน ที่ไม่ได้ หลงใหลโลก สบาย เบา ง่าย ทุกอย่างได้อาศัย อย่างสมบูรณ์ พูนสุข เรากินมื้อเดียว เราสมบูรณ์ พูนสุข เรามีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มใช้ ชุดสองชุด เราสมบูรณ์พูนสุข เราไม่ได้กระเบียด กระเสียน เราพอแล้ว เราเห็นด้วยว่า เราว่าง เบา ง่าย เราไม่ต้องหนักหนา ไม่ต้องแบก ไม่ต้องหาม ไม่ต้องหอบ ต้องขน ไม่ต้องห่วงหา อาวรณ์ อะไรยุ่งยาก เราเบา เราว่าง แล้วเราก็มีสมรรถภาพ ด้วยเครื่องประกอบ เครื่องใช้ที่พอเพียง ไม่จำเป็นต้องยึดถือ เป็นของตัวของตน อยู่กัน เป็นสังคมหมู่ใหญ่ ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ แล้วก็ร่วม เป็นแรงกล หรือเป็นจักรกล ที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด ที่เราจะสรรสร้าง ที่เราจะก่อสร้าง ที่เราจะผลิต สิ่งที่ดีงาม หรือมีคุณค่า ให้แก่ สังคมโลกเขาไป อย่างไม่จำเป็นต้อง แลกด้วยลาภ ด้วยยศ หรือแม้แต่หลง ในสรรเสริญ เยินยอ เราจะเป็นคนที่มี ประสิทธิภาพ และคุณภาพ และเรามีฐานอาศัย ที่สบาย ภาคภูมิ โดยความเข้าใจ ด้วยปัญญา ของเราจริงๆ ---

นี่คือสรุปบ้างขยายบ้าง อยู่ในเนื้อหา ที่ได้สาธยายออกไป ก็ให้พวกคุณ ทั้งฟัง ทั้งพิจารณา ไม่ใช่ให้เชื่อตาม แต่ให้พิสูจน์ ความจริง เมื่อคุณพิสูจน์ความจริง พบสัจธรรม เราได้ลดละ สมมุติสัจจะ ที่มันมากหลายนั้น รู้ตามกันนั้น แล้วก็หลง วิ่งไล่ตามกัน แล้วก็เผาผลาญ ตามกันมา จนละสมมุติสัจจะ ลงมา เหลือแก่นแกน เหลือเนื้อแท้ๆ ไม่ฟ่าม ไม่มากหลาย ไม่เกินการ อาศัยสมมุติสัจจะ ที่ได้อาศัย อย่างชาญฉลาด แล้วเราก็เรียนรู้ทุกอย่าง มาเป็นจิตวิญญาณ ตัวโง่ ตัวฉลาด อยู่ที่ จิตวิญญาณ เข้าหาปรมัตถ์ ตัวปรมัตถ์ รู้แท้ และทนได้ ปล่อยได้ อยู่ได้ สร้างสรรได้ ตัวปรมัตถ์คือ จิตเจตสิก จะเป็นตัวสมบูรณ์ เป็นที่สุด ---

เมื่อจิตใจเราสมบูรณ์ ปรมัตถสัจจะสมบูรณ์ เราก็สร้างสรร สมมุติสัจจะสมบูรณ์ ได้ และเป็นตัวนำ เป็นสรณะ ที่พึ่ง เป็นแบบอย่าง เป็นแม่พิมพ์ ---

ขอให้ทุกคนได้อาศัย สิ่งที่สมบูรณ์ ดังกล่าวนี้ ให้ครบพร้อม ทุกคนเทอญ

สาธุ.---