ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๕

วันนี้เป็นวันพุธ ถ้าที่พุทธสถานอื่น วันพุธนี่ก็จะเงียบ ไม่พูดกัน หัดระวังวจี หัดสำรวมโดยทวารปาก ทวารคำพูด ให้มาก มันเป็นนโยบาย เป็นตบะธรรม เป็นเครื่องประกอบอันหนึ่ง ที่เราจะฝึกฝน เราพูดกันมาก ทุกวันน่ะ อาทิตย์หนึ่ง ๗ วัน เดือนหนึ่ง ๓๐ วัน เราก็พูดกันทุกวัน เพราะฉะนั้น สักอาทิตย์หนึ่ง หนึ่งวันเราจะฝึกหัด เราจะไม่พูด เราจะสำรวม สังวรวาจา จะรู้เท่าทัน คำพูด เพราะว่า วาจานี่ ร้ายกาจมาก ในมิจฉาทิฏฐิ สังกัปปะก็มีมิจฉาอยู่แค่ ๓ หลัก แต่วาจานี่ มีมิจฉาอยู่ถึง ๔ หลัก กัมมันตะ ก็มีมิจฉาอยู่แค่ ๓ หลัก อย่างนี้เป็นต้นนะ

เพราะฉะนั้น กรรมทั้ง ๓ นี่ มันมีสภาพ วจีกรรม เป็นเรื่องต้องระวัง มีหลักให้ประพฤติมากกว่า การพูด การกล่าว การทำอะไร ต่ออะไรนี่ โดยเฉพาะ พวกอโศกเรานี่ จุดนี้ล่ะ สำคัญมากๆ คำพูดนี้ เราไม่มีอะไรมาก กายกรรม ที่โหดร้ายรุนแรง เราก็ไม่เคยปรากฏ สำหรับ พวกชาวอโศกเรา ทำงานมา ๑๒ ปีนี่ กายกรรม ที่ปรากฏรุนแรง โหดร้าย ยังน้อย ไม่ค่อยมีน่ะ ยิ่งหยาบช้า เลวทราม ในกายกรรม ไม่เจอะ แต่วจีกรรมของเรานี่ แหม! ได้เรื่อง มีมาก

เราจึงต้องมีตบะธรรม ในการสำรวมสังวร วจีกรรม ในวันพุธ ทุกพุทธสถาน ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมา อะไรต่ออะไรมา ก็เราพยายาม ใช้การสังวรระวัง วจีกรรม เพราะอันนี้ มันสำคัญ มาแต่ไหนๆ เรื่องวจีกรรม โดยเฉพาะ ยิ่งเป็นครู เป็นนักบวช เป็นผู้ที่จะต้อง แสดงธรรมเทศนา แสดงคำพูด แสดงวาจา เป็นเอก ก็จะต้องสังวร ในเรื่องวาจานี่ อย่างสำคัญมาก

ถ้าเป็นที่อื่น ในวันพุธนี้ แม้ปัจเวกขณ์ หรือปฏิสังขาร ในการพิจารณาอาหาร เราก็ปฏิสังขารเงียบๆ ไม่พูด ไม่จา ไม่อธิบาย ไม่แนะนำอะไร ให้คนสังวรระวัง สำรวมระลึกดู อยู่ในความเงียบนี่ อยู่ในความเงียบ เราจะเห็นอะไรๆ ขึ้นมาได้ เห็นอันนี้ ไม่ใช่ลูกตา เท่านั้น มันเห็นในๆ เป็นทัสสนะ เป็นญาณทัสสนะ ที่เกิดเห็น เกิดรู้ เกิดอะไรต่ออะไรได้น่ะ

เพราะฉะนั้น พวกเราที่อื่น ที่พุทธสถานอื่น เขาทำเขามี พวกเราก็น่าจะสังวร ระวังด้วยว่า อันนี้ เป็นตบะธรรม ของชาวเรา เป็นนโยบาย ของชาวเรา เป็นกรรมฐาน ของชาวเรา ที่เราเอามาใช้ เอามาฝึกฝน แล้วเรา ไม่ค่อยได้พูดกัน ในสันติอโศกนี่ คนใด ไม่เคยไปอยู่ พุทธสถานอื่น ไม่รู้เรื่องในเรื่อง พุทธัง หรือเรื่องที่เรา ใช้อะไรอันหนึ่ง ที่ใช้ในวันพุธ คือ ตบะธรรม ที่ใช้ในวันพุธ เราจะสงบปาก สงบคอ ไม่พูด ไม่จำเป็นที่สุด เราไม่พูดเลย แต่ถ้าจำเป็น บางขณะ เราเขียนหนังสือ ส่งให้กัน เขียนกระดาษ เขียนหนังสือ บอกกันน่ะ นอกจาก จำเป็นที่สุดจริงๆ เห็นจำเป็น แขกเหรื่อที่สำคัญมา เป็นเรื่องที่ควร จะต้องพูดกัน อย่างสำคัญที่สุด เราจะพูด ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็จะพยายามนิ่งเงียบ ในวันหนึ่ง เราไม่มี วาจาอย่างนั้น เราไม่ต้อง บอกกล่าว กันอย่างนั้น เอาไปวันอื่นบ้าง มันจะได้รู้จักบ้างว่า มันไปได้ มันผัดผ่อนได้ หรือว่า มันไม่ต้อง มีสิ่งนี้จริงจริ๊ง มันเป็นได้ ไม่จำเป็น จะต้องบอกกล่าว ไม่จำเป็นจะต้อง กระทำออกมา ผ่านไป เลิกเสียบ้าง หยุดเสียบ้างได้น่ะ มันมีอะไร ต่ออะไร เกี่ยวเนื่องไป อิทัปปัจจยตา เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้เราได้ศึกษา เราได้รู้ว่า เพราะเหตุนี้ จึงไปก่อเหตุนั้น ถ้าเราตัดเหตุ ตัดอันนั้น ลงเสียบ้าง ให้เป็นจริง แล้วมันจะเกิดผล อย่างไรๆ เราจะเกิดความรู้ เกิดการพิสูจน์น่ะ

ก็ขอให้พวกเราได้ไปพิจารณา ในเรื่องนี้ สังวร ระวังภาษา เมื่อถึงวัน ถึงเวลาสำรวม สังวรขึ้น แม้ที่นี่ เราไม่ใช้ ตบะธรรมข้อนี้ เพราะว่ามันมีงานมาก มันมีความเกี่ยวข้องเยอะ ทำไปแล้ว มันไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำแล้ว มันฟั่นเฝือ ถ้าจะทำที่ สันติอโศกนี่ เอาตบะธรรม พุทธัง มาทำนี่ ทำแล้วไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ขลัง ไม่เป็นประโยชน์ มันจะต้องพูดกัน มากเกินไป มันจะอนุโลม เกินไป แล้วมันก็ไม่ได้ความ เพราะฉะนั้น สิ่งเป็นกฎ เป็นหลัก ที่อนุโลมมากกว่า ที่เป็นไปได้ เราเสียกฎหมด เสียกฎ เสียหลักหมด เสื่อมหมด มันไม่มีประสิทธิภาพ เราจึงไม่ทำ ที่สันติอโศก เราจะไม่ให้มี เพราะมันจำเป็นนะ มันไม่เหมือน สถานที่อื่น ที่พอเป็นไปได้น่ะ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าพวกเรารู้ ก็พยายามทำ ในส่วนตน สังวรระวัง พอเป็น พอไป แม้จะไม่ทำ เป็นรูปแบบ ถึงขั้นว่า เราจะไม่พูดเลย เราก็สังวร จะพูดสำรวม จะพูดให้มีความสำนึก สำนึกอยู่ว่า อ้อ! วันนี้ เป็นวันที่เคยทำ ตบะธรรม อันนี้นะ กรรมฐานอันนี้นะ เราก็ทำบ้าง เราก็พยายามบ้าง แล้วก็จะเกิดผล เกิดประโยชน์เอง สำหรับผู้ที่ได้ พิจารณา ผู้ที่ได้ฝึกหัด โดยนโยบาย รูปแบบ หรือ กรรมฐาน ที่พยายาม ที่จะสร้างขึ้น พยายามที่จะมี อันใดพึงมี พึงควร ก็ได้คิดแล้ว อาตมาประมาณแล้ว

มีคนมาตู่ท้วงว่า เอ้อ! การไม่พูด พระพุทธเจ้า ท่านไม่สอน จริงๆนะ ท่านให้ สำรวมสังวร ปากคำ ท่านไม่ได้สอน ถึงขนาดนั้น เพราะว่า เมื่อก่อนนั้น มันไม่ได้มีเรื่องมาก มันไม่มีอะไรต่ออะไร นักหนา ถ้าไม่ถึง ขนาดนี้ ท่านก็ได้ แต่การไม่พูด ท่านเคยดุ และเคยว่า โมฆบุรุษด้วยซ้ำ เมื่อไม่พูดน่ะ โดยมี เรื่องราวอยู่ คราวหนึ่ง ที่มีพระไปจำพรรษา รวมกัน แล้วก็สัญญากันว่า ในตลอดพรรษานี้ ไม่พูดกันเลย ๓ เดือน เสร็จแล้ว ก็อยู่ไปจนเสร็จ พอเสร็จแล้ว ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสถาม ว่า เป็นยังไงเธอ อยู่สุขสบายดีหรือ บอกว่า อยู่ที่นั่นที่นี่ มีหลายๆคน อยู่ด้วยกัน เออ! เป็นยังไง สุขสบายดีหรือ อ้า! ไม่ทะเลาะ เบาะแว้งอะไรกัน ไม่มีเรื่องราว บอก ไม่ อ้อ! ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำยังไง พวกข้าพเจ้า สัญญากันว่า ไม่พูดกันเลย ตลอดพรรษา พระพุทธเจ้าก็บอกว่า โมฆบุรุษ ใครสอนเธอ ให้ไม่พูดกันทั้ง ๓ เดือน ไม่พูดตลอดพรรษาน่ะ มันมากไปนะ อันนั้นมันมากไป แล้วก็จะเอา การไม่พูดกันเลยนี่ เป็นสภาพ ของการที่จะแก้ไข ว่าจะได้ ไม่ทะเลาะกัน เพราะมันไม่พูดกัน อันนี้ มันไม่ถูกเรื่อง

แต่ที่เราไม่ได้พูดนี่ ไม่ได้หมายความว่า เราจะได้ไม่ทะเลาะกัน เราไม่พูด เพราะสำรวมวาจา เพราะหัดฝึก สติปัฏฐาน มันเป็นเรื่อง เสริมหนุน ให้ปฏิบัติ สติปัฏฐาน ไม่ใช่เรื่องแก้ไข ไม่ให้ทะเลาะกันน่ะ เพราะมันต่างกันกับ ความมุ่งหมาย ที่เขาเป็นกัน ต่างกันกับสภาพที่ มันจะก่อเกิด อะไรขึ้นมา มันต่างกันมาก มันมากเกินไป เราทำงาน เราต้องมีการบอก การกล่าวกัน มีอะไรต่ออะไรกัน ทีนี้มันมาก ตั้ง ๓ เดือน แล้วก็เลย มันจะไปมีอะไร กันนักหนา มันไม่เจริญน่ะ เพราะว่า คำพูดนี่สำคัญ โดยเฉพาะคนน่ะ เจริญกว่าสัตว์อื่น ตรงมันพูดได้ และมันบอกกล่าวกันได้ แนะนำกันได้ ความรู้ก็พูด นี่แหละสำคัญ โดยเฉพาะ เทศนานี่พูด

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง สลับซับซ้อนอยู่ คนเขาจะตู่ จะท้วงอะไรเรา เอ๊อ! พระพุทธเจ้า ไม่สอนอันนี้ แล้วอันนี้ จะตีเลยเถิด ไปว่า ไม่ได้ ไม่พูดไม่ได้ ก็ช่างเขา เราก็ฟัง เราได้ประโยชน์อันนี้ หรือไม่ เราได้ประโยชน์อันนี้ เราก็ทำ ไม่ได้ประโยชน์ ใครไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้อง ที่กฎนั้น ระเบียบนั้น อยู่ที่ ที่นั่นที่นี่ เราก็ไม่ต้องไปที่ ที่เขามีกฎ ระเบียบ อย่างนี้น่ะ กฎระเบียบ ที่เขาไม่พูดกัน เราก็ไม่ต้องไป หรือไป ก็ไปวันอื่น วันที่เขาไม่พูดกัน เราก็อย่าไป เราจะได้ ไม่ต้องไป เที่ยวได้ละเมิดกฎ ละเมิดระเบียบเขา ถ้าเราอยู่ในที่นั้น เราก็ต้อง เคารพระเบียบ วินัยของสถานที่นั้นเขา ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ไป ไม่ได้น่ะ

ประเทศทุกประเทศมีกฎหมาย มีกฎ มีระเบียบ มีวินัยของประเทศ เข้าไปประเทศเขา เราบอก เราไม่ปฏิบัติ กฎหมาย ของประเทศนั้น ไม่ได้ แม้จะไปจรๆไป ก็ไม่ได้ ต้องปฏิบัติตาม กฎหมาย ของประเทศนั้น ของเขาเสมอ ที่ใดก็แล้วแต่ สถานที่ ที่เขาเอง เขาดูแลครอบครองน่ะ ดูแล จัดการ เขาก็ต้องมีหลัก มีเกณฑ์ ของใครของเขา ที่เหมาะสม กับภูมิประเทศ ผู้คน หมู่ชน หรืออะไรต่ออะไรของเขา เขาก็เอามา เป็นเหตุปัจจัย ในการจะตั้งกฎ ตั้งหลัก เพื่อความชอบ

เพราะฉะนั้น กฎหมายของประเทศใดๆ บางทีเราฟังแล้ว แหม! กฎหมายของประเทศนี้ อย่างนี้นี่ ฟังแล้ว พิเรนพิลึก เราอย่าไปว่าเขา เพราะว่า กฎหมายของแต่ละประเทศ มันก็เหมาะกับของเขา ที่เขาได้ตัดสิน ตามความคิดเห็น ของเขา เขาก็ใช้ผู้รู้ เป็นคนตรากฎหมาย ตราหลัก ตรากฎ ตราระเบียบขึ้น เราอย่าไปดูถูก ดูแคลน ลงโทษเขาไม่ได้ ทีเดียวน่ะ อันนี้เราก็ต้อง เข้าใจ แล้วก็ระมัดระวัง

เพราะฉะนั้น ที่เราทำอยู่นี้ ไม่ใช่แก้ตัว แต่ว่าเราทำ เพราะมีความมุ่งหมายที่ เป็นประโยชน์ เป็นผล แล้วก็เราทำ ก็ไม่ได้ทำเกินเลย จนกระทั่ง มากเกินไป ยาวเกินไป จนกระทั่งเสียหาย การเป็นอยู่ หรือ เสียหาย อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา แล้วก็ มันก็ไม่ได้แก้ไข อย่างแท้จริง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราทำนี่ มันแก้ได้จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ ไปถึงขนาด ไม่มีช่อง ไม่มีช่วง ไม่มีเงื่อนไข เรามีเงื่อนไขน่ะ

แม้ในที่สุด ขนาดนั้นขนาดนี้ เราก็มีเงื่อนไข จำเป็นที่สุด เราก็พูด เราก็บอก พูดกันบ้าง ถ้าจำเป็น เห็นสมเหมาะ สมควร แต่เราจะพยายามตั้งใจ แม้พูดก็มีสติ สัมปชัญญะ และจะให้น้อย ในกาละ วันอย่างนั้น หรือไม่พูดได้เลย ก็ยิ่งดี วันหนึ่ง คืนหนึ่ง สิ้นวัน สิ้นคืน เราจะรู้ว่า มันมีอะไรเกิดขึ้น มันมีอะไร เป็นคุณ เป็นค่า เป็นผลประโยชน์บ้าง เราจะรู้ เราจะเข้าใจน่ะ มันสร้างสติ ได้อย่างดี แล้ว ระมัดระวัง คำพูด คำจา มันเป็นการฝึก เหมือนเรามานั่งเฉยๆ แล้วก็ดูจิต จะตกภวังค์ เป็น เจโตสมถะ อะไร นี่ล่ะ ก็เหมือนกัน มันเป็นอุปการะ มันเป็นผลได้ ที่เราควรจะกระทำน่ะ

เพราะฉะนั้น จุดนี้ก็ขอให้พวกเราระลึก โดยเฉพาะ คนที่ไม่เคยไปที่ พุทธสถานอื่นเลย ก็ให้รับรู้ หรือ คนเคยแล้ว แล้วก็เรื้อ ปล่อยปละ ละเลย ไม่สังวรระวัง ไม่อะไร ก็ขอให้ระลึก แล้วก็ใช้บ้าง ถ้าพอเป็นไป แม้มันไม่ตรงตรึงเต็ม ตามที่เราใช้ใน พุทธสถานอื่น ในสันติอโศกนี่ เราก็ควรจะมีบ้าง ถ้าเป็นไปได้ พอสมควร

ขนาดคนเข้ามาในที่นี้ พอถึงวันพุธ รู้สึกมีอะไร มันเงียบสงบดี เขาก็จะมีอะไร เป็นที่สังเกตบ้าง เหมือนกันนะ แล้วเราเอง เราก็ได้กรรมฐาน อันหนึ่ง ที่เป็นอุปการะ เพื่อประพฤติธรรม ให้แก่ตัวเรา คิดว่า ทุกคน คงเห็นความสำคัญ อันนี้บ้าง แล้วจะได้ มีอะไรเพิ่มเติม แถมเป็นอุปการะ ใช้ในการ ประพฤติธรรม ของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้พูดกันเลยนะ ในสันติอโศกน่ะ ไม่ใช่ว่าให้ไป พุทธัง กันไป อย่างเหมือนๆ กับ พุทธสถานอื่น ไม่ใช่นะ แต่ แต่ละคน ทำสำรวม ขึ้นมาบ้าง มีมวลมากๆ มันจะมีรูป อะไรอันหนึ่ง ก็ลองทำดู ก็เป็นไป พอสมควรดูน่ะ สังวรระวังของตน นั่นแหละ สำนึกของตน นั่นแหละน่ะ ถ้าไม่สำคัญจริงๆ หรือว่าไม่สำคัญ พอสมควร เราก็เงียบเสียบ้าง เราก็เฉยเสียบ้าง แต่อย่าให้มัน เป็นเฉยเมย โดยเฉพาะ แขกเหรื่อ หรือโดยเฉพาะ ผู้ที่เขาไม่รู้ เพราะที่นี่ มันมีอะไร หลายอย่างนะ หรือว่า จะเสียงาน ก็เกินไป ก็อย่าน่ะ

เพราะฉะนั้น ก็รู้จักความสำคัญที่สำคัญ ในกาละเทศะ ในเวลา ในสถานที่ ที่มันสำคัญ เราก็จะได้ เป็นประโยชน์ เป็นการปฏิบัติธรรม ตามนโยบาย หรือกรรมฐาน อะไรต่างๆ ของเรา ทุกคน

 

สาธุ.