ธรรมปัจเวกขณ์ ในบรรดาพวกเรา ที่ได้มาเรียนมาศึกษา ก็จะต้องรู้เป้าหมาย "ยอด" ให้แก่ตัวเอง ให้สำคัญว่า เราจะมาศึกษาธรรมะนั้น เป้าหมายยอด ของเราก็คือ เราจะมาเป็นคนมีค่า ค่าอันนี้ ไม่ใช่เรายกให้ตัวเอง แต่เราจะต้องเป็น โดยสัจธรรม คือ ตัวเราเอง จะต้องเป็น แรงผลิต เป็นตัวที่ไม่ใช่ว่า เป็นตัวกากสังคม เป็นกาฝาก หรือ เป็นทาก เป็นปลิงอะไร อยู่ในสังคม แต่จะเป็น ตัวจักรกล ที่มีแรงผลิต ที่ทำประโยชน์ ให้แก่สังคม มนุษย์คนอื่นๆ ได้อย่างมากหลาย และทำในสิ่งที่มีค่า มีประโยชน์สูง ซ้อนอยู่ในสังคมด้วย เราจะเป็นคน ที่เปลือง ถ้าเป็นเครื่องกล ก็เป็นเครื่องกล ที่กินแรงไฟ กินแรงน้ำมัน อะไรน้อยที่สุด และ เราก็ฉลาด มีปัญญากลั่นกรอง การงาน จะทำอะไร เป็นคุณค่า ให้แก่มนุษย์ แก่ชาติ แก่โลก แก่สังคมเขา ได้ดีที่สุด มีคุณค่าสูง ทางเศรษฐศาสตร์ เราจะมาเป็น คนอย่างนั้น ไอ้เรื่องจะแลกลาภ แลกยศ แลกสรรเสริญ นั้น เป็นอันเราปลดปล่อยไปได้ เราไม่ได้ถือเอาสิ่งนั้น เป็นของแลก แต่เรารู้ เราถือเอาสัจธรรม ที่เราจะเป็นปัญญา เราจะมีปัญญารู้ มองออกไปในสังคม ว่าเราจะทำอะไร ให้แก่สังคม ขณะนี้ สังคม ต้องการอะไร สังคมมีอุปสงค์อะไร และเราก็จะต้อง พยายามอุปทาน (ไม่ใช่ อุปาทาน) เราจะอุปทาน คือ อุปทาน หมายความว่า เราจะสร้างให้ เราจะต้องสร้างให้ จะทำให้แก่สังคม แก่โลก เราจะเป็นคนขยัน หมั่นเพียร เป็นคนที่กินน้อย ใช้น้อย เป็นคนที่ไม่สะสม สิ่งที่เป็นภัย ในชีวิต เราเป็นคน ปราศจาก อะไรต่ออะไร ที่เป็นทรัพย์สมบัติ ส่วนตน แต่เราก็มีฤทธิ์ มีแรง มีกิจกรรม สามารถสร้างสรร ทำงาน เป็นคนในบริษัท เป็นคนที่มี หัวคิดหัวอ่าน เป็นคนมีความคิด ริเริ่ม เป็นคนที่รังสรรค์ มีพลังในการปฏิบัติ ในการประพฤติ ในการทำงาน มีสมรรถภาพ มีฝีมือ มีความสามารถ ในการสร้างสรรอยู่ ก็เท่านั้นเอง ในชีวิตมนุษย์--- เราเอง เราทำงาน เราทำกิจอะไร ได้ตลอดเวลา เป็นคนมีสุขภาพสมบูรณ์ มีสุขภาพจิต สุขภาพกายแข็งแรง คล่องแคล่ว ปราดเปรียว สร้างสรร ขยันเพียร และเราก็ไม่ได้กอบโกย ไม่ได้กักตุน ไม่ได้สะสม ไม่เอาเปรียบเอารัด อะไรใครเลย มีแต่ให้ มีแต่เอื้อเฟื้อ มีแต่เกื้อกูล มีแต่สร้างสรร แล้วก็ หว่านลงไป ในโลก ยิ่งกว่า ระบบสังคมนิยมใดๆ ในโลก ที่จะสามารถสู้ได้ คนใดทำได้ส่วนตน ก็จะรู้ บทบาทของตัวเอง คนใดที่ทำได้ส่วนตน แล้วก็เอามาประกาศ บอก ชี้แจงให้เห็น คุณค่า ให้คนอื่นเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าตาม และคนอื่น ก็มาฝึกปรือ เป็นคนชนิดนี้ตาม ได้เข้ามา ๒ คน ๓ คน ๕ คน ๘ คน ร้อยคน พันคน หมื่นคนเข้า มันก็จะเป็น การแสดงบทบาท มันจะเป็นตัวพิสูจน์ ให้เห็นว่า มันเป็นสังคม แห่งอิสรภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และ บูรณภาพ--- มันจะเป็นจริงๆ แต่ละบุคคล ก็อิสรเสรี สร้างสรร โดยไม่ห่วงไม่หา ไม่อาวรณ์ อะไรเลย ไม่มีของ ของตน ทำได้ทำไป สร้างได้สร้างไป เป็นอิสรภาพ เป็นภราดรภาพ ทุกคนเป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันหมด เกื้อกูล โดยเฉพาะ เรารู้ด้วยปัญญาว่า คนที่เขา ขาดแคลนนั้น เราต้องอุ้มชู ช่วยเหลือ ไปให้ถึงเขาก่อน พยายามที่จะทำยังไง ที่จะช่วยเหลือ เฟือฟาย ให้เขาช่วยเหลือ ตนเอง โดยการไปเป็นผู้ช่วยเขาอยู่ เสมอนั้น ไม่ถูกต้องนัก เราจะต้อง ช่วยให้เขามีปัญญา ให้เขาช่วยตน นั่นเจริญ เมื่อเขาสามารถ ช่วยตนได้ เขาจะสามารถ ช่วยผู้อื่นได้เพิ่มขึ้น เราไปบอกวิธี ไปฝึกหัด ไปทำความรู้ ให้เขาเกิด ไปทำให้เขา ทำเป็น เขาจะช่วยตนได้ นอกจาก ช่วยตนได้ และยังสามารถ ช่วยเหลือตนเองแล้ว ก็เมื่อเหลือ ก็ให้เผื่อแผ่แก่คนอื่น อย่ากักตุน กอบโกย อีกซ้อน เป็นสภาพซ้อนๆ อยู่ดังนี้ๆๆ เกิดภราดรภาพ เกิดการช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เมื่อเวลาผู้ใด สามารถทำได้ เกื้อกูลผู้อื่น มันก็เป็นไมตรี เป็นสันติภาพ ไม่มีใคร จะมาย้อนแย้ง ไม่มีใคร มาตีตลบ สำหรับ คนที่มีคุณ มีประโยชน์ มีบุญคุณ ไม่มีใคร เขาอยากฆ่าแกง ไม่มีใครเขาอยาก ทำร้ายทำลาย ก็เป็นความปลอดภัย และเราเอง ไม่เป็นคนสะสม ไม่เป็นคน กอบโกย ไม่เป็นคนกักตุน อะไรไว้ ไม่มีของมีค่า ก็ไม่มีโจร ไม่มีภัย ไม่มีใครจะมา ปล้นจี้ มาฆ่ามาแกง ก็เป็นความปลอดภัย อีกทั้งสิ้น แต่เราก็สามารถ ทำงานได้ ด้วยแรงหนุนเนื่อง ด้วยแรงสหกรณ์ ด้วยแรงแชร์ ด้วยแรงของคนอื่นๆ ที่ค่อยๆ ร่วมไม้ ร่วมมือกัน เป็นหุ้นเป็นรวมอะไร มา และก็รู้ การให้มา มาทำประโยชน์ แก่โลกเขาไป อย่างไรๆ หนุนเนื่องมา ไม่ขาดสาย มีรายรับรายจ่าย ที่เป็นไป จ่ายก็จ่ายเพื่อคนอื่น รับก็รับมาเป็นทุน เป็นรอน และตัวผู้ทำงานนั้น ก็ไม่ต้องกักตุน ไม่ต้องสะสม ไม่มีอะไร ไม่แคร์ เข้าใจเลยว่า การที่ไม่มีสมบัติอะไร มีแต่ความสามารถ ก็เป็นมนุษย์เลิศ ได้ เป็นมนุษย์ผู้น่านับถือ บูชาได้อย่างยิ่ง การสะสม กักตุนเอาไว้ เป็นของๆ ตัวนั้น มันไม่สะอาดอะไร รู้จริงๆ เห็นจริงๆ และสามารถทำได้ พิสูจน์ ยืนยันอยู่--- แม้โลกนี้จะมีกิเลสมาก เขาทำได้อย่างเรา ไม่ได้ง่ายๆ เขาทำอย่าง อุดมการณ์ที่กล่าวนี้ ไม่ได้ง่ายๆ แต่คนจำนวนหนึ่ง ต้องมีอยู่ ในสังคม ต้องทำ และทำให้ มีปริมาณมาก ให้มีคุณภาพชัดแท้ สังคม จึงจะมีศูนย์ถ่วง มีสมดุล มีคนอย่างนี้ ค้ำจุนโลกไว้ ถ้าต่างคน ต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างกักตุน ต่างคน ต่างแย่งชิง ซึ่งเป็นอยู่ใน ระบบของสังคม เป็นเศรษฐี เป็นคนมีอำนาจ มีอะไรๆ ในเรื่อง วัตถุทรัพย์ สังคมแบบนั้น แตกร้าว สังคมแบบนั้น เดือดร้อน แย่งชิง ใครก็อยากจะเป็นอย่างนั้น นั่นไม่ใช่ตัวอย่าง ที่น่าเคารพ เราไม่เคารพคนกอบโกย กักตุน เป็นตัวอย่าง มีอะไร มากๆ และก็สะสมไว้ และกักตุนไว้ ทำอะไร มีอำนาจ เบ่งทับ เบ่งถม เบ่งข่มคนอื่น อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ และ ไม่ควรจะสนับสนุน สรรเสริญ ให้ไปเอาอย่าง เป็นเรื่องที่น่าดูถูก ดูแคลนด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละ เราจะดูถูกดูแคลน คนมีอำนาจ ก็ยากอีก เพราะฉะนั้น เป็นต้องมีนัย ชาญฉลาด ที่เราจะรู้ ที่เราจะทำยังไง ให้สังคมคนส่วนมาก ให้เขารู้ ไม่ใช่ค่านิยม แต่เป็นสิ่งที่ น่าทำให้เสื่อม และไม่น่า จะทำให้เกิด ใครทำอย่างนั้น น่าเกลียด ใครไปมี สิ่งอย่างนั้น น่าชัง น่าดูถูกด้วยซ้ำ เราจะต้องทำให้สังคม มีความรู้สึก และ เห็นได้อย่างนี้ และเราก็ต้อง ไปสรรเสริญ คนที่จนแต่ขยัน ไม่สะสมกักตุน กอบโกย ทุกอย่างสร้างสรรไป และ ก็หนุนเนื่องมา จะว่าจน ก็ไม่จนทีเดียว แต่จะมีวัตถุสมบัติ ที่จะสร้างสรร มีแรงผลิต มีเครื่องประกอบ มีวัตถุประกอบ มีวัตถุ ยุทโธปกรณ์ อะไรต่างๆนานา เพื่อที่จะรังสรรค์ เพื่อ ที่จะสร้างสรรได้อย่างดี พยายามทำให้มันถูก พยายามทำให้มันราคา อย่าเปลือง อย่าผลาญพร่าได้ อาศัยแรงคน อาศัยปัญญา อาศัยสมอง อาศัยฝีมือคน ได้มากเท่าใด ยิ่งดีใหญ่ วัตถุก็จะได้น้อยลง ก็จะได้ผลาญ วัตถุดิบน้อย และก็คนที่จะเกิดขึ้นมา เพิ่มๆ ก็จะได้มีหวัง ได้ใช้วัตถุดิบต่างๆ ของโลก อยู่บ้าง--- และเมื่อวัตถุของโลก สิ่งที่สะพัดตัว และสิ่งที่ พยายามพัฒนาตัวเอง มันก็จะพัฒนา และมันก็ จะก่อเกิด หมุนเวียน มาให้แก่โลก มันเป็นพลังงานกล อยู่ในธรรมชาติด้วย เพราะฉะนั้น พลังกลที่อยู่ ในธรรมชาตินั้น มันก็จะฟักตัวมัน ก็จะสะสมตัวมัน ก็มีการพัฒนาตัวเอง ให้มันเกิด ให้มันมีส่วน เป็นนั่นเป็นนี่ ของมัน และคนเรา ก็จะแบ่งมาใช้ แบ่งมาสังเคราะห์ แก่กันและกัน อยู่ในโลก ได้สมบูรณ์เท่าเทียม ไม่ขาดไม่แคลน สิ่งเหล่านี้ จะต้องมีความรู้ และเราก็จะต้อง พยายาม ใช้ปัญญา ค่อยๆ พัฒนาไป ให้เข้ารูปเข้ารอย เป็นคนที่ประหยัด และมีประโยชน์ สร้างสรร ไม่ใช่เรา กลายมาเป็นกาฝาก ไม่ใช่เรา กลายมาเป็นปลิง เป็นทากดูด แต่เราต้อง เป็นตัวที่โอบอุ้ม เป็นตัวเศรษฐี จ่ายแก่คนอื่น สร้างสรร และ ก็ไม่กักตุน ไม่กอบโกยเลย มีแต่จะให้ๆๆ ให้แก่โลก ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็สมบูรณ์แล้ว ใครจะท้วงติง อย่างไร ใครจะชาญฉลาดรู้ พวกหมาหางด้วน พวกที่ทำชั่ว แต่ก็พยายาม จะป่าว ประกาศ สร้างค่านิยม ให้เอาอย่างเขานั้น มีเยอะ ศาสนา หรือว่านักธรรมะ ก็จะต้อง ประกาศให้ผู้อื่น มาเอาอย่าง บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ต้อง ไปแข่งกันกับเขา จนกระทั่ง ตีรันฟันแทง ถ้าตีรันฟันแทงจริงๆ เราสู้เขาไม่ได้ เพราะเรา ไม่ได้เป็นนักตี เราไม่ได้เป็น นักสะสมความอำมหิต เราไม่ใช่เป็น นักทำร้าย ทำลาย แต่เราเป็น นักพัฒนา เป็นนักปฏิวัติ เป็นนักปฏิรูป สิ่งที่จะสร้างสม หรือว่า ก่อตัวเข้าไป ในความสมบูรณ์ โดยไม่กักตุน โดยไม่กอบโกย แล้วก็มีพลังฤทธิ์ พลังงานสร้างสรร ไม่เป็นคนขี้เกียจ ไม่เป็นคนเฉื่อยเนือย แต่เป็นคน กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง อย่างแท้จริง--- เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้เป้าหมาย อันใหญ่ยิ่ง สำคัญว่า เรามาปฏิบัติธรรม เพื่ออะไร เราจะมาทำตน ให้มีค่า ดังกล่าวแล้ว และก็พยายาม ชักจูงกัน ให้มี เห็นอย่างๆ กันได้ ทำอย่างกันได้ ให้มีจำนวน คนอย่างนี้ อยู่ในสังคม ให้ได้จริงๆ ประมาณ จำนวนหนึ่ง เราก็ไม่โลภมาก อยากจะได้ ทั้งหมดหรอก แต่ ถ้าเป็นได้ จำนวนมาก เท่าไหร่ สังคมก็ยิ่งสุขเย็นๆ และ อุดมสมบูรณ์ เราเองปฏิบัติแล้ว เข้าใจจริงๆ แล้วเราก็สบาย เราไม่ได้ทรมานตัวอะไร เรากินน้อย ใช้น้อย ไม่สะสม ไม่กอบโกย ไม่มีสมบัติ พัสถาน เราก็ไม่เป็นปมด้อย เราก็ไม่ได้ เดือดร้อนอะไร เราก็สมบูรณ์สุข อยู่อย่างมีสุข อยู่อย่างมี สมรรถภาพ อยู่อย่างองอาจ แกล้วกล้า อยู่อย่างผงาด เหมือนกัน อยู่อย่างไม่ใช่ว่า ต้องไปค้อมหัว น้อมหัว หรือ เที่ยวต้องไปลำบาก ลำบน เป็นคนด้อย คนน้อยอะไร ไม่เลย เราอยู่อย่างภาคภูมิ ได้อย่างแท้จริง ขอให้พวกเรา เข้าใจจุดสำคัญ และ มีความคิดอ่าน ให้ได้ เข้าร่อง เข้ารอย ปฏิบัติตน ฝึกหัดตน ทำให้ไปสู่เป้าหมาย ดังกล่าวนี้ ให้ได้สูงสุด ดีสุด ตรงที่เราเอง ก็สบาย และมีอำนาจแรงฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ดึงดูดผู้อื่น ให้ผู้อื่น มากระทำตาม เป็นตามได้ ให้ได้มากที่สุด ด้วยกันเทอญ สาธุ.---
|