ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

เรายิ่งปฏิบัติธรรมกันไป ก็จะมีประสบการณ์กัน มากขึ้น มีสภาวะธรรม ทั้งนามธรรม ไล่ออกมา จนกระทั่ง ถึงพฤติกรรม ถึงวัตถุธรรม รูปธรรมต่างๆ สูงขึ้นๆ เราก็จะมีปัญญาได้พิจารณา ได้เห็นของจริง แล้วเรา ก็จะเกิดปัญญา ที่จะเข้าใจ สภาวะซับซ้อน มีอะไรต่ออะไร หลายๆอย่าง---

ขณะนี้อโศกของเราก็โตขึ้นมา พอสมควร มีดอกมีผล พอสมควร ถ้าเราสังเกต ธรรมชาติ ต้นไม้นี่ เมื่อเวลา มันออกดอกมา มันก็จะได้รับ การทดสอบ จากลม จากฝน จากแมลง จากคน ทุกอย่างที่จะกระทำตน ให้พอเหมาะ พอดี ให้พอเป็นไป แล้วดอกไม้นั้น ก็จะรอด หรือดอกไม้นั้น ก็จะพ้น แม้แต่ลม แรงไป เพื่อสลัดดอก ที่มันอ่อนแอหน่อย แม้แต่ฝน แรงไป ฝนก็จะได้ ทั้งประโยชน์ ลมก็จะได้ทั้งประโยชน์ ไปในตัว แต่พร้อมกันนั้น มันก็ทำให้ สิ่งที่ไม่อยู่ ในสภาวะ ที่จะต้าน หรือ จะอยู่ได้ ก็จะร่วง จะหล่นไปตามจริง เมื่อดอกอยู่ได้ทนดี แข็งแรงดี ผลก็ดี เมื่อได้ผลดี ผลนั้น จะเป็นเชื้อ เป็นเนื้อ เป็นแก่น ทำให้เจริญ งอกงาม ไปดี เป็นธรรมชาติ ที่เกิดแล้ว เกิดเล่า หมุนเวียนอยู่แล้วๆ เล่าๆน่ะ ถ้าผู้ใด เห็นสภาพพวกนี้ ก็จะเป็นไป นี่เป็นเรื่องของ วัตถุธรรม เป็นเรื่องของตัวตน นั่นยกตัวอย่าง ง่ายๆ แต่วัฏสงสารนี้ มีอะไรซับซ้อน ลึกซึ้งนัก ก็จะต้อง เรียนรู้ให้ดี สิ่งที่จะเกิดก็เกิด เกิดได้ด้วยเหตุผล เหตุปัจจัย ที่แข็งแรงก็แข็งแรง ที่ยังไม่แข็งแรง ก็สั่งสม เมื่อสั่งสมยังไม่ได้ที่ ก็ค่อยๆ เป็นไป ถ้าเผื่อว่า ยังมีความอุตสาหะ วิริยะ ยังสามารถ ที่หมุนเวียน ขึ้นมาพัฒนา มันก็จะก่อ ความพัฒนาขึ้น ตามฤทธิ์แรง ของสิ่งนั้น สิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำไหล ไม่ว่าจะเป็นลม ไม่ว่าจะเป็นแดด เป็นดิน เป็นไฟ อะไรก็ตามใจ ทุกอย่าง ก็เป็นธรรมชาติ ที่จะเกิดพัฒนา ของตัวมันเอง น้ำไหลไปมากๆ มันจะไหลเซาะซอน ลงไปในดิน ในอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา มันจะไปพัฒนา ตัวมันเอง เป็นน้ำใสมาก แม้แต่น้ำระเหย ขึ้นไปสู่บนฟ้า ก็จะกลายเป็นเมฆ เป็นฝน ที่มีความใส สะอาด บริสุทธิ์ขึ้นมาก ฉันเดียวกัน จะขึ้นไปได้ แล้วก็สุดท้าย มันถึงที่แล้ว ก็จะเปลี่ยนแปลง ฝนก็จะตกลงมา น้ำก็จะถูกดึงมา หรือ ไม่ก็จะต้องไปเป็น อะไรอีกอันหนึ่ง ในพื้นน้ำ ที่มันก็จะมี ความหมุนวน กันมาสู่โลกอีก ในระดับหนึ่งน่ะ ความสลับ ซับซ้อน ของธรรมชาติอย่างนี้ ก็ฉันเดียวกัน เรายกตัวอย่าง ธรรมชาติ เป็นวัตถุธรรม พอรู้ง่าย ยิ่งนามธรรม ยิ่งลึกซึ้ง กว่านี้ มันก็สลับซับซ้อน เป็นไปตามธรรม จะมีการพัฒนา จะมีการทดสอบ จะมีแบบฝึกหัด จะมีเรื่องจริง เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา การเปลี่ยน บอกแล้วว่า อนิจจัง คือการไม่เที่ยง การเปลี่ยน เราต้องพยายาม ให้เปลี่ยนไป ในทางที่สูงขึ้น พยายามพัฒนาไป ในทางที่ดีขึ้น แล้วเราก็จะได้รู้ ได้เห็นได้ไว ถ้าเผื่อว่า เราพัฒนา ไปในทางที่สูงขึ้นไม่ได้ เราก็แช่ ยิ่งปล่อย ให้มันไม่เที่ยง ไปในทางต่ำ ไปในทางเสื่อม มันก็เป็นความต่ำ ความเสื่อม ---

เพราะฉะนั้น ผู้รู้ต้องพยายามที่จะนำตน ให้ไปในทางทิศที่ดี ตามความเห็นที่ ลึกซึ้ง ซับซ้อน ตัวปัญญา ไม่มีอะไรอธิบาย ได้ง่ายๆ ปัญญาของใครๆ ปัญญาของผู้นั้น ก็จะเป็นผู้ที่วัด และตัดสินน่ะ ถ้าเผื่อว่า ปัญญาของคนหมู่มาก ปัญญาของปราชญ์ ปัญญาของบัณฑิต รวมอยู่ในสภาใด สภานั้น จะเป็นสภา ที่มีผล แห่งความคิดสูง ถ้าในสภาไม่มีบัณฑิต สภานั้น ไม่เรียกว่าสภา เป็นความคิด โลกย์ๆ พื้นๆ เป็นความคิดที่ ไม่ต้องไปเสียเวลา ประชุมอะไรกัน สู้ความคิด ของคน คนเดียว ที่เป็นปราชญ์ไม่ได้ สภาที่ ไม่มีปราชญ์ ไม่มีบัณฑิตนั้น สู้ความคิด ของคน คนเดียวที่เป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิตไม่ได้ แต่ถ้าสภา ที่มีบัณฑิต มีปราชญ์แล้ว ความคิดแต่ละความคิด ของปราชญ์ ของบัณฑิต จะรวมกัน ออกมาเป็น น้ำหนึ่งใจเดียว เป็นสิ่งที่ วิเคราะห์วิจัยแล้ว จะได้ผลสูง สังคมก็จะซับซ้อน จะใช้ระบบ หรือว่า ใช้มาตรการ กรรมวิธีพวกนี้ เพื่อที่จะพัฒนา เป็นมนุษย์ ที่อยู่ทั้งสุขสบาย เป็นมนุษย์ที่ ทั้งเป็นประโยชน์คุณค่า ให้แก่สังคมโลกๆ เราเมื่อมุ่งหมาย เดินทางมาทิศนี้ ก็ขอให้อ่าน ขอให้ดู อโศกเรานี้ก็มีตัวอย่าง มีอะไร ต่ออะไร ให้ดู ให้เห็นไปเสมอๆ แล้วหลายๆ อย่างเหล่านั้น ก็เป็นทั้งตัวอย่าง ที่เราจะศึกษา อย่ามองอะไร ไปในแง่ร้าย ไปเสียทั้งหมด เรามองไปในแง่ดีบ้าง ในส่วนดี มันก็จะมีซุกซ่อนอยู่บ้าง แม้แต่ไอ้โจร ก็เป็นตัวอย่าง ของความเป็นโจร ถ้าเรามองในแง่ดี ก็ดีซิ มีตัวอย่างเป็นโจร ให้เราดู อย่างนี้เป็นต้น---

ถ้าบอกว่ามีเทวทัต เทวทัตก็เป็นตัวอย่างให้เรา เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า อย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่เราสามารถ เห็นความดี ความเลว ที่ตรงกันข้ามกัน ได้ชัดเจน ระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พระเทวทัต อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นั่นไปมองในแง่ดี แล้วมันก็ดี มันก็ปลดปล่อย หรือ ก็สบายใจได้ ส่วนที่ไม่ดี เราพิจารณาให้ดี ให้เห็นส่วนไม่ดี แล้วเราก็ละเว้น ส่วนใดดี เราก็มองดี ---

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ฉลาด มองในแง่ดี เอาดีมาไว้อาศัย ส่วนไม่ดี เราก็พยายามทำการขจัด ทำการละล้าง ลดล้าง อยู่โดยธรรม โดยจริง อันใดเหลือบ่ากว่าแรง เราก็พักไว้ก่อน อันใดพอเป็นไปได้ เราก็ต้องรีบทำ ขยันหมั่นเพียร ทำล้างไปในตัว สร้างก่อไปในตัวนะ มีทั้งทิศทางล้าง มีทั้งทิศทางที่ สร้างก่อ ความเจริญ ย่อมเกิดจริง เป็นจริงนะ มีอะไรๆ เกิดขึ้นน่ะ ที่อโศกนี่ ยังไม่มีเท่านี้ ยังจะมีอะไรๆ เกิดขึ้นอีก พอสมควร รอบนี้เป็นรอบ ๑๒ นักษัตรแล้ว จะมีอะไรๆ ที่เป็นสภาพ ที่จะให้เราได้พบ ได้เห็นน่ะ แล้วมันก็จะทำให้เรา ได้เป็นข้อมูล ในการศึกษาต่อๆไป ขอให้เราตั้งใจดีๆ ถ้าเผื่อผู้ใด ที่คิดว่า ทางนี้ เป็นทางที่ดีแล้ว เราจะเดินทางนี้ ก็ขออย่าเพิ่งวู่วาม อย่าเพิ่งใจหวั่นไหวเร็วนัก เราจะต้องเป็นคนที่ ตรวจสอบ เพ่งเพียร แล้วก็พยายาม ที่จะเอาความจริงนั้น มาเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า เราก็จะเป็น ผู้ที่ได้ เดินทางไปด้วยกันน่ะ ไปถึงไหน ก็ถึงกัน เท่าที่เราสามารถ จะเกื้อกูล เป็นภราดรภาพกันไปได้ ไกลที่สุดน่ะ ---

สิ่งที่กล่าวนี้ ก็เพราะเหตุว่า มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อีกสักครู่ ไม่นานนัก พวกเราก็จะได้รู้ อะไรต่ออะไร ก็ขออย่า ได้วิจัย วิจารณ์อะไรกันไป ในทางที่ไม่ดี ไม่งาม กันมากมายเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รู้จัก จุดที่บกพร่อง เราก็จะศึกษา และ รู้โดยนัยของ มนุษย์ผู้ฉลาด ที่จะไม่ทำให้เกิด ความเสื่อมเสีย แต่จะทำให้เกิดความเจริญ งอกงาม เป็นประโยชน์ แก่กันและกัน สูงขึ้น สูงขึ้นไป นั่นเป็น ความเมตตา ปรานี เกื้อกูลแก่กันและกัน

สาธุ.---