ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

เป็นบุคคลที่มีประโยชน์มีกำไร กำไรอันนี้ไม่ใช่ว่า เราเอามาให้แก่ตัว ไม่ได้เห็นแก่ตัว ไม่ได้กอบโกย มาเพื่อตัว แต่เป็นไป เพื่อความเสียสละ เป็นไปเพื่อความเอื้อเกื้อ กรุณา เมตตา เผื่อแผ่ต่อผู้อื่น นี่เป็นความต้องการ ของสังคม ทุกแห่งในโลก มนุษยชาติ ยิ่งมีคนมีพลโลกมากขึ้น ยิ่งมีความต้องการจัด เป็นอุปสงค์ หรือเป็น ดีมานด์จัด ที่เราจะต้องได้คน ที่มีคุณภาพ อย่างนี้ ไม่ใช่หลอก ไม่ใช่แฝง ทำทีว่า เสียสละ คุยโม้ว่าเสียสละ โอ่อวดว่าเสียสละ แต่ซ่อนแฝงด้วยเฉโก ด้วยปัญญา เอาเปรียบ เอารัด เยอะแยะ เต็มไปหมดเดี๋ยวนี้ ---

ยิ่งเรียน ยิ่งรู้มาก ยิ่งใช้เลศเล่ห์ ใช้กลเม็ด ใช้กลวิธีต่างๆ เป็นกลวิธีอำมหิต น่ะ เราจะเป็นผู้ที่ มีกลวิธี แต่กลวิธีของเรา เป็นกลปรานี กลปรานีนี้คือ สิริ มหามายา กลปรานีเป็นกลวิธี ที่เอ็นดู เมตตา เกื้อกูลกัน ไม่ฉ้อฉล ไม่หลอกลวง ไม่อำพราง แต่เป็น กลปรานี คือ มันเกิดแรงกล แล้วก็ แรงกลนี้ สร้างสรร เพื่อความเอื้อเอ็นดู ปรานีเอ็นดู ช่วยเหลือเฟือฟาย แก่มนุษย์ สรรพสัตว์ ในโลกน่ะ นี่เป็นบุคคล สปายะ อย่างนี้ ---

เราจะเป็นคนที่มีอาหารสปายะ อาหารสปายะ นี้ก็คือสิ่งที่เรา แม้แต่เป็น อาหารหยาบน่ะ เป็นอาหารที่เรียกว่า อาหารกิน เป็นคำข้าว เป็นอาหารที่เอาไป สงเคราะห์นามธรรม เราก็มีอาหารที่โลก ได้กำไร เราก็ได้กำไร เพราะเราได้บุญ เราเป็นคนมีบุญ มีผัสสะ เราก็ทนต่อผัสสะได้ ยิ่งกว่าภูเขาหิน กระทบสัมผัส กระแทก กระทั้นอย่างไร เราก็รู้เท่าทัน ไม่หวั่นไหว เป็นคนที่ไม่มี แม้แต่เศษธุลีหมอง ธุลีเริง เป็นคน เป็นอยู่อย่างเกษม เป็นอยู่อย่างผาสุกน่ะ เป็นอยู่อย่างสร้างสรร สิ่งเจริญ ดังกล่าว เพราะฉะนั้น อาหาร ที่ได้เลี้ยงโลก เราเองเราก็ได้รับผัสสะอยู่ และผัสสะเหล่านั้น ยิ่งทำให้เราชาญฉลาด มีผัสสะนี่ ยิ่งทำให้เราก้าวหน้า มีผัสสะนี่ ยิ่งทำให้เราชาญฉลาด มีผัสสะ ทำให้เรารู้ โลกวิทู เกิดความรู้โลกยิ่งๆขึ้น ถ้าเรายิ่งหลบผัสสะ เรายิ่งโง่ต่อโลก ไม่เกิดโลกวิทูน่ะ ถ้าเราผัสสะต่อโลก ทุกมุม ทุกเหลี่ยม ทุกกระแส ทุกบรรยากาศ ทุกลีลาจริต ของบุคคล เราจะเป็นผู้ที่เท่าทัน ผัสสะทั้งหลาย นอกจาก ผัสสะเป็นอาหารแล้ว เราก็ยังมี มโนสัญเจตนาหาร มีความเจตนา มีความมุ่งมั่น มุ่งหมาย เพื่อที่จะสร้างอาหาร อันนั้นๆ ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ดีของโลก เราก็ได้อาศัย คนอื่นก็ได้อาศัย เป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งสมควร ที่จะสร้าง มีเจตนาที่จะผลิต มีเจตนาที่จะสร้างสรร เป็นผู้มี มโนสัญเจตนาหาร มีอาหารแห่งใจได้รับ ผู้ที่ยังไม่เต็ม ก็รับอาหารให้เต็ม อาหารใจเต็ม ก็คือ วิญญาณอันบริสุทธิ์ วิญญาณอันปราศจาก กิเลสราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสิ้น ---

เมื่อเราได้รับอาหาร ก็คือสิ่งที่มาเป็น ยาบำรุงใจ หรือ เป็นอาหารทิพย์ ที่มาละล้างกิเลส และเราก็ได้ทำ จิตวิญญาณ ของเรา เป็นวิญญาณ อันบริสุทธิ์ และเราก็ได้มี วิญญาณอันเกษม วิญญาณอัน เป็นอยู่ผาสุก เป็นอาหาร ทุกวันๆๆ เรามีวิญญาณอันเกษม วิญญาณอันผาสุก เป็นสิ่งอาศัย เป็น วิญญาณาหาร ของเราๆ ของใครของมัน มีบริสุทธิ์เท่าใด มีประสิทธิภาพสูงดี มีความเป็นผู้มี คุณประโยชน์ และก็เป็น ผู้มี เครื่องอาศัย อันสมบูรณ์อยู่ เท่าใดๆ ผู้นั้นแหละ เป็นผู้ที่มี ที่พึ่งอันเกษม เป็น อัตตา หิ อัตตโน นาโถ และ คนอื่น ก็จะได้พึ่งเรา เพราะเราเป็นผู้ที่เกื้อกูล สร้างสรร และ มีปัญญา สร้างสิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่โลก สร้างสิ่งที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์อย่างรู้ รู้ชัด รู้แจ้ง เราจึงเป็น ที่อาศัย ของชาวโลก ไม่ว่าจะคุณธรรม ทางปัญญา หรือแม้แต่ ถ้าจำเป็น ที่เราจะต้องสร้างวัตถุ เราก็สร้าง วัตถุที่มี คุณค่า ไม่ใช่วัตถุมอมเมา ให้แก่โลก --

เพราะฉะนั้น สปายะ หรือสบาย จึงเป็นเรื่องที่ มีทั้งที่อยู่ มีทั้งบุคคล และ อาหาร สิ่งเหล่านี้ เราทรงไว้ เราเรียกว่า ธรรมสปายะ เราทรงไว้ ซึ่งความมี ความจริง ความจริงของ เสนาสนะสปายะ ความจริงของ บุคคลสปายะ ความจริงของ อาหารสปายะ เรามีความจริง เรามีความเป็น แล้วทรงอยู่ได้ อย่างสถิตเสถียร ทรงอยู่ได้ อย่างถาวรมั่นคง ไม่เป๋ไป๋ไปตาม อำนาจรัฐ อำนาจหรือแรงโลก แรงโลกจะทำลาย ให้เรา แปรปรวนไม่ได้ ถ้าผู้ถึงขั้น ไม่แปรปรวนเลย ก็เป็นผู้ที่ถึงขั้น อรหันต์ ถ้ายังแปรปรวนอยู่ ก็ยังไม่ถึง อรหันต์ ลดหลั่นลงไป ตามลำดับ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มั่นคง เที่ยงแท้แล้ว จึงเป็นคนที่มี ธรรมสปายะ อันสมบูรณ์ เป็นผู้ที่ทรงไว้ ธรรมะ แปลว่า ทรงไว้ซึ่งความสบาย คำว่า ความสบาย ของภาษาบาลี มีความหมาย อย่างที่ได้ สาธยายไปนี้ ส่วนมาเป็นภาษาไทย คำว่าสบาย ก็ได้บอกแล้วว่า เราเข้าใจกันเพี้ยน เข้าใจกันผิด เป็นความเห็นแก่ตัว ชนิดใด ชนิดใดก็แล้วแต่ บางคนบอกว่า สบาย เพราะว่า ได้อบายมุข มาเสพย์ สบายเพราะได้กามมาเสพย์ สบายเพราะทำอะไรได้ ตามอำเภอใจของเรา เราก็สบาย อันนั้นมันยังเป็น สบาย ที่มีกิเลสแฝงอยู่ อย่างทั้ง หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งหมด มันไม่เป็นความถูกต้อง ของภาษา ที่ให้ความหมายน่ะ ก็ขอให้พวกเรา ได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ โดยบัญญัติไป แล้วก็ไปพิสูจน์ ไปกระทำให้ มันลงตัว ลงตน ให้เกิดผลที่จริง แล้วเราจะได้อาศัย ความสบายนั้น อย่างจริงจัง ประโยชน์ และโลก จะได้คุณค่า จากความสบาย ของผู้รู้ และ ผู้เป็นได้ จริงๆนี้ จากทุกๆคน

 

สาธุ.---