อนุสสติ ๑๐ (ตอนที่ ๒)
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
ณ อุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ครั้งที่ ๖ วันที่ ... กรกฎาคม ๒๕๒๑


ในวาระนี้อาตมาได้โอกาสที่ทางวัดพระแก้วนี้ ได้เปิดโอกาสอีกครั้งหนึ่ง ให้อาตมาได้มาแสดง ธรรมเทศนา ต่อสาธุชนทั้งหลาย อาตมาได้แสดงธรรม เมื่อคราวที่แล้ว ณ ที่นี้ ถึงเรื่อง พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ ไปแล้ว อาตมาตั้งใจว่า จะแสดงไปเรื่อยๆ ให้ครบอนุสสติ ๑๐ คราวนี้ ก็จะได้แสดง อนุสสติ ต่อจากคราวที่แล้ว เป็นอนุสสติข้อที่ ๔,๕,๖ ตั้งใจว่า จะเอาเป็นหมวด ๒ นี้สำหรับคราวนี้ ก็ขอเท้าความเล็กน้อย ถึงพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ

เราได้แยกแยะอธิบายให้ฟังว่า พุทธะที่เราจะระลึกถึง ระลึกตามนั้น หมายเอา คุณธรรม หมายเอา พุทธคุณ ที่เป็นปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ และกรุณาธิคุณ คุณต่างๆนั้น ถ้าพูดแต่ภาษาอย่างนี้ บางคน ไม่ถนัด ในเรื่องของภาษาพระ ก็ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย อาตมาก็ได้แจกแจงไปแล้ว คราวที่แล้ว คราวนี้ก็ขอพูดบ้าง อีกเล็กน้อย

ปัญญาธิคุณก็หมายความว่า เราจะต้องมีปัญญา เราจะต้องนึกเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระปัญญาธิคุณอันล้น โดยเฉพาะปัญญานั้น เป็นปัญญาที่ประหลาด ไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราเป็น คือเป็นปัญญา ที่รู้ทวนกระแส เป็นปัญญาที่รู้ กลับกันกับที่โลกเขารู้ โลกเขาจะพยายาม มีปัญญา ชาญฉลาด เพื่อที่จะหา แสวงหาเอาลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี โลกียสุข หรือสิ่งที่โลกเขาเรียกว่าสุข เอามาให้แก่ตน เมื่อแสวงหาแล้ว เมื่อได้มาสมใจ เขาเรียกว่า เสพสมสุขสม อยากได้ลาภ เมื่อได้ลาภสมใจ ก็เป็นสุข อยากได้ยศ เมื่อได้ยศสมใจก็เป็นสุข อยากได้สรรเสริญ เมื่อได้สรรเสริญ สมใจก็เป็นสุข อยากได้โลกียสุข ที่เราไปติดไปยึด แล้วก็ไขว่คว้าแสวงหา จนกระทั่ง ได้มาเสพ ก็สมสุขใจ ก็รู้สึกว่าสุข อย่างนี้เป็นเรื่องของ โลกียะธรรมดา ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีปัญญา อีกอันหนึ่ง ที่เป็นปัญญา รู้ถึงความจริงว่า คนธรรมดา แสวงหาแบบนี้ ตลอดนิรันดร ใครต่อใครเกิดมา ก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นกลับว่า ไม่ต้องไปอยากได้ สิ่งเหล่านี้สิ แล้วจะมีปัญญา รู้วิธีที่จะทำให้จิต ที่มันเป็นกิเลส หรือเป็นความรู้สึกเดิม ที่ไปหลงต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั้น แล้วก็ไปล้าง ล้างความรู้สึกเดิมนั้นเสีย ลดลงได้ ท่านมีปัญญารู้แจ้ง เห็นจริงอย่างนี้ แล้วก็ทำการละเลิกได้ มีวิธีการทำให้เป็นเอง ปลดปล่อย หลุดพ้นได้จริงๆ ไม่หลงลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้จริงๆ จิตจืดสนิท จิตหยุดได้สนิท นี่เป็นปัญญาที่กลับกันกับโลก แล้วมันเป็นความสบายใจ เป็นความสุขใจ ที่เบา ว่าง ง่าย นี่เป็นเรื่องของปัญญา อีกอันหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญาอย่างโลกๆ เมื่อผู้ใด มีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้จิตตัวเอง ล้างให้มันบริสุทธิ์ ล้างให้ไม่มีกิเลสอันนี้ได้ และมันล้างได้จริง เรียกว่า ความบริสุทธิ์จริง หรือเรียกว่า บริสุทธิคุณ

พระพุทธเจ้ามีบริสุทธิคุณ อย่างนี้จริง มีปัญญาอย่างนี้ อย่างที่กล่าวนี้ เมื่อมีสิ่ง ๒ สิ่งนี้แล้ว จึงเอามาสอนผู้อื่น เรียกว่า กรุณาธิคุณ เอามาสอน ให้ผู้อื่นรู้ตาม แล้วก็มาล้าง กิเลสอันนี้แหละ ล้างโลกียะออก เรียกว่า โลกุตระ ไม่เหมือนชาวโลก ไม่ต้องแสวงหา อย่างที่ชาวโลกแสวงหา ได้อีกอย่างจริง ท่านมีความกรุณา ที่จะมาสอนคน ซึ่งยากแสนยาก ที่จะให้ล้างให้เห็น แม้แต่ให้เห็นว่า การไม่ต้อง ไปอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเนี่ย ไม่ต้องไปมีเนี่ย มันสบาย มาสอนคน มาแนะให้คนเกิดปัญญา เห็นตามยาก แม้เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว จะทำให้จิต มันจืดสนิท ทำให้จิตมันบริสุทธิ์ มันไม่มีกิเลส ต้องการอีกจริงๆ ก็ยากแสนยาก เมื่อแรกที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว จึงได้เปล่งอุทานว่า ทำอย่างไร จะสอนคนได้ คนจะรู้เรื่องหรือ คนเนี่ย มองไปทั่วทิศทั่วทาง เป็นแต่แบบโลกๆ อย่างนั้นอยู่เต็ม จะสอนเขาได้หรือ ทำให้ท้อพระทัย จะไม่สอนในตอนแรก แต่แล้วก็มี พรหมมาอาราธณา เหมือนอย่างคุณเพิ่ม อาราธณา เมื่อกี้นี้ พรหมา จ โลกาฯ อาราธณาบอก ไม่ได้ โลกฉิบหายแน่ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่สอนคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเกิดพระกรุณาธิคุณ สอนมนุษย์ ได้เกิดพระปัญญา ขึ้นมาอีกอันหนึ่งว่า คนมันมีหลายหมู่ หลายเหล่า ผู้ที่มีปัญญามาก ผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ จริงก็มี ผู้ที่สอนกันมากหน่อยก็มี ผู้ที่สอนไม่ได้เลยก็มี พระองค์จึงได้ ทรงพระกรุณาสอนเรา จึงถ่ายทอดความรู้อันนี้ มาจนบัดนี้ และผู้ใด ใฝ่จริง ก็ได้รู้พระธรรม ซึ่งเป็นพุทธธรรมอันนี้จริง สงฆ์สาวกของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ปฏิบัติ ได้เรียนรู้ กระทำตาม เดินตามพระยุคลบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง จึงได้สิ่งนี้จริง เป็นของยืนยันอยู่ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอกาลิโก แม้เดี๋ยวนี้ ก็ยังเป็นได้ มีจริง เป็นปรมังสุขัง เป็นของที่ยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง แปลว่า ยิ่งกว่าสุข ใครที่มีสุขแบบโลกๆ ได้ลาภมาแล้วก็สุข มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ส่วนอันนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่จะไม่มีภาษาเรียก จึงเรียกว่า ยิ่งกว่าสุข ที่คุณเคยเป็น เคยมีนั้น ผู้รู้จริง รับสัมผัสจริง ได้รสเป็นวิมุติรสนั้นจริง จะรู้เองเป็นปัจจัตตัง รู้เองในใจของตัวเอง ท่านทราบเอง สบาย มันเบิกบานแจ่มใส มันไม่หนักหนา มันไม่เป็นภาระ มันไม่ต้องห่วงหา มันไม่ต้องอาวรณ์อาลัย มันว่าง มันอิสระ มันเสรี มันปลอดโปร่ง โลกเขาจะเสพแย่งชิง เขาจะขาดแคลน เขาจะลำบากอย่างไร เขาจะเป็นยังไง มันก็ไม่หนักหนา เหน็ดเหนื่อย อะไรกับเขาไปเลย มีแต่จะสงสาร เห็นว่าเขาทั้งหลายนี้หนอ ก็ยังเป็นผู้ที่มีอารมณ์ อยู่อย่างนั้น และก็มีจิตใจ ถูกครอบงำ ตามโลกียะอย่างนั้น ทำอย่างไรหนอ เราจะช่วยเขาได้ ก็มีแต่แค่นั้น และก็พยายาม ขวนขวาย อุตสาหะวิริยะ ที่จะหาวิธีสอนเขา บอกเขา ชี้แจงให้เขารู้ ให้เขาเห็น แล้วก็ให้เขาลองไป ประพฤติปฏิบัติตาม ใครสามารถ ใครอุตสาหะวิริยะตามได้ถูก ดี ทำได้จริง มีปัญญาสามารถ รู้ได้เร็ว หรือช้าก็ตาม แต่ถ้าได้รู้จริง มันก็ได้จริงเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าได้ดำเนิน พระกรุณาธิคุณนี้มา พุทธสาวก ได้ดำเนินรอยตาม ได้รับสิ่งนี้มา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังคงอยู่ ยังมีอยู่ ในเมืองไทยนี้ ก็ยังมีพระอริยเจ้า มีอรหัตคุณ มีอนาคามีคุณ มีสกิทาคามีคุณ มีโสดาคุณ คือคุณของอริยะ ๔ ประการนี้อยู่จริงๆ

นี่คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ

วันนี้อาตมาจะขออธิบายถึง อนุสสติอีก ๓ คือ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และ เทวดาหรือ เทวตานุสสติ อีก ๓ ต่อลงมา อาตมาเคยจัดหมวด อนุสสติ ๑๐ ให้ฟังแล้วว่า

หมวดที่ ๑ ก็ว่าไปแล้ว พุทธะ ธรรมะ สังฆะ
หมวดที่ ๒ สีลา จาคะ และเทวตา
มีหมวดละ ๓ นะ

ทีนี้หมวดที่ ๓ ก็จำง่ายอีกแหละ หมวดที่ ๓ ไม่ใช่อนุสสติ แต่เป็นสติธรรมดา เป็นชีวะของสติ คือ มรณัสสติ ไม่ใช่อนุนะ ไม่ใช่มรณานุสสตินะ มรณัสสติ

อันนี้เป็นมรณัสสติ กายคตาสติ และก็อานาปาณสติ อานาปาณะนี่แพร่หลาย คนคงจะพอรู้ นี่อีก ๓ ส่วนอันสุดท้ายนั้นเรียกว่า อุปสมานุสสติ ตัวนั้นเป็นตัวจบท้าย เรียกว่า ตัวสงบ หรือว่าตัวนิพพาน นั่นค่อยว่ากันตบท้าย [วันนี้ยังไม่พูดถึง มรณัสสติ กายคตาสติ กับ อานาปาณสติ จะยังไม่พูดถึง เอาไว้โอกาสหน้า] วันนี้จะขยาย ๓ ซึ่งเป็นสีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติซะก่อน

เรามาเริ่มต้น คำว่าศีล หรือสีละ เราจะระลึกตามศีล ทำไมถึงว่าดี ถ้าผู้ใดไม่มีศีล ไม่มีหลักประพฤติ ไม่มีกติกาของชีวิต อยู่ในสังคมอย่างฮิปปี้ ตามใจตัวเอง ตามใจกิเลส มันอยากเสพสุขอย่างไร มันปรารถนาอะไร ตามใจชอบ ก็ว่าเรื่อยเปื่อยไป ตามตัวเองปรารถนา แบบนั้นเป็นมนุษย์ ตามใจกิเลส เขาหลงผิด นึกว่าเขาเป็นผู้อิสระ เขาหลงว่า เขาเป็นผู้ที่มีความเสรี มีอิสรเสรีภาพ ปล่อยตัวไป ฉันต้องการอะไร ฉันมีอะไร ฉันก็ว่าของฉันไป แม้แต่กติกาสังคม มารยาทสังคม หนักเข้า ขนาด กฎหมายของประเทศ กฎหมายของสังคม เขาก็ไม่คำนึงถึง ขอให้ตามใจตัวเองได้ ว่าตัวเอง ทำอย่างนี้ล่ะ เรียกว่าอิสรเสรี พอใจ สบายใจ นี่เคยมี ในเมืองไทยก็เคยมี อยู่เมืองนอกก็มี แล้วก็หลั่งไหล เข้ามาเมืองไทยก็มี มาแพร่ลัทธิแบบนี้ และก็อวดอ้างว่า นี่คืออิสรเสรีภาพ

ศาสนาพระพุทธเจ้าสอน อิสรเสรีภาพสูงสุด สูงสุดเลย เป็นอิสรเสรีภาพ ขั้นสัมบูรณ์ ขั้นสัมบูรณ์ คือขั้นที่เรียกว่า สุดยอด มันเป็นความอิสระ ที่มีปัญญา และเป็นความอิสระ ที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อนใคร เป็นความอิสระที่หมดจิต จิตนี่แหละหลุดพ้น จิตหลุด อะไรยึดอะไรติด จิตหยุดเป็นทาส อะไรทั้งหมด

นี่เป็นของพุทธ ทีนี้เราจะเป็นอย่างนั้นได้ เราต้องมีหลักประพฤติ เรียกว่าศีล เมื่อกี้ก็กล่าวแล้วว่า สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นิพพุติง ยันติ หมายความว่า ศีลนี่แหละ จะพาให้เราก้าวขึ้นไป สูงขึ้นๆ เจริญขึ้นๆ มีสมบัติขั้นอริยสมบัติ ขั้นโภคทรัพย์ที่เป็นอริยะ และสุดท้ายก็เรียกว่า ศีลนี่แหละ จะพาเราไปถึงนิพพาน นั่นแหละเป็น ยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีศีล คนไม่มีศีลใช้ไม่ได้ ศีลเนี่ย พุทธศาสนิกชนทุกคนต้องมี แต่เดี๋ยวนี้ศาสนามันอ่อนแรง สมัยพระพุทธเจ้า พุทธศาสนิกชน เป็นโสดาบัน กันซะส่วนใหญ่ เป็นโสดาบันนะ โสดาบันคืออะไร โสดาบันคือผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์ โสดาบัน โสดาปฏิยังคะ เรียกว่าองค์คุณของโสดาบัน คือเป็นผู้ที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์จริงๆ บริสุทธิ์ขั้นถึงจิต มีอรหัตผลจิต คือมีจิตที่บริสุทธิคุณ มีจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ว่ามากด ฝืนข่มเอาไว้ ว่าเห็นสัตว์แล้ว อยากฆ่าๆ อย่างนั้นเรียกว่า ยังไม่บริสุทธิ์ในจิต แต่ถ้าจิตเป็น บริสุทธิคุณแล้ว เห็นสัตว์ ก็ไม่อยากฆ่าจริงๆ ใจมีเมตตา ใจจะช่วยเหลือ แม้แต่จะเป็นสัตว์ร้าย อย่างนี้เรียกว่าบริสุทธิ์ แม้สัตว์นั้น จะทำร้ายเรา ก็ไม่อยากฆ่า ไม่อาฆาต อย่างนี้ เรียกว่ามีเมตตา และเป็นศีลบริสุทธิ์ ไม่ใช่มากดข่ม ฝืนเอาเฉยๆ กดข่มฝืน นั่นมันเป็นเพียง ศีลสมมุติ ผู้ที่กำลังฝึกเพียร และก็พยายามปฏิบัติ เพื่อให้จิตของเรานี่ลด หน่าย คลาย จาง อย่าไปถืออาฆาตมาดร้าย จนกระทั่ง ไม่ฆ่าก็ได้ และจิตก็ไม่ปรารถนา ที่จะทำร้ายเขา นั่นเรียกว่า บริบูรณ์บริสุทธิ์

ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระโสดาบันมากกว่ามาก และศีล ๕ นี่เป็นของฆราวาส เป็นของพระโสดาบัน พระโสดาบันเนี่ยมีเกลื่อน มีเป็นธรรมดา ยังทำมาหากิน ยังมีคู่ ยังแต่งงาน มีผัวมีเมียได้ อย่าไปเข้าใจผิด เดี๋ยวนี้พอพูดโสดาบันแล้ว นึกว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่ใช่ พระโสดาบัน ยังมีโลภมีโกรธอยู่ พอประมาณ ตามฐานะของพระโสดาบัน ข้อสำคัญ เราจะต้องรู้ความหมายว่า ศีลนี้คืออะไร หมายความว่าอย่างไร จะทำให้คนเป็นอย่างไร ศีลข้อที่ ๑ คือ ทำให้คนมีเมตตา หยาบๆ ก็อย่าฆ่าใคร อย่าโหดร้ายกับใคร อย่าอำมหิต อย่ารุนแรง ถึงขั้นฆ่า ไม่เอา วางมีด วางปืน วางศาสตราอาวุธ พระโสดาบัน จะเป็นอย่างนั้น เราระลึกดูสิ

ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราเมื่อกี้เปล่งกล่าวรับศีล ๕ ไป เราได้เอาไปฝึกไปเพียร เท่าไหร่ ถ้าผู้ที่เป็นพระโสดาจริง ก็มีศีล ๕ ตลอด เมื่อไหร่ๆ ก็ศีล ๕ บริบูรณ์อยู่ตลอด นั่นเรียกว่า พระโสดาบัน ศีล ๕ นี่เป็นของ ญาติโยมนะ ถ้าญาติโยม ที่สกิทาคามี ก็ศีล ๘ ศีลนี่ของญาติโยมนะ ไม่ใช่ของพระ

การแสดงว่าศาสนายังมี ก็หมายความว่า คนยังบริสุทธิ์ในศีล เป็นบริสุทธิคุณ คนยังมีปัญญารู้ว่า ศีลนี่มีความหมายว่าอย่างไร และเราทำได้ ตรงกับศีลนั้นหมายไหม มีพฤติกรรมอยู่ว่า เป็นคนไม่โหดร้าย ทารุณ ไม่มีโทสะ อย่างนี้เรียกว่า ผู้ที่ทำด้วยพรหม เป็นผู้ที่ไม่โลภโมโทสัน ไม่เอาของนี้ ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่ฉ้อ ไม่โกง เป็นจริง ถ้าคนเป็นอย่างนั้นจริง คนนั้นก็มีศีลจริง เรื่องกามคุณ กาเมสุมิจฉาจาร เอ้าไม่แรง มีแค่ผัวเดียวเมียเดียว ก็แสนจะทุกข์แล้ว ลูกแค่นี้ก็เหลือแล้วแหละ แค่นี้ก็พอ ไม่มากไม่มายกว่านี้

มุสาก็ไม่เอา อยู่กันอย่างสุจริต ไม่พูดหลอกลวง ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดร้ายกาจ นั่นเป็นของจริงนะ

สุราเมรยะ เมาอบายมุข เมาศีลตื้นๆ เช่นว่า ฆ่าสัตว์ โหดร้าย รุนแรง เมามายจนหน้ามืดตามัว ฆ่าสัตว์ก็ไม่รู้ว่า เราเองทำบาป ลักขโมยของเขา ก็ไม่รู้ว่าเป็นบาป ราคะจัดจ้านแก่กล้า ก็ไม่รู้ว่าเป็นบาป โกหกโกไหว้อยู่ มดเท็จอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นบาป ไอ้อย่างนี้มันเมาหนัก จะต้องรู้ตัว ถ้ารู้แก้เสีย ทำคืนเสีย ทำกลับเสีย ทำให้ตนเอง ไม่ไปดุเดือดยังงั้น ไม่ไปเลวทรามยังงั้น เราก็จะเป็นคนที่เจริญ เรียกว่าอริยะ เพราะฉะนั้น คำว่า เมาอันที่ ๑ ที่หมายความขั้นต้น แค่พระโสดาบัน คุณแค่โสดาคุณก็คือ ไม่เมา ในอบายมุข การพนันยังงี้ ยังเมามายการพนันยังงี้ เรียกว่าสุรา เมามายสิ่งเสพติดหยาบๆ เป็นฝิ่น เฮโรอีน ผงขาว หรือว่ายาเสพย์ติดหยาบๆ สมัยนี้มีเยอะ ล้วนแล้วแต่สุราทั้งนั้น อย่าไปเข้าใจว่า สุรามีแต่น้ำเหล้า ขาดทุน แล้วทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้าแหว่ง ทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้าด้วน ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีประโยชน์ อย่าเข้าใจผิดนะ พยายามทำสัมมาทิฐิ ทำความเข้าใจให้เห็นดีๆ แล้วเราจะเข้าใจ

นี่อาตมาพยายามจะคลี่ศีลให้ฟัง แล้วคุณจะได้ระลึกถูก ถ้าไม่ยังงั้น คุณจะระลึกตามอย่างไร แล้วจะระลึกถึง ความหมายอย่างไร อาตมายังไม่ได้อธิบาย ถึงอนุสสติ ขณะนี้ กำลังอธิบายถึงศีล และ โดยเฉพาะศีลเบื้องต้น ศีลของทุกๆคน พระก็ต้องมีศีล ๕ พระก็ต้อง เป็นโสดาบัน พระก็ต้องบริสุทธิ์ ศีล ๕ บริสุทธิ์ศีล ๘ เหมือนกัน แต่ความจริงนั้น ศีล ๕ นี่ แค่ฆราวาสนี่ต้องเป็นแล้ว

พุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพุทธบริษัทจริง จะต้องมี ศีล ๕ บริสุทธิ์ ถ้าเรายังไม่มีศีล ๕ บริสุทธิ์จริง เราเพียงเป็นแต่เพียง พุทธบริษัทสมมุติ เรายังไม่ได้เป็นจริง เหมือนกับพระนี่ พระยังไม่มี องค์คุณอะไรเลย ยังไม่เป็น พระอริยะสักส่วน มาบวชแล้วนะ ปฏิญาณตนกับญาติโยมแล้ว โกนหัว นุ่งชุด ยูนิฟอร์ม นี่เรียกว่า ยูนิฟอร์ม เป็นเครื่องแบบของพระ แต่งแล้ว แต่ว่ายังไม่มีองค์คุณเลย แม้แต่โสดาคุณ ยังไม่เรียกว่าพระแท้ ยังเรียกว่า พระสมมุติ สมมุติว่าเป็นพระ เรียกว่าสมมุติพระ หรือ สมมุติสงฆ์ ยังไม่เรียกว่าพระแท้ พระแท้ก็คือ อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา เอสะ ภควโต สาวกสังโฆ นี่ ภาษาบาลี เราสวดอยู่ทุกวันๆ

หมายความว่า จะต้องเป็นพระโสดา อย่างน้อยโสดาปัตติมรรค จึงจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ แม้โสดาปัตติมรรค ก็พระยังไม่แท้หรอก ยังสมมุติๆ อยู่แค่นั้นเอง ยังไม่ได้นับว่าเป็นพระนะ ฟังดีๆ ยังไม่ได้อยู่ในองค์ ๘ คือ โสดาปัตติมรรคบุคคล โสดาปัตติผลบุคคล สกทาคามีมรรคบุคคล สกทาคามีผลบุคคล นี่ ๔ อนาคามีมรรคบุคคล อนาคามีผลบุคคล อรหัตมรรคบุคคล อรหัตผลบุคคล อีก ๔ ๘ นี่เรียกว่า อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา อัฏฐะ แปลว่า ๘ ถ้าไม่อยู่ใน ๘ นี้ ยังหรอก ให้สมมุติตัวเองยังไง ให้ตายยังไง ให้มีตำแหน่งยศชั้นสูงยังไง ยังไม่ได้แค่ ๑ ก็ยังไม่ใช่พระ แต่ถ้าโยมสิ บริสุทธิ์ศีล ๕ โยมก็เป็นพระแล้ว เป็นพระจริงๆนะ

แต่ถ้าโยมยังไม่ได้แม้ศีล ๕ ยังไม่ได้เป็นพระอีกเหมือนกัน คำว่าพระ จึงไม่ได้หมายความว่า มานุ่งจีวร มาโกนหัว ยังไม่ใช่ อันนี้เป็นแต่เพียง ลำลองสมมุติ ตั้งใจเข้าไว้ ที่จะมาปฏิบัติตนให้มีคุณ ให้มีปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ให้มี ทีนี้มันยังไม่มีจริง มันก็ยังเป็นยังงั้นล่ะ สมมุติเอาไว้ หรือเลี้ยงกันไว้ อย่างสมมุติ เท่านั้นเองนะ นี่เข้าใจอันนี้ ให้ชัดก่อน เมื่อชัดแล้ว ทีนี้เราจะต้อง ทำตนให้เป็นพระ


สมัยพระพุทธเจ้า อาตมาถึงยังกล่าวแล้วว่า มีผู้ที่บริสุทธิ์ศีล ๕ กันมากมาย เป็นพระโสดาบัน กันมากมาย เป็นจริงๆ ศีล ๕ เป็นของโยม ศีล ๘ เป็นของโยม ศีล ๘ นี่เป็นองค์คุณ ของพระสกิทาคามีน่ะ ส่วนพระอนาคามีนั้น องค์คุณสูง องค์คุณเอาสังโยชน์มาวัดเลยนะ ต้องบรรลุสังโยชน์ ๕ อย่างต่ำ สูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดจะสูง ผู้ใดที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์มาก ผู้ใดที่จะมีคุณธรรมสูง ก็ต้องเอาศีลวัด มีศีลวัด บริสุทธิ์ไหม เราต้องระลึกทบทวนได้ เทียบเคียง ตัวเราเอง ก็เทียบเคียงได้ ศีล ๕ ข้อที่ ๑ เราบริสุทธิ์ไหม มีบริสุทธิคุณในศีล ๕ ไหม เข้าใจไหม ศีล ๕ ข้อที่ ๑,๒,๓,๔,๕ หมายความว่าอย่างไรบ้าง และเราบริสุทธิ์ได้ไหม อาตมาแน่ใจว่า ที่นั่งอยู่ในนี้ จะมีบริสุทธิ์ศีล ๕ เป็นพระโสดา อยู่ในนี้ ไม่ใช่น้อย ฟังดูดีๆนะ อยู่ในนี้ล่ะเป็น พระโสดาไม่ใช่น้อย แต่ว่าตัวเองไม่รู้น่ะ ท่านเรียกว่า มีเจโตวิมุติ แต่ไม่มีปัญญาวิมุติ หมายความว่า จิตของเราไม่ติดหรอก จิตของเราทำได้ บริบูรณ์ศีล ๕ นี่เราทำได้ แต่ไม่มีปัญญารู้ว่า อ้าว! ก็มันได้แล้ว มันดีแล้ว ไม่ต้องไปถูกโลก เขาหลอกอีก ให้โลกเขาหลอกอีกทำไมล่ะ เรามั่นคงต่อศีล ๕ ที่บริสุทธิ์นี้ ไปตลอดชีพเลย มันเป็นอานิสงส์ของคน มันเป็นความบริบูรณ์ของคน มันเป็นความประเสริฐของคน

ถ้าเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ได้อย่างนี้ จิตของเราว่าง เห็นอานิสงส์ที่แท้จริงว่า เอ๊! เราไม่ต้องฆ่าใคร ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร ใครน่ะ ศีลข้อ ๑ บริบูรณ์ ไม่ต้องไปอยากได้ของใคร อยากมีอะไร เป็นอะไร ที่ควรสร้าง ควรก่อสร้างขึ้น เป็นคนสร้างสรร ไม่ใช่งอมืองอเท้า ไม่ไปอยากได้มา ไม่ไปอยากได้ของ ที่ไม่ใช่ของของเรา อะไรดี คนอื่นเขามีอะไร เห็นว่ามันดี ก็สร้างขึ้น สร้างอย่างนั้นไม่ได้ สร้างอย่างอื่นไปแลกเปลี่ยนเอา ไม่ต้องทุจริต คนผู้ใดทำได้อย่างนี้จริง มีจิตใจบริบูรณ์จริง เข้าใจด้วยปัญญาแท้ ผู้นั้นก็เป็นพระโสดา

พระโสดาจะต้องมีอรหัตคุณ อรหัตคุณจะต้องมี บริบูรณ์ทั้ง ๒ วิมุติ คือ เจโตวิมุติกับ ปัญญาวิมุติ เรียกว่า อุปโตภาควิมุติ ศีล ๕ บริบูรณ์ จริงๆน่ะ ตลอดชีวิตไม่ละเมิด ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่เอาของเขา ผัวเดียวเมียเดียว ไม่ไปเที่ยวได้นอกกาย นอกใจใคร ไม่มุสานะ การโกหกหยาบๆอย่างนี้ ไม่มุสา ละอายต่อบาปนี้จริงๆ ไม่เสพติดอบายมุข การพนันไม่มี สิ่งเสพย์ติดไม่มี หนังละครไม่ดู ยิ่งหนังละครทุกวันนี้ มันคือเรื่องของนรกแท้ๆ
ใครไม่ได้ดู คนนั้นมีบุญ ใครไปดูหนัง ไปในโรงหนัง คนนั้นมีบาป อาตมาออกจะพูดแรง แต่อาตมาปรารถนาดี อาตมาไม่ได้โกรธกับ เจ้าของโรงหนังสักโรง นอกจากไม่โกรธแล้ว ค่อนจะรู้จักกันดีเสียด้วย แต่ก่อนเคยรู้จักกันดี เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ติดต่อกัน เพราะเดินกันคนละทางเสียแล้ว และอาตมา ก็ไม่ต้องการจะเข่นฆ่า แต่อาตมาต้องการ จะให้ทุกคนสุขสบาย

การไปดูหนัง เป็นการไปมอมเมากิเลสใส่ตนน่ะ ซึ่งไม่เข้าในสายของ ศาสนาเป๊ะ ๑. เร่งราคะ จะพยายามโป๊เปลือย ถ้าไม่มีกองเซ็นเซอร์แล้วคุณเอ๊ย เมืองไทยก็เมืองไทยเถอะ ป่านนี้หนังโป๊ เต็มโรงทุกโรงแหละ ๑.เร่งราคะ ๒.เร่งโทสะ หนังบู๊น่ะ แนวบู๊นี่คือหนังเร่งโทสะ ไอ้บ้าระห่ำ ไอ้สิงห์ฆ่าเสือ ไอ้เลือดสิงห์ใจสัตว์ อะไรก็ไม่รู้ชื่อเรื่อง ฟังแต่ชื่อก็แย่แล้ว ๑.เชิงหนังบู๊ เรียกว่าก่อโทสะ โทสมูลจิต หนังราคะก็คือราคะมูลจิต ก่อแต่เรื่องรักเรื่องใคร่ เรื่องเกมเรื่องกาม อะไรก็ไม่รู้ ส่วนโมหมูลจิตนั้น หนังบ้าๆบอๆ ผีมันไม่มี ก็ว่าผีมี ผีนั่นมันมี ๒ ลักษณะ ๑.ผีแท้ ๒.ผีหลอก และคนไปกลัวผีหลอก ผีแท้ไม่กลัว ผีแท้อยู่ที่ไหน ผีแท้อยู่ที่โยมทุกคน ผีหลอกอยู่ที่ไหน เขาว่าอยู่ป่าช้าบ้าง อยู่บนต้นตะเคียนใหญ่ๆบ้าง อยู่ศาลเจ้าบ้าง นั่นผีหลอก กลัวจนหัวโกร๋น ตายกันไปเยอะแล้ว กลัวผีหลอกน่ะ บอกว่ามันไปสิงอยู่ที่ป่าช้า สิงสู่อยู่ที่ต้นตะเคียน สิงสู่อยู่ที่ศาลเจ้า สิงสู่อยู่ที่มืดๆ สิงสู่อยู่ที่ซอกนั่น ซอกนี่ หลอกกันจนกลัว จนไข้ขึ้นสมอง กันมานักหนาแล้ว ใครยังกลัวอยู่ ยังโง่ตายเลย กลัวอะไรไม่กลัว กลัวผีหลอกๆ เราเรียกกันจนติดปาก แล้วว่าผีหลอก ไม่ใช่ผีจริงนะ ผีอย่างนี้ไม่มีในโลก อาตมาขอรับรอง ในป่าช้า ในต้นตะเคียน ในที่ลึกลับอะไร ที่ไหน ที่มันหลอกกันว่ามีนั่น มันไม่มี ใครว่ามี จงตามจับใส่เข่งมาดีๆ มัดมาดีๆ มาขายให้อาตมา ซื้อตัวละล้านน่ะ ใครเห็นใครมี อาตมาไปนอนมา ก็หลายป่าช้าเต็มทีแล้ว นอนกันอยู่บนโลง เคาะโลง เฮ้ย! ขึ้นมา ไม่เห็นมันขึ้นมาสักที นอนกันอยู่บนหลังโลงนั่นแหละ มันอยู่ป่าช้า ก็ไม่เห็นมันขึ้นมาน่ะ มันไม่มีหรอกโยม แต่เราไม่รู้ด้วยปัญญา เราถูกเขาหลอกมานานแล้ว หนังนี่ สร้างผีนั่น ผีเอ๊กซ์โซซิสต์ ผีแม่นาคพระโขนง ผีอะไร คนสร้างหนังนั่นแหละ คือตัวผี ไอ้ที่หนังมันไม่ใช่ผีหรอก คนที่สร้างหนังนั่นน่ะ คือคนหลอก คนใดหลอกผู้อื่น คนนั้นคือผี ฟังธรรมะให้ดีๆ คนใดหลอกผู้อื่น คนนั้นคือผี อาตมาบอกแล้ว เมื่อกี้ว่า ผีจริงอยู่ที่ไหน ผีจริงอยู่ที่เรา อยู่ที่มนุษย์ มนุษย์คนไหนหลอกคนอื่น มนุษย์คนนั้นคือผี หลอกจนเขากลัวว่า ไอ้อยู่ที่ป่าช้ามันมีผี จนหลงว่า มันมีจริง จนตาพร่าตามัว มีอุปาทาน มันไม่มีรูปกันหรอก จนกระทั่ง เห็นรูปอยู่ในป่าช้าก็ได้ เห็น ขาว แลบลิ้น ตัวสูง ตัวโย่ง เห็นไปสารพัดเห็น เสร็จแล้วก็กลัว เกิดไข้ป่วย จิตมันเกิดโรคประสาทโรคจิต แล้วก็ตาย ตายกันมาแบบนี้เยอะแล้วน่ะ

ถ้าใครฟังธรรมของพระพุทธเจ้ารู้ เข้าใจดีแล้ว อย่าได้ไปกลัวอีกผีแบบนี้ ใครผู้ใดไปคิดสร้างอยู่ ก็คือหลอกให้คนอื่นเขาหลง เรียกว่าโมหะ นี่ในโลกนี้ มันมีอยู่ ราคะ โทสะ โมหะ หนังผีเอย หนังที่ไปสร้างอะไรก็ไม่รู้ จินตนาการ แล้วก็คิดเป็นเรื่องนิทาน เรื่องจักรๆวงศ์ๆ เรื่องออกนอกโลก ออกในโลก ดำดิน เรื่องประหลาดประเหลิดอะไร เป็นเรื่องที่ลึกๆลับๆ ประหลาดๆน่ะ แบบโมหะ มันมีอยู่ ๓ แง่ แง่ราคะ แง่โทสะ แง่โมหะ แง่โมหะคือเรื่องแปลก ดีไม่ดีก็ไปหลอก ให้เขาหัวเราะค้าง ขากรรไกรค้าง นี่ในคนไทยนี่ ขากรรไกรค้าง แล้วเอาไปโรงพยาบาลไม่ทัน ตาย เพราะไปดูหนัง นี่ก็มีลงข่าว อาตมาเคยอ่าน นี่โมหะ โทสะก็หนังบู๊ ราคะก็หนังเปลือย หนังโป๊ หนังรัก มีแค่นี้เอง ไปดูที่โรงไหนก็โรงนั้น ไม่มีอื่นหรอก ถ้าใครไม่ไปดู คนนั้นเป็นพระ เป็นพระโสดาบัน และจิตก็มาหลอกเราไม่ได้ หนังวันนี้สุดยอด มันสุดยอด อร่อยสุดยอด สนุก หลอกไม่ได้ เราเฉย เรียกว่าจิตว่าง หลอกไม่ขึ้น เพราะรู้เท่าทันเสียแล้ว จริงๆ นี่เรื่องของการเสพติด ในศีลข้อที่ ๕ เสพติดรสชาติ ของโลกียารมณ์ รสบู๊ รสรัก รสราคะ รสแปลกๆพิสดาร นี่ ๓ ลักษณะ ใครไม่ดูการละเล่น มหรสพ อย่างนี้นี่ เป็นอบายมุข ผู้นั้นแหละเป็นพระ ฟังดีๆนะ ไม่ใช่ของที่ว่าลึกลับอะไร เป็นของสบาย

แต่เราทำได้เราเจริญ เจริญอะไร คือไม่ต้องเสียเวลา ไปนั่งอยู่ในโรงหนัง ไม่ต้องเที่ยวไปได้เสียเงิน ไม่ต้องเสียแรง ไม่ต้องถ่อกายไปดู ไปดูแล้วได้อะไร ก็บอกแล้วว่าได้กิเลส มันไม่โง่อย่างไรทนไหว เงินก็เสีย แรงก็เสีย เวลาก็เสีย แล้วแถมได้กิเลสมา มันเจริญหรือว่ามันตกต่ำ คิดดูน่ะ อาตมาไม่ได้เอาคำที่ นอกกว่าที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มาพูดนะ และอาตมาก็ไม่ได้โกรธ เจ้าของโรงหนัง ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดกัน สมัยก่อน มันไม่มีหรอก สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี ท่านไม่ต้องไปพูด ท่านไม่ต้องไปตรัส กันมากมาย แต่สมัยนี้ มันมากกันเหลือเกิน มอมเมากันเหลือเกินน่ะ มันไม่เท่านั้นนะ มันเอาเข้าไปอยู่ ในบ้านเลย เป็นตู้น้อยๆ ส่งมาทางอากาศ เสร็จแล้วก็ฉาย กันตะพึดตะพือ หนังบางเรื่อง ไม่ควรจะฉายให้เด็ก ก็ไม่ควรดู ถ้าหนังสารคดี อาตมาก็ไม่ว่า ที่จริงวิทยาศาสตร์ สร้างหนัง สร้างโทรทัศน์มา ดีจังเลย เป็นสื่อสาร ที่จะแพร่ความรู้ แพร่ความเร็วในด้านที่ จะคอยบอกกันให้ก้าวหน้า นี่มีอะไรก็บอกกัน มีอะไรก็ เอ้า! อันนี้ เราคิดค้นอันนี้ได้แล้ว กระทำกันซิ เจริญดีนะ เอาเรียนรู้ เออ! อย่างนี้บ้านเมืองก็เจริญ มนุษย์ก็เจริญ นี่เปล่า เอาเครื่องมือวิทยาศาสตร์ มาให้ผีครอง ฟังดีๆนะ อาตมาใช้คำว่าผี ผีอบาย อบายนี่แปลว่าชาวนรก แปลว่าเมืองนรก อบายมุข มุขแปลว่าหัวหน้า หัวหน้านรก ไม่ใช่นรกเล็กๆนะ อบายมุขนี่เป็นหัวหน้านรก เสร็จแล้ว เราไม่เคยสำเหนียกกันเลย เราไม่เคยสังวรณ์กัน ไปซื้อเอานรก เมืองนรกใหญ่ๆ มาไว้ที่บ้าน บ้านฉันมีเมืองนรก กลับโชว์เสียด้วย สีด้วย เมืองนรกมีสีด้วย กลับคุยโม้ใหญ่เลย เห็นมั้ยนี่ ฉันเจริญแล้ว ฉันมีเมืองนรกแบบสี ฟังดีๆนะ มันอาจจะกลับกัน กับที่คุณเคยรู้สึก คุณนึกว่าคุณโก้เก๋ มีโทรทัศน์สี โทรทัศน์ขาวดำ อยู่ในบ้านหลายเครื่อง ยิ่งมีหลายเครื่อง ยิ่งนรกหลายขุม อยู่ในบ้าน นี่ร้านขายโทรทัศน์ ก็อาจจะอยากฆ่าอาตมาทิ้ง แต่อาตมาเอง อาตมาแต่ก่อน อาตมาก็ทำงานโทรทัศน์ และอาตมา ก็ไม่เคยโกรธกับใคร ในโทรทัศน์ ไม่เคยเกลียดเคยชังกับใคร ที่มาพูดเดี๋ยวนี้ ก็มาพูดสัจจะ อาตมารักสัจจะ อาตมาต้องการให้ทุกคนได้รู้สัจจะ มากกว่าที่อาตมา จะมามัวเอาใจใคร หรือเกรงใจใคร แม้แต่เพื่อน เคยเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่เกรงใจ ถ้าเขาจะอยู่โทรทัศน์ เขาก็ทำรายการสารคดี ที่อาตมาไม่ว่า ทำรายการที่จะเป็นประโยชน์ ต่อมนุษยชาติ ไม่ว่า ถ้าทำรายการ ที่มอมเมามนุษย์ ให้เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ อาตมาต้องว่า ต้องว่าจริงๆน่ะ และก็ต้องพยายามบอกญาติโยม อย่าไปหลงเขาหลอก ผู้ที่สร้างสิ่งใด ที่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ ผู้ที่หลอกให้คนอื่นเขามาติด มาเกิดราคะ โทสะ โมหะ สั่งสมราคะ โทสะ โมหะใส่จิต ผู้ที่ก่อ ผู้ที่เกิด ผู้ที่สร้างพวกนั้น ถือว่าผีทั้งสิ้น เห็นผีไหม เห็นไหม เห็นหรือยัง คุณเคยหลอกเขาไหม เคยไหม เคยไหม ไม่ยอมตอบ จะบอกว่าไม่ก็ไม่ซิ ไม่เคยหลอก ก็ว่าเข้าไปน่ะ ถ้าบอกว่าเคยหลอกก็บอกได้นี่ หรืออาย เคยเหมือนกันแน่ะ ก็เรียกว่า เรายังเป็นผี เห็นมั้ย จับผีได้ไหม คือผีแท้ๆนะ มันมีที่ไหน มันจิตวิญญาณเรา จิตของเรา วิญญาณของเราเองนี่แหละ มันปรารถนาลามก มันจะหลอกเขา มันจะเอามาให้ตัว มันจะทำไอ้โน่นไอ้นี่แลกเปลี่ยน ได้ไอ้โน่นมา เอาไปแลกเปลี่ยน เอาอะไรมาเสพสมสุขสม ของเราเอง มันจะโลภโมโทสัน มาให้แก่ตน บางทีเป็นผีแท้ๆเลยนะ เขาเรียกว่า เป็นผีโขมด เขี้ยวออกเลยนะ หน้าเขียว หน้าแดง ตาโปน เคยเห็นไหม เคยส่องกระจกไหม เวลาเราเคยเป็นน่ะ เคยส่องไหม ผีโขมด ตาโปนเลยนะ กรามนูน เขี้ยวงอก เคยไหม เสียงยังงี้ แป๊ดๆๆ เลย เคยไหม เมื่อเวลาโทสะจิต จิตมันเกิดโทสะแรง มันก็ออกมาหมด รูปร่าง หน้าตาเป็นผีโขมด ดุ บางทีไม่กลัวตายแน่ะ และ ก็ตายกันไปเยอะแล้วน่ะ

เพราะมันบ้าระห่ำเข้า ก็เห็นช้างเท่าหมู ช้างเลยเหยียบเอาตายน่ะ ก็ไปเห็นช้างเท่าหมู แล้วมันไม่ประมาณเลย มันโกรธน่ะ ช้างก็เลยทำงานของเขา ช้างก็เลยเหยียบเอา ตายไปเยอะแล้ว นี่มันเป็นยังงี้ล่ะ ถ้าตัวเราเป็นผี มันโง่ มันเป็นเดรัจฉานบ้าง มันเป็นผีนรกบ้าง มันเป็นเปรตบ้าง จิตวิญญาณเราเป็น นี่อาตมาอธิบาย คลี่คลายพิสดาร ในเรื่องของศีลเท่านั้น ยังไม่ได้ไปไหน นี่สีลานุสสติ กำลังอธิบายแค่ศีล ยังไม่ได้อธิบายอนุสสติด้วย แต่อาตมาก็กำลัง ให้คุณอนุสสติ กำลังให้คุณระลึกตาม อนุสสติ หมายความว่าระลึกตาม อาตมาอธิบายไป อธิบายไป อธิบายไป คุณฟังไปแล้วก็สอบทวน ดูไป อ้อ! เราก็เป็นผีแฮะ เราจับผีได้แล้วแฮะ คุณก็เกิดอนุสสติ นี่แหละคือ สีลานุสสติ คุณมีศีลอย่างนี้ไหม คุณเคยระลึกรู้ไหมว่า ความหมายมันเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้รู้ตัว แล้วให้ละ หน่าย ให้เลิกมา อย่าไปเป็นคนขี้โกรธ ไปเป็นยักษ์โขมด เป็นผีโขมด อย่าเป็น ไปเป็นคนมีราคะจัดจ้าน อย่าเป็น เป็นคนที่ติดในอบายมุข ติดในการพนันเนี่ยเป็นผี ผีพนัน ติดในสิ่งเสพย์ติด เป็นผีที่ไปกิน สิ่งเสพย์ติด เป็นผีที่หลงอยู่ในมหรสพ การละเล่น เป็นผีเที่ยวกลางคืน เราเรียกว่าผี อ้า! ผี ไอ้ผีอะไร มันมีแสงกลางคืนน่ะ ออกหากินกลางคืน ฮะ ผีกระสือ เออ! ผีกระสือ นั่นน่ะ กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน เป็นเวลานอน มนุษย์เราส่วนใหญ่ปกตินี่ กลางวันทำงาน มันได้ออกพลังงาน แสดง ทำการงานไปแล้ว มันก็เมื่อย กลางคืนมันก็ต้องพัก เสร็จแล้ว กลางคืนไม่พักแล้ว ง่อมๆไปแล้ว ถูกเขาหลอก เที่ยวไนท์คลับสนุกนะ บาร์ คอฟฟีช็อป ไปสิ ไปนั่งกรึ่ม แอร์เย็น ไปฟังดนตรี ฟังเพลง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของ อบายมุขทั้งนั้น นอกจาก จะเที่ยวกลางคืน เป็นอบายมุขแล้วยังไม่พอ ยังไปหาอบายมุขใหม่ แถมเข้าไปอีก ให้เสริมหนักเข้าไปอีก อย่างนี้เป็นต้น เที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว เกียจคร้าน

อาตมาเน้นมากก็คือ เรื่องเกียจคร้าน เป็นอบายมุขข้อที่ ทำให้มนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องขยัน หมั่นเพียร มนุษย์จะต้องเป็นผู้ที่ ไม่งอมืองอเท้า ศาสนาโดนคนตู่ โดยเฉพาะศาสนาพุทธ อาตมา ขอป้องกัน อย่างเด็ดขาด ใครมาตู่ว่า ศาสนาสอนให้คนงอมืองอเท้า ขี้เกียจ สันหลังยาว เบื้องต้น พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วว่า อบายมุขก็คือ เรื่องที่เหลวไหล เรื่องเลว เรื่องเลวชั้นต้น ขี้เกียจขี้คร้าน เป็นอบายมุข เป็นผีชั้นต่ำ ถ้าใครขี้เกียจขี้คร้าน จิตใจจิตวิญญาณขี้เกียจ ไม่สร้างสรร ไม่ใช่คนในศาสนา ไม่ใช่ผู้มีศีล ไม่ใช่ผู้มีธรรม ไม่ใช่ผู้มีพุทธ เป็นคนนอกศาสนา จะมาตู่ว่า ศาสนาสอนให้คน งอมืองอเท้า ขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่พัฒนา ไม่จริงหรอก คนนั้นไม่เคย เรียนศาสนา ถ้าเรียนศาสนา เบื้องต้นก็สอนแล้ว จะมาขี้เกียจได้ยังไง จะบอกว่าคนงอมืองอเท้า ไม่

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต นี่เป็นหลักในการ ที่ให้ไปเทียบเคียงว่า ธรรมใดเป็นของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าบอกว่า เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน อย่ามาพูดกันว่า ธรรมนั้นเป็นของเรา อย่ามาพูดว่าธรรมนั้น ของพุทธศาสนา นี่เป็นหลักข้อหนึ่ง อาตมายืนยันให้ฟัง พระพุทธเจ้าไม่เคยที่จะสอน ให้คนเกียจคร้าน งอมืองอเท้า ทำให้บ้านเมืองล่มจม ไม่พัฒนา ไม่มี ถ้าเรียนถูก เป็นสัมมาทิฐิ แล้วเข้าใจถูกทาง เข้าใจดีแล้ว คนเจริญ คนเจริญ สังคมเจริญ มนุษย์เจริญ ไม่ใช่ว่า มานั่งกินนอนกิน ทอดหุ่ย เอาเปรียบมนุษย์มนา ขี้โกงเอา เรียกว่าเอาปัญญาก็มี ปัญญาหลอกๆ หลอกเอาเปรียบเขาได้ ไอ้ยังงั้น มันไม่ใช่คุณธรรมนะ คุณธรรมของศาสนานั้น สอนให้คนเสียสละ สอนให้คนเสียเปรียบ บอกตรงๆ สอนให้คนเสียเปรียบ ทำ ๑๐๐ เอา ๕ อีก ๙๕ ให้คนอื่นฟรีๆ นี่ศาสนาสอนยังงั้น ทำให้ได้มากๆ แล้วก็เจือจานแจกจ่าย เอ้า!

ตอนนี้ค่อยๆเข้าไปหาจาคะ ค่อยๆอธิบายต่อ เข้าไปหาจาคะ ผู้ใดเข้าใจศีลยังงี้แล้ว ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน เมื่อกี้อธิบายข้อสุดท้าย ของอบายมุขแล้ว ก็ขอสืบเนื่องเข้าไปหาข้อจาคะ

ผู้ใดทำได้มาก แล้วก็จาคะ จาคะแปลว่าบริจาคนี่แหละ แปลว่าให้ทาน แปลว่า ให้เกื้อกูลผู้อื่น เกิดมาเราได้จาคะเขามั่ง บริจาคคนอื่นเขาบ้างไหม ถามตนเอง อนุสสติ มีสติระลึกตามรู้ ที่ว่าเราเอง เคยมีจาคะบ้างไหม เคยทำทานบ้างไหม หรือมันจะเอาแต่ของเขา จะหาทางใช้เลศใช้เล่ห์ ใช้กลเม็ด ใช้ปัญญา จะต้องหากำไรกับคนอื่น ตัวจะได้มากๆๆ คิดหาแต่สร้างแต่ปัญญาแบบนี้ ปัญญาแบบนี้ ที่พระพุทธเจ้าเบื่อหน่าย ฟังดีๆนะ ปัญญาที่คิดแต่จะเอาเปรียบเขา หาทางที่จะได้กำไรแก่เขา ปัญญาแบบนี้ล่ะ ที่พระพุทธเจ้าเบื่อหน่าย มันไม่เห็นเข้าท่าเลย เรามามีปัญญาคิดว่า ทำยังไง เราจึงจะเสียสละ ให้คนอื่นได้มากๆ แหม! เท่เหลิอเกิน ถ้าใครพยายามจะมาสร้างสม ปัญญาอย่างนี้ เท่เหลือเกิน ทันสมัยเหลือเกิน นำคนเหลือเกิน แต่ถ้าว่า ทำยังไงเราจะได้เปรียบเขา ทำยังไง เราถึงจะกำไร โบร๊าณ โบราณ เก๊า เก่า คนสมัยไหนก็คิดอย่างนี้ และเดี๋ยวนี้ ก็ยังคิดอย่างนี้กันอยู่ เยอะแยะเต็มไปหมด ใช่มั้ย ทำยังไงเราจะได้เปรียบเขา ทำยังไงเราจะได้ลาภมากกว่าเขา ทำยังไง เราจะได้ยศมากกว่าเขา ใช่มั้ย เก่าแล้วละลุง เก่าจริงๆ ไม่ใช่ปัญญาอันทันสมัย แต่ปัญญาของคนประเสริฐ ปัญญาของคนทันสมัยนั่น ทำอย่างไร เราจะเสียสละ ทำอย่างไร เราจะเสียเปรียบ ให้แก่ผู้อื่นได้ เราจะไม่เอาเปรียบเขา

แต่ถ้าจะเสียเปรียบให้เขา ก็อย่าให้เขาเคยตัว อย่าให้เขาได้เปรียบ แล้วก็เลยกลายเป็น คนงอมืองอเท้า เลยกลายเป็นว่า เราเข้าไปทำคนให้คนๆนั้น เขากลายเป็นคนติดนิสัย เลยเป็น แบมือ แฮะๆ แงะๆ อย่างนี้ มันก็กลายเป็นคนเลว ทำให้คนในสังคมเสื่อมด้วย เราจะให้แก่เขาได้ต่อเมื่อ เขาเหมาะสม เช่น คนนี้ไม่มีกำลัง คนนี้ไม่มีปัญญา คนนี้มีภาระมาก มีลูกหลายคน คนนี้มีญาติโก โยติกาหลายคน คนนี้เจ็บป่วย ไม่มีเพียงพอ ให้ เกื้อกูล สนับสนุน คนนี้ทำดี ต้องการทุนไปทำดี เพื่อที่จะสร้างสรร ให้ได้ผลผลิตมากๆ จะได้เกิดแก่สังคม เอาไปเลย ไม่ใช่ว่าต้องกู้ด้วย เอา เชิญเอาไปทำ ทำแล้วก็ไปรังสรรค์ได้มากๆ แล้วเขาก็มีนโยบาย ที่จะแพร่ออกไป ให้มนุษย์ได้รับ ไม่ใช่ค้ากำไร ไม่ใช่กอบโกย แต่เป็นผู้ผลิต เขาขาดทุน ไม่ใช่ขาดทุน ไม่ได้ขาด ไม่ใช่ขาดกำไรนะ คือเขาไม่มีทุนเพียงพอ เรามีเอาไป อย่างงี้เป็นผู้ที่จาคะ เป็นผู้ที่บริจาคเกื้อกูล เป็นผู้ที่ช่วยเหลือ เฟือฟาย เอื้อเฟื้อ คุณได้ทำบ้างไหม อนุสสติระลึกตาม ทวนดู ตรวจดู โลกนี้ต้องการเหลือเกิน ต้องการคนทำทาน ต้องการคนบริจาค ต้องการคน ให้ๆๆๆ โลกสมัยไหน ก็ไม่ต้องการคนขี้โลภ เอาๆๆๆ เอาแต่จะเอาเปรียบ ไม่ต้องการ โลกไหนก็ไม่ต้องการ สมัยไหนก็ไม่ต้องการ ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งทันสมัยใหญ่เลย ไม่ต้องการคนเอาเปรียบ เพราะมันยิ่งมาก คนมันยิ่งมองไปทางไหน ก็มีตัวใครตัวมัน ฉันจะเอาท่าเดียว ของเราจะต้องเอาให้ได้ อันนี้ก็จะต้องหามาให้ได้ จะต้องกำไรให้ได้ จะต้องเอาเปรียบให้ได้ มีเล่ห์มีเหลี่ยมยังไง ใช้ตะพึดตะพือ มือเรายาว คว้าเอา คว้าเอา ใครมือสั้น อย่า ฉันหอบไว้หมดแล้ว อย่างนี้ ขาดความเป็นมนุษย์ที่ดี ขาดความประเสริฐ ศาสนาสอนให้ทุกคน ระลึกถึง จาคะ ระลึกถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แจกจ่าย เจือจาน

ถ้าใครได้ทำ คนนั้นเป็นคนมีบุญ คนที่เอาเปรียบเขาได้ คนนั้นเป็นคนมีบาป คนไหนที่สามารถ แจกจ่ายเจือจานเขาได้ คนนั้นเป็นคนมีบุญ ไม่ต้องไปคิดว่า บุญจะต้องไปคอยอยู่ชาติหน้า ไปเป็นอัตภาพ หลอกล่อด้วยเทวโลก หลอกล่อด้วยสวรรค์ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ใน นานาติตถิยสูตร นักบวชหรือนักพรตผู้ใด สอนคนโดย เอาสวรรค์มาล่อ เอาเทวโลกมาล่อ ผู้นั้นเป็นมารผู้ลามก ฟังดีๆนะ เปรียบประดุจดัง พรานล่าสัตว์ หรือคนดักปลา เพื่อเอาปลามาฆ่ากินฉะนั้น ในนานาติตถิยสูตร นิทานวรรค สังยุตนิกาย ท่านสอนไว้อย่างนี้นะ แต่เดี๋ยวนี้เยอะ เอาสวรรค์มาล่อ เอ้า! โยมจะได้สวรรค์ จะได้ขึ้นสวรรค์ จะได้มีเทวโลก วิมาน ๗ ชั้น ๘ ชั้น คนพูดอย่างนี้ คนเอาสวรรค์ มาล่อหลอกอย่างนี้ เรียกว่า มารผู้ลามก หรือมารผู้มีบาป เขาทำบาปให้แก่ตน โดยเฉพาะ เขายังไม่รู้เลยว่า สวรรค์นั้น นะจริง หรือว่าสวรรค์นั้นน่ะเป็นยังไง เขาอธิบายสวรรค์ก็ไม่เป็น แต่ไปหลับตา นึกว่าสวรรค์นี้ หลับตา แล้วก็ไปเจอสวรรค์ ไอ้ยังงั้นมัน มโนมยอัตตา ไอ้นั่นมันอัตภาพ จะได้ไปปั้นสร้างเอาไว้ แล้วเราก็ไปหลง นึกว่ามันมี อยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่หลับตาก็มีภาพ ก็เหมือนกับฝันนั่นแหละ เป็นนิมิต ปั้นภาพเอา ตามอุปาทานจิต สวรรค์ยังงั้น ไม่ใช่ของพุทธสอน สวรรค์ของพระพุทธเจ้านั้นคือ ภูมิจิตที่สูง ไม่ได้อยู่บนฟ้า นรกก็ไม่ได้อยู่ใต้ดิน แต่สภาพธรรมดานี่ ถ้าเราชี้ขึ้นไปยังงี้ เราก็ชี้ว่าสูง ถ้าเราชี้ยังงี้ เราก็ชี้ว่าต่ำ คนก็เลย อ๋อ! นรกมันก็ต่ำ มันต้องอยู่ใต้ดินลงไปโน่นแน่ะ ถ้าบอกว่าสูง อ๋อ! สวรรค์มันก็ขึ้นไปบ้างบน แท้จริงไม่ใช่ คำว่าสูงนี้หมายความว่า ภูมิจิตสูง เป็นคนที่มีประโยชน์ เป็นคนที่ จิตใจไม่มีโลภะ โทสะ เป็นคนที่เอื้อเฟื้อ เจือจาน แจกจ่ายได้ เป็นคนกล้า กล้าเสีย ไม่ใช่กล้าได้ ไอ้กล้าได้ไม่ต้องสอน จริงๆ กล้าได้ไม่ต้องสอน กล้าเสียนี่ซิ จะต้องสอนน่ะ กล้าเสียต้องสอน และต้องมีปัญญาเสียด้วย ไม่ใช่เสียเลอะๆ เทอะๆ เสียสุ่มสี่สุ่มห้า เสียไม่เข้าเรื่องเข้าราว

ยกตัวอย่างเช่นกล้าเสีย มีมีดมีปืนก็เอาไปให้ไอ้โจร ยังงี้แย่ซิ มีเหล้าแทนที่ จะเอาไปทำยา เอาไปให้คนขี้เหล้ากิน ติดหนักเข้าไปอีก อ้าว! พังซิยังงี้น่ะ มีฝิ่นก็เลยเอาไปให้คนติดฝิ่นสูบ อย่างนี้เป็นต้น แทนที่จะเอาไปเข้ายา มันเป็นประโยชน์เหมือนกัน บางอย่างทำยาได้ อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่าง ง่ายๆ เราจะต้องรู้ว่า เราจะเสียสละ ก็จะต้องมีปัญญาประกอบพร้อม ว่าควรจะเสียอย่างไร เพราะฉะนั้น การที่จะเสียสละ หรือ จาคะ หรือทาน หรือให้ เราระลึกดูว่า เราทำถูกต้อง มีประโยชน์จริง ถูกต้องจริงหรือเปล่า นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้ระลึกอย่างนี้

เอ้า! ทีนี้ก็ต่อเทวดา หลอกกันเหลือเกิน คำว่าเทวดานี่ เพราะเราไม่รู้จักเทวดา เทวดาคืออะไร เทวดาก็คือพวกคุณ ถ้าใครไปนึกว่า เทวดาอยู่บนฟ้า เทวดาลอยอยู่โน่นแน่ะ ตามยอดโบสถ์ ยอดวิหาร เทวดาอยู่บนยอดไม้ ลอย มีปีกติด มีเครื่องทรง อย่างที่เขาวาดรูปนั่นนะ เทวดาอย่างนั้นไม่มีน่ะ เทวดาอย่างนั้นเป็นเทวดาเก๊ๆ เทวดาสมมุติๆ เทวดาก็คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ได้ยกฐานะขึ้นสูง เช่น คุณมีจิตวิญญาณ แต่ก่อนนี้อำมหิต เจอสัตว์ไม่ได้ เจอสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ฆ่า นั่นมันไม่ใช่เทวดา ไอ้นั่นมันยักษ์ เป็นมาร นั่นจิตวิญญาณเรา ทีนี้จิตวิญญาณของเราเลิก เห็นด้วยปัญญา เข้าใจว่า โอ๊! เราอย่าอำมหิตเลย ศีล พระพุทธเจ้าก็สอนแล้ว เทวธรรมของพระพุทธเจ้ามีศีล อ้อ! เรามีเทวธรรม เรามีธรรมะของเทวดาเถอะ เราบริสุทธิ์ศีล เราละอายต่อบาป อย่าไปอำมหิตต่อกัน ทำได้จริง จิตของคุณ ยกฐานะสูงขึ้นจริง เป็นจริง จิตอย่างนี้เรียกว่า จิตอุบัติเทพ หรืออุบัติเทวดา เกิดเป็นเทวดาแล้ว สูงแล้ว ไม่ได้อยู่ไหน อยู่ที่เรา จิตวิญญาณของเรานี่ ยกฐานะสูงขึ้น สูงไม่ใช่ไปบนฟ้า ฟังดีๆนะ สูงคืออยู่ที่เรานี่ จิตมันสูง แต่ก่อนมันอำมหิต แม้จะเอาศีลมาวัด มันก็ยังต่ำๆเลวๆ ฆ่าตะพึด สัตว์ เดี๋ยวนี้เราไม่ฆ่าแล้ว ยกให้เลย ในชีวิตต่อไปนี้ เราเข้าใจดีแสนดี เราจะต้องมีเทวธรรม เราจะต้องมีศีล เราจะต้องเป็นผู้ที่เป็นเทวดา จิตวิญญาณของเรา แม้ข้อนี้ข้อหนึ่ง เราจะเป็นเทวดาให้ได้ เราจะไม่ฆ่าสัตว์ ข้อที่ ๑ เราจะเป็นเทวดาให้ได้ เราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราทำได้จริง จิตวิญญาณเราเห็น ด้วยปัญญา มีปัญญาธิคุณจริง และก็บริสุทธิ์จริง บริสุทธิ์ศีลข้อนี้ คุณเป็นเทวดาแล้ว เป็นแล้ว เห็นเทวดาให้จริง เห็นผีให้จริง ถ้าคุณไม่รู้ คุณก็ไปถูกหลอก มา อยากพบเทวดาหรือ มาจะเข้าทรงให้ เทวดามา เอ้า! กราบเสีย ประเดี๋ยวเทวดานี่ ไหนเอาบุหรี่มวนโตมาสูบซิ เอาเหล้ามา โอ้โฮ! เทวดาองค์นี้ เทพองค์นี้ เล่นเหล้าเป็นไหๆเลย กินได้ไม่เมา คุณไปกราบผีอยู่แท้ๆ มันหลอกกินเหล้า ดีไม่ดี เขาก็หลอกเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เข้าทรงเข้าเจ้า สั่นพริ้ว เอาไปกินหมด เทวดาอย่างนี้ เทวดาขี้เก๊ มีมากเหลือเกิน ในประเทศไทย เขากำลังมัวเมาหลงใหล เข้าเจ้าเข้าทรง ไอ้เจ้านั่นแหละว่าเทวดา เขาเรียกว่าเจ้า หรือเทวดา เทพเจ้า หลงเลอะเทอะ และหลอกลวง อะไรต่ออะไรกันมากมาย เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อย่าไปโง่ให้เขาหลอก

พระพุทธเจ้าสอนเรา เทวะมี ๓ ชนิด ๑.สมมุติเทพ ๒.อุบัติเทพ ๓.วิสุทธิเทพ เทวดามี ๓ อย่าง สมมุติเทพคืออย่างไร สมมุติเทพก็คือ เทวดาสมมุติ ไม่พ้นนรก เทวดาสมมุตินี่ไม่พ้นนรก เหมือนกับจิต วิญญาณของเรา ได้ขึ้นสวรรค์ เช่นมันอยากจะฆ่าสัตว์ แหม! มันเขี้ยวเหลือเกินสัตว์ตัวนี้ อยากฆ่า หรือบางคน จิตใจมันอำมหิตติดอยู่ตั้งนาน จะต้องฆ่าสัตว์มันถึงจะมัน อย่ากระนั้นเลย แบกปืนเข้าป่า นั่งห้าง เก้งมา กวางมา เสือมา แหม! มันมันหัวใจเหลือเกิน ยิ้ม ๓ ตลบ แล้วยิงเปรี้ยง ได้แล้ว ไปยืนเต๊ะท่า เอาเท้าเหยียบ นี่แน่ะฉันฆ่าได้ อะไรกัน นั่นน่ะมันไม่ใช่เทวดานะ นั่นใจอำมหิตมาก นี่ใจเขาเป็นอย่างนี้ นั่นน่ะจิตวิญญาณผีแท้ๆเลย เขานึกว่าเขาสบายใจนะ เขาได้ฆ่า แหม! คราวนี้ ฉันล้มเสือได้นี่ จิกเอาหัวมาติดบนบ้านเลย เสือตัวนี้ ฉันฆ่าด้วยฝีมือ แน่ะ คุยโม้แหลก อวดความชั่วร้าย อวดความเลวทรามของตัว นึกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า พอเวลาไปฆ่าแล้วจิตมันอร่อย จิตมันสนุก แหม! มันปลาบปลื้ม ยินดีเหลือเกินว่าเราเก่ง แต่แท้จริงจิตของตนเอง เป็นผีนรกด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ นึกว่าเราเป็นเทวดา อย่างนี้เป็นต้น ไอ้นี่เลว ไอ้นี่ไม่ใช่เทวดาแท้ด้วย

ทีนี้เทวดาที่หลงเป็นสมมุติ คือ เราอยากจะกินของอร่อย ได้ของอร่อยมากิน แหม! ชื่นใจ สุขจริงๆ ขึ้นสวรรค์เลย ได้กินของอร่อย สบายใจเหลือเกิน นึกว่าเราได้สุขสม นึกว่าเราได้เสวยสวรรค์ แต่ประเดี๋ยวหิวอีก อยากอีก ลงนรกใหม่น่ะ เรื่องอย่างเก่านี่แหละ เคยกินอย่างเก่านี่แหละ อันไหนเคยติดล่ะ ติดแล้วพอได้เสพสมสุขสม ก็นึกว่าได้ขึ้นสวรรค์ แต่เสร็จแล้วไม่ได้เลิก เสร็จแล้ว ก็ไปอยากใหม่ ลงนรก ขึ้นสวรรค์ ลงนรก ขึ้นสวรรค์ หัวหกคะเมนตีลังกา เป็นสังสารวัฏอยู่อย่างนั้น สุขแบบนี้เป็นสุขเก๊ เป็นเทวดาเก๊ หรือเรียกว่าเทวดาสมมุติ หรือเรียกว่าสมมุติเทพ ไม่มีทางพ้นทุกข์พ้นสุข ไม่มีทางนิพพาน

ถ้าผู้ใดจะเรียนรู้สัจธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็จะต้องรู้ว่า เราหลงติดสุข เสพสุขเสพทุกข์แบบนี้ มันเป็นกิเลส ต้องเลิก อยากกินของอร่อย ต้องลด ไม่กิน นอกจากไม่กินแล้ว วิปัสสนาด้วย พิจารณาว่า ไอ้เรื่องรสอร่อยนี่ มันเป็นอัตตา มันเป็นอัตภาพ เป็นอัตตา มันเหมือนมีตัวตนจริง ถ้าได้กินแล้ว สมใจแล้ว มันเหมือนมีตัวอร่อยจริงๆ เปล่ามันเก๊ มันไม่จริงหรอก ไปศึกษาดีๆ ไม่ใช่ ของปลอม ของหลอก อาตมาก็เคยเหมือนญาติโยม เคยหลงอร่อย แต่ก่อนนี้ แหม! เหล้านี้นะ ชงโซดาให้มัน ขนาดสัก เหมือนเบียร์เย็นๆนะ แหม! แก้วแรก คุณเอ๊ย! ดื่มอร่อยเหลือเกินน่ะ แต่ก่อนนี้ อาตมาเคยหลง เดี๋ยวนี้มันไม่มีหรอก ตัวอร่อยมันไม่มีเลย หายไปไหนไม่รู้ ตาย เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ก่อนนี้ มันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นรสจริงๆนะ มันเป็นรส ภาษาบาลีเรียกว่า อัสสาทะ รสนิยมแบบโลกๆ รสอร่อย อัสสาทะ นี่แหละตัวอัตตา ถ้าเรามาศึกษาดีๆ จนกระทั่งทลาย ตัวอัตตานี้หมด รสนี้ก็หาย เฉยๆ เห็นเหล้าเขาชงก็ยังงั้น เฉยๆ มันไม่ได้คิดว่า อร่อยอยู่ตรงไหน มันไม่ได้คิด ไม่ได้อร่อยเอร่ยอะไร ให้มาแตะมาชิม ก็ไม่ได้อร่อย อาตมาแต่ก่อน กินพริกเก่ง พริกขี้หนูยังงี้ ถ้ากินแล้วละก็ มีพริกขี้หนูแกล้ม รสอร่อย ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าได้กิน แล้ว แหม! กลิ่นก็ออกจมูกฉุย แสบ ที่จริงแสบนะ มันไม่ใช่อะไรนะ พริกนี่ พริกนี่เผ็ด อร่อย แต่ก่อนนี้รู้เลยนะว่า ยังจำได้อยู่ว่า รสอร่อยนั้นเป็นยังไง จำได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี กินพริกทีไร มันไม่ใช่แซบ มันแสบ เดี๋ยวนี้กินพริกทีไร มันแสบ เผ็ด ทนไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น ไม่กิน ทุกวันนี้พริก ญาติโยมเขาเอามาประเคน มาถวาย ก็เสียไม่ได้ ก็กินนิดหน่อย เผ็ด แต่ก่อนนี้ อื๋อ! ตั้งหน้า ตั้งตาฝึก กินเสียเก่งขึ้นเก่งขึ้น มันยิ่งเผ็ดจัดขึ้น ยิ่งกินเก่งขึ้น แต่ก่อน เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วหลงว่า มันอร่อยนะ หลงจริงๆ

นี่แหละเขาเรียกอัตตา นึกว่ามันเป็นจริง ที่จริงมันมายา เป็นอัตตา ถ้าผู้ใดล้างอัตตานี้ได้ ไม่มีรสอร่อยนี้ ดับเป็นวิมุติ วิมุติรส โลกียรสอย่างนี้หายไป เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนอันนี้แล้ว ฟังดีๆนะนี่ อาตมาอธิบายธรรมะ ถึงเรื่องอัตตา อนัตตา ถึงเรื่องธรรมะสูงนะ ถึงสภาพที่เป็น สภาพนิพพาน ถ้าระดับอย่างนี้ ได้อย่างนี้ล่ะหมดนะ ฐานของอะไรแค่ไหนก็ตาม แต่ก่อนอาตมาเคยติดการพนัน เล่นการพนัน และเล่นหนักๆด้วยนะ เล่นต้องเล่นเผ ต้องมีเงินกองกัน ตีกัน เกกัน เป็น มันอร่อย เดี๋ยวนี้รสอร่อยที่เล่นอย่างนั้น นึกสนุกอย่างนั้นไม่มีเลย มันหายไป มันเข้าใจด้วยปัญญา แล้วมันก็รู้ว่า เราถูกหลอก แล้วเราก็เห็นว่า มันไม่เจริญอะไรเลย ในมนุษย์ที่ไปเก่งอย่างนั้น อวดเขา ก็อย่างนั้นเอง มันก็ไม่เข้าท่าอะไร เข้าใจจริงๆนะ รสอันนี้ไม่มี หายแล้ว เรียกว่า อนัตตา สูญ หรือ สุญตา ไม่มีรสชาติอันนี้ ฟังดีๆนะ ต้องรู้สุญตา และอนัตตาด้วย

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่จะไปเป็นผู้ที่จะทำเป็น ทำตนให้จิตสูงขึ้น ก็คือจะต้องพยายามล้าง จิตอะไรที่เราติด เป็นรสเป็นชาติ ต้องลด ลดลง ขณะใด ผู้ใดทำให้จิตจางคลาย หรือลดรสชาติ ที่เราติดนี้ลงได้ เราเรียกว่า อุบัติเทพ หรือจิตเป็นเทวดาที่สูงขึ้น ฐานจิตสูงขึ้น ลดรสชาติ อันนี้ลงไป เรื่อยๆๆๆ สูงขึ้นเรื่อย จนลดได้หมด ไม่มีรสชาตินั้น ไม่ติดรสนั้นอีก เข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง ปล่อยได้วางได้ อยู่เหนือรสอันนี้ รสนี้จะมายั่วยวน จะมาทำให้เรา หมุนกลับไปเสพอีก ไม่ได้เด็ดขาด เรียกว่า วิสุทธิเทพ เรียกว่าเทวดาแท้ เรียกว่าเป็นผู้ที่ถึง อรหัตผล ถึงวิมุติแท้ เป็นสมุจเฉทวิมุติ เป็นอรหัตคุณ อาตมา ยกตัวอย่างแค่ รสอร่อย รสทางลิ้น หรือแม้แต่รสฆ่าสัตว์ แต่ก่อนเคยมันเขี้ยว ไปฆ่าสัตว์ เดี๋ยวนี้เห็นสัตว์ มีเมตตา แทนที่จะฆ่า ไม่ กลับช่วยเหลือเฟือฟายหมด จิตใจที่จะอยากฆ่า ไม่มีเลย แม้มันจะทำร้ายเรา เราก็ยังสงสารมันด้วย เพราะเรารู้ว่า มันเป็นสัตว์ นี่อย่างนี้เป็นต้น จิตมันเป็น เป็นจริงนะ จิตมันเกิดอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่แกล้งเอานะ เป็นจริงเลย เมื่อไหร่ๆ มันก็รู้ด้วยปัญญา แล้วมันก็กลับ จิตมันเปลี่ยนไปกับแต่ก่อน นี่เรียกว่า จิตของเราเกิดเป็นเทพ เกิดเป็นเทวดา แต่ก่อนจิตเราเป็นผี อำมหิตโหดร้าย หรือจิตเป็นคนหลง เป็นจิตเปรต เป็นจิตผีนรก ติด เสพย์ติดอย่างนี้เป็นจิตผี แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนจิตผี เป็นจิตพระแล้ว เป็นเทวดาแล้ว สูงขึ้นแล้ว จิตสูง เรียกว่าจิตสูงขึ้น จิตขึ้นสวรรค์ที่แท้ ไม่ใช่สวรรค์ลวงนะ ไอ้สวรรค์เสพรสอร่อย ได้สุขสมใจนั้น สวรรค์ลวง ไม่พ้นนรก ได้เสพแล้วก็ประเดี๋ยว ก็ตกนรกอีก ประเดี๋ยวก็เสพใหม่ นั่นเรียกว่า สมมุติเทพ สมมุติเทวดา

แต่ถ้าผู้ใดลดให้ได้ รู้จักสิ่งที่เราเสพติด แล้วก็ลดลงๆ จิตของเราไม่เสพ ไม่อยากอร่อยอีก ไม่อยากจะเสพสมสุขสม ไม่อยากที่จะสนุกสนาน ด้วยเป็นรสชาติแบบนี้ และได้พยายาม มีหลักการประพฤติ มีกรรมฐานประพฤติ ทำให้เราลด ละ จาง คลาย หน่าย ปลดปล่อยออกมาได้ นั่นคือ เรากำลังเกิด จิตของเรา จิตวิญญาณของเรากำลังสูงขึ้น อุบัติเทพขึ้นเกิดได้ ถ้ามันยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่วิสุทธิ ยังไม่วิมุติแท้เป็นสมุจเฉท ก็ยังเป็นอุบัติเทพที่สูงขึ้น เกิดสูงขึ้นเรื่อย เป็นเทวดาสูงขึ้นเรื่อย วิสุทธิเมื่อไหร่ บริบูรณ์เมื่อไหร่ เป็นบริสุทธิคุณเมื่อไหร่ ในเหตุปัจจัยอะไรก็ตาม เรื่องอะไรก็ตาม ที่เราติด เราบริสุทธิ์ได้ เมื่อไหร่เมื่อนั้น เราก็เป็นเทวดาที่บริบูรณ์ เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ในเรื่องนั้นนะ เป็นอรหัตคุณ ในเรื่องนั้นเท่านั้น หลายๆเรื่อง ก็เป็นอรหันต์หลายๆอัน มีอรหัตคุณ หลายๆอย่าง เหตุเท่าไหร่ ปัจจัยเท่าไหร่ จึงเป็นโสดา เหตุเท่าไหร่ ปัจจัยเท่าไหร่ จึงเป็นสกิทา ท่านก็มี อาตมาแจกแจงวันนี้ คงไม่ไหว คงไม่หมด แต่การทำจิตให้เป็นเทวดา ทำอย่างนี้ อย่าไปหลงเขาหลอกว่า นั่นน่ะ เทพองค์นั้น เทพองค์นี้ เฝ้าอยู่ศาลเจ้านั้น เฝ้าอยู่ศาลเจ้านี้ อาตมาจะเปิดเผย ให้คุณฟัง

อาตมานี่แหละ จอมตั้งศาลเจ้า สมัยก่อนตั้งแต่ เป็นฆราวาส เดี๋ยวนี้ขอสารภาพบาป แต่ก่อนมันไม่รู้ มันโง่ ไปเรียนไสยศาสตร์ ไปเล่นเรื่องอะไรๆนี่ ตั้งศาล เชิญเจ้า เข้าทรงเข้าผี โอ๊ย! ต่อสู้กันเละมา แต่ก่อนนี้ เลอะเทอะ เดี๋ยวนี้วางมือหมดแล้ว รู้เท่าทัน จึงได้บอกพวกญาติโยม อย่าให้ไปหลง อย่าไปวุ่น มันไม่มี ต้นโพธิ์ใหญ่ ต้นตะเคียนโต ต้นศาลเจ้าใหญ่ ศาลเจ้าโต ไม่มีหรอก มันไม่มีจิตวิญญาณ ตลกเตลิกอะไร อยู่ในนั้นหรอก จิตวิญญาณอยู่ที่คน และจะเป็นเทพ ต้องเป็นอย่างที่ อาตมาอธิบาย สูญก็ต้องเป็นอย่างนี้ วิสุทธิ บริบูรณ์ บริสุทธิ์ ก็ต้องเป็นอย่างที่อาตมาเล่า แล้วเราทำได้จริงๆด้วย ใครทำได้สิ คนนั้นเป็นคนประเสริฐ อยู่กับโลกเขาสบายเลยโยม เราล้างอะไร เราติด เรายึดอะไร ได้แล้วแหม! มันสบาย ติดอบายมุข ล้างอบายมุขได้หมด โอ๊! เป็นพระโสดา แค่นี้หรือ แค่นี้เราก็จะเห็นอานิสงส์ว่า โอ้โฮ! เราเจริญขนาดนี้ ไม่ต้องไปเทียวไล้เทียวขื่อ เพื่อนมาเคาะประตู อาตมาเคย ทำงานมาก็เหนื่อยๆ กลับมาถึงบ้านสองยาม อาบน้ำ อาบท่า จะเค้งลงนอนแล้ว เพื่อนมากดออดแล้ว เอ๊! ใครมา โผล่หน้าไปดู นั่งยองๆ แก้มือๆ ไปนั่งเล่นไพ่อีกแล้ว ไม่ได้นอน เอ๊า! ทรมาน แต่ก่อนไม่ได้คิดอย่างนี้หรอก มันเขี้ยว ไม่นอนก็ไม่นอน เล่นไพ่มันมันดี และสุขภาพร่างกาย ก็เสีย บางทีบางคืน มันไม่มีกำลัง กำเรี่ยว ต้องหนีงาน หลบหนีมานอน เพราะมันทำไม่ได้น่ะ มันเพลีย ไปนั่งเล่นไพ่กันทั้งคืน ยังงี้ หลายคืนติดกันด้วย อย่างนี้เป็นต้น เลวทรามต่ำช้าแต่ก่อนนี้ นี่อาตมา ก็เล่าสู่ฟัง มันโง่

เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้หรอก แต่ก่อน ที่อาตมาเพิ่งปฏิบัติธรรม อาตมาเลิกติดอบายได้ โอ้โฮ! เจริญ ไม่ต้องเที่ยวไนท์คลับ ไม่ต้องเที่ยวกินเหล้ากินยา ไม่ต้องไปเที่ยวได้วุ่นวาย เรื่องอะไรพวกนี้ เงินรายได้ ก็เท่าเก่านั่นแหละ แต่เงินเหลือ แต่ก่อนนี้เงินรายได้เท่านี้ ไม่เหลือ ฉิบหายหมด พระพุทธเจ้าท่าน จึงบอกว่า ทางแห่งความฉิบหาย ฉิบหายจริงๆเลย อบายมุขนี่ ปิดอบายมุขท่าเดียว เศรษฐกิจดีขึ้น เป็นกอง ใครก็ตาม ตรวจตัวเอง เรามีอบายมุขข้อใด ๑.การพนัน ๒.สิ่งเสพย์ติด ๓.มหรสพ การละเล่น ๔.ไปเที่ยวกลางคืน ๕.คบมิตรชั่ว ๖.เกียจคร้าน เลิก ปิดให้ได้จริงๆ เห็นด้วยปัญญา และเลิกให้เด็ดขาด จิตสมุจเฉทเลย ไม่ต้องเอา แค่นี้ก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ฟังดีๆนะ มีพระบางองค์ พระหนุ่ม ไม่นานไม่กี่วันนี่ ที่นี่ล่ะ จัดงานที่วัดมหาธาตุฯ เรียกอาตมาไปคุยด้วย มานี่แน่ะมาคุยหน่อยซิ ไหนเล่าซิ คุณธรรมเป็นยังไงโสดาคุณ ไม่เอานะ ไอ้ที่โม้ๆขี้เก๊ โสดาบันนี่แค่ปิดอบายมุข แล้วเป็นโสดาบันไม่เอานะ ต้องเอาโสดาบันที่ถูกต้อง เขาว่า เอ๊ะ! ก็นี่มันถูกต้องแล้ว ไอ้อย่างงั้นไม่ถูกต้อง คุณว่าถูกต้องยังไง เขาก็ตอบไม่ได้ อาตมาก็ว่า นี่ล่ะถูกแล้ว

ฐานต้นก็ปิดอบายมุขนี่แหละ เป็นโสดาบัน มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เรียกว่า โสดาปัตติยังคะ ให้บริบูรณ์ซิ โยมนี่ล่ะ เป็นโสดาบันได้ คิดดูซิ ถ้าเผื่อว่าพวกเรา ที่นั่งอยู่ในที่นี้ หรือว่านอกจาก ในโบสถ์นี้ ออกไปข้างนอก เป็นพระโสดา ไม่มีอบายมุข คุณจะเจริญเท่าไหร่ เศรษฐกิจจะดีเท่าไหร่ ไปมัวแก้เศรษฐกิจอยู่ที่ไหน ไหนๆก็ไม่รู้ แต่บุคคลยังผลาญพร่า หลงโลก หลงโลกียะ หลงกามคุณ หลงอบายมุข โดยเฉพาะอบายมุข เต็มบ้านเต็มเมือง แก้ให้ตายมันก็ไม่ตก เศรษฐกิจ จริงๆ แก้มนุษย์ซิ ปราบอบายมุข แม้แต่ทางการ หรือแม้แต่ผู้ที่ มีอำนาจอะไรก็หยุด อบายมุขต้องลดๆๆๆ ลดลงไป มีมาตรการชั้นดี ที่จะลดลงไปเรื่อยๆ แล้วก็พยายาม ที่จะให้คนเข้าหาธรรมะ ปฏิบัติตนให้เข้าใจจริงๆ ให้มีครูสอน ให้มีพระสอน ให้มีผู้ที่รู้ศีลธรรมสอน แล้วก็ละเลิกอบายมุขมาได้ เศรษฐกิจจะดีขึ้นทันตา อาตมากล้ารับรอง จริงๆ เศรษฐกิจจะดีขึ้นทันตา โดยเฉพาะศีล ๕ ก็บริสุทธิ์ เป็นพระโสดากันจริงๆ สังคมจะดีขึ้น อย่างมหาศาล ไม่ต้องโกหกกัน ไม่ต้องโกง อำมหิต โหดร้าย ไม่ต้องลักทรัพย์ขโมยกัน ก็ลองนึกวาดภาพดูซิ สังคมจะดีขนาดไหน เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราไม่ต้องรอรั้ง ไม่ต้องให้คนอื่น มาบอกเรา เราทำของเรา ให้เป็นพระโสดาให้ได้ อันนี้คือ เทวตานุสสติ

อาตมาได้ไล่คุณของเทวดาให้ฟัง คุณระลึกตาม คุณมีเทวดา ความเป็นเทวดา แล้วหรือยัง มีเท่าไหร่ ระลึกดู ถ้าผู้ใดระลึกได้และเป็นจริง ผู้นั้นก็เป็นเทวดาจริง ผู้ใดระลึกไม่ได้ ระลึกแล้ว อู๊ย! เราไม่ได้เป็นเทวดาเลย สักข้อเดียว เราก็ไม่ได้เป็นเทวดาจริง นี้คือคุณธรรม

เอา เวลาได้หมดลง อาตมาได้แสดง ศีลก็ได้แจกแจงสู่ฟัง ให้คุณได้ระลึกตาม จาคะก็ได้แจกแจง ไปพอสมควร แต่ไม่ได้แสดงจาคะ ละเอียดกว่านั้น ที่จริงจาคะหรือ ทานนี่ แสดงทานหลายๆอย่าง หลายๆแบบ ก็พูดได้ และละเอียดลออ แต่อาตมาเคยมาพูดที่นี่ เคยพูดถึงทานมัย เคยพูดถึงศีลมัย เคยพูดถึงภาวนามัย ต่างๆมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้ย้ำซ้ำลงไป มาย้ำที่เทวดา มากหน่อย เพราะว่าถูกหลอกมามากแล้ว

สำหรับวันนี้ก็คิดว่าจะสมควร ตามโอกาส ที่เราได้พบกัน และก็ได้แสดงธรรม อะไรเป็นสัจธรรม อะไรที่อาตมารู้ และคิดว่าถูกต้อง และรู้ว่าดี ก็เอามาเปิดเผย เอามาชี้แนะ ให้เข้าใจกัน ให้ทุกคนได้ปฏิบัติ ให้ตรง ให้ตามสิ่งที่มันดีนั้น เมื่อเข้าใจ เอาไปประพฤติ เอาไปกระทำให้มันตรง ให้มันได้ ได้แก่ตัวผู้ที่ปฏิบัติเอง ใครทำดี ดี ใครทำชั่ว ชั่ว ทำเถิด ทำให้บริสุทธิ์ จนกระทั่งถึงวิมุติ จนกระทั่ง ถึงจิตบริสุทธิ์ สะอาด นั่นแหละเป็นที่ หมายของศาสนา

สำหรับวันนี้ก็ขอเอวังลง ด้วยประการฉะนี้


 

ที่ท่านทั้งหลายได้สดับจบลงนี้ แสดงโดยพระเดชพระคุณ ท่านพระอาจารย์ โพธิรักษ์ รักพงษ์ แห่งพุทธสถานสันติอโศก คลองกุ่ม บางกะปิ กรุงเทพมหานคร เป็นองค์แสดง และแสดงถวาย เป็นพุทธบูชาจริงๆ คือเงินบูชาธรรมกัณฑ์เทศน์ ที่ท่านทั้งหลาย ได้บริจาคไว้ที่ยอดเทียนนั้น ท่านยกถวาย เป็นพุทธบูชา แด่องค์หลวงพ่อ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เอกอัครมหาปูชนียวัตถุ สำคัญที่สุด และศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ดุจดวงใจ ของประเทศชาติบ้านเมือง เป็นเงินสำหรับ บำรุงพระอาราม ท่านโพธิรักษ์นี้ นับว่าการประพฤติ ปฏิบัติของท่าน เข้าขั้นพระอริยบุคคล เพราะว่าท่าน ปิดอบายภูมิได้แล้ว มีแต่จะไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ มรรค ผล พระปรินิพพาน ในอนาคตกาล ภายภาคหน้าเป็นแน่แท้ จึงขออนุโมทนาสาธุการ
(เสร็จแล้วอวยพร เป็นภาษาบาลี)


 

ถอดโดย พรทิพย์ วิไลลักษณ์ และ ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๑๗ ต.ค. ๒๕
ตรวจทาน ๑ โดย สม. ปราณี และ วุฒิศักดิ์ วราห์สิน
๒๘ ก.ย. ๒๗, ๓๑ เม.ย. ๓๑
พิมพ์ และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๑ ธ.ค. ๒๕๓๒