ประกายธรรม ๓ ใครแปลคำว่า
"คน" คือ "ผู้ประเสริฐ" เมื่อมีคนพูดว่า "คน" คือผู้ประเสริฐ และนับวันจะเจริญก้าวหน้าขึ้น ทุกเมื่อเชื่อวัน นั่นจงทราบไว้เถิดว่า "คน" ผู้พูดดังนั้น คือเขากำลังพูด ประโยคเดียวกัน กับประโยคที่ว่า "กิเลส" คือ ผู้ประเสริฐ ยิ่งกว่าสัตวโลกใดๆ และ นับวันจะหลอกคน ผู้หลงตน ว่าประเสริฐกว่าใคร ให้หลงต่อไปว่า ตัวเองเจริญ ตัวเองก้าวหน้า ที่แท้คือ ทำตามที่ "กิเลส" สั่งให้ทำ หรือ"กิเลส" ใช้ "คน" ให้เป็นทาสสร้าง และ ก่อความเจริญนั้น ให้แก่กิเลสแท้ๆ นั่นเอง ที่ข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ หลายคนคงคิดขึ้นมาทันทีว่า เออ เจ้าหมอนี่อุตริคิด ช่างตีคารมดีจริง ถ้าผู้ใดคิดดังนั้น ก็จงขอให้ "รับรู้" ไว้เถิดว่า คุณคือผู้เป็นทาสของ "กิเลส" ยู่อย่างแท้ ยังไม่มี "ปัญญา" เลย เพราะคุณคือ "คน" และคิดได้แค่ ความเป็น "คน" ที่ให้ "ปัญญา" แก่คุณคิด แล้วคุณจะหนีไม่พ้นความเป็น "คน" และ หนีไม่พ้น "กามภูมิ" อันคือ โลกของคน หรือโลกของกามคุณ ๕ หรือ "โลกียภูมิ" นี้ ไปได้เลย จนกว่า โลกจะแตก ที่แท้ข้าพเจ้ากล่าวนั้น ไม่ใช่แสร้งตีคารม หรืออุตริคิดอันใด นั่นเป็นความจริง นั่นเป็นความแท้จริง เป็นสัจธรรม หรือปรมัตถธรรม "คน" คือ ผู้เป็นทาสของ"กิเลส" โดยแท้จริง ผู้พ้นความเป็นทาส ของกิเลส ไปได้เรื่อยๆ เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่า "พระอริยเจ้า" เลื่อนชั้น ตามลำดับ จนเป็นผู้ "พ้นทุกข์" ดังนั้น พระพุทธองค์ จึงทรงยืนยันเหลือเกินว่า ผู้ยังได้ชื่อว่า "คน" อยู่ตราบใด คือผู้ยังเต็มไปด้วย "ทุกข์" อยู่ตราบนั้น แต่ถึงกระนั้น "คน" ก็ยังหามองเห็น "ทุกข์" ไม่ และยังยอมเป็นทาส ของกิเลสอยู่ อย่างยินดีปรีดา ไม่คิดก้าวหน้า สลัดความเป็นทาส ออกให้พ้นตนสักที และรู้หรือไม่ว่า ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งตกเป็นทาส ของกิเลส อย่างไม่ไถ่ถอน ไม่ขึ้น ยิ่งขึ้นทุกวันๆ ไม่รู้เพราะอะไร? "คน" จึงยินยอมถึงขนาดนั้น ทั้งๆที่ไม่มีใครรัก ความเป็น "ทาส" หรือว่า จะเหมือนมนุษย์ผู้ร่ำรวย มนุษย์ผู้มีศักดิ์มียศ ทั้งหลาย ที่ยังมี "คน" ผู้ยังไม่มี สิ่งเหล่านั้น เข้าไป พินอบพิเทา ขอเป็นผู้อยู่ใต้อาณัติ อย่างยินดีปรีดา คงจะเหมือนกัน ดังนี้แน่ๆ แต่ถึงยังงั้น "คน" ผู้ที่เข้าไป พินอบพิเทา รับใช้ เป็นทาส เป็นผู้ออกเรี่ยว ออกแรง ตามคำสั่งของ "นาย"เหล่านั้น ก็ยังมี "คน" ผู้คิดตีตน ออกจากการเป็นทาส ตีตนออกจาก การเป็นผู้คอยออกเรี่ยว ออกแรง ทำนั่นนี่ อันเป็นการ "ก่อ" ความเจริญให้ "นาย" โดยตรง ตามที่นายสั่ง และเมื่อ "คน" ผู้นั้นตีตนออกไปได้ พ้นความเป็น "ทาส" ออกไปได้ เขาก็จะ กลายเป็น "นาย" ขึ้นมาทันที แต่ทำไม คนไม่คิดให้ได้อย่างนี้ คงจะเหมือนกันยังไงยังงั้นแน่ๆ ลองคิดดูบ้างก็ได้ ดังนั้น "คน" ทั้งหลาย จงรู้ไว้เถิดว่า ผู้เจริญ ผู้ก้าวหน้า อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวันนี้นั้น ไม่ใช่"คน" แต่เป็น "กิเลส" ต่างหาก ที่เจริญยิ่งกว่า ก้าวหน้ายิ่งกว่า และได้ชื่อว่าเป็น "นาย"ของ "คน" อย่างแท้จริง ตราบใด เรายังรู้สึกว่า เรายังมี "กิเลส" นั่นแหละ จงทราบไว้เถิดว่า เรายังมี "นาย" เหนือหัว เรายังยินดีเป็นทาสของ "กิเลส" อยู่อย่าง พินอบพิเทา ยังไม่ยอมคิดถือดี ยังไม่ยอม คิดแข็งข้อ ยังไม่ยอมคิดตีตน หรือพูดให้ถูก คือตีตัวให้พ้น จากความเป็นทาส ของกิเลส ผู้ที่มีปัญญา ชั้นเรียกได้ว่า "ปัญญาชน" นั่นแหละ คือ ผู้น่าจะแข็งข้อ ตีตนออกจาก ความเป็นทาส ของกิเลสเสียที อย่ายินดีอยู่กับ "อาหาร" ที่ "กิเลส" หยิบยื่นให้ หรือ คอยจ่ายเป็น "เบี้ยจ้าง" อยู่นักเลย เราจะไม่มีวันพ้นจากตำแหน่ง "ทาส" ไปได้เลย ตราบฟ้าแตก ดินละลาย พูดถึง "อาหาร" ที่ "กิเลส" หยิบยื่นให้ หรือ "เบี้ยจ้าง ที่ "กิเลส" จ่ายให้แก่ "คน" อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวันนี้นั้น "คน" ผู้ไม่สามารถ มองเห็น "รูป" หรือ ตัวตนของ "กิเลส" ก็ย่อมจะมองไม่เห็น "เบี้ยจ้าง" หรือ "อาหาร" ที่ว่านั้นแน่ๆ จึงถูกกิเลส ผู้มีชีวิตอยู่อย่างสง่า ผ่าเผยในโลก และยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก นอกจาก "พระอริยเจ้า" เท่านั้น ที่เก่งกว่า "กิเลส" และจะเป็น ผู้ทำลาย หรือฆ่า"กิเลส" ในโลกนี้ ให้ลดจำนวนลง ไม่เช่นนั้น โลกนี้ ก็จะต้องถูก "กิเลส" นี่แหละปกครอง และกิเลส มันก็จะบงการทุกอย่าง เอาตามอำเภอใจ โลกก็จะแตก พินาศเร็วขึ้น กว่าที่ควรไปอีก แต่ถึงยังงั้น โลกมันก็ยังค่อยๆ สลายลงไปเรื่อยๆล่ะ ก็ไม่เพราะอะไรหรอก ก็เพราะเจ้า "กิเลส" นี่แหละ คือ ตัวทำลาย อันแท้จริง แต่ถึงยังไง "ความสมดุล" ของโลก หรือของ "สรรพสิ่ง" ในสากลจักรวาล จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยู่แต่พวกเดียว หรือฝ่ายเดียวไม่ได้ โลกจึงจะไม่ขาด "สมดุล" จึงจะหมุน อยู่ได้ อย่างคล่องตัว แต่ก็ค่อยๆทรุดลง ทุกวินาทีละ ถ้าโลกเหลือแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงสิ่งเดียวในโลก โลกก็จะหมุน ต่อไปไม่ได้ โลกจะหยุดหมุน และจะแตกสลายลงทันที นี่คือความแท้จริง ที่จริงที่สุด ทีนี้ "อาหาร" อันเป็น "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" จ่ายแจกหลอกล่อตนอยู่นั้น ก็คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน เหมือนๆ กันกับตัว "นาย" (กิเลส) ผู้ให้นั่นเอง เพราะเมื่อ ผู้เป็นเจ้าของค่าจ้าง ไม่มีรูปร่าง ตัวตน ตัว "เบี้ยจ้าง" นั้นก็ย่อมไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตนด้วย แต่ผู้เป็นลูกจ้าง หรือผู้เป็นผู้รับใช้ หรือเรียกให้หนำใจว่า ผู้เป็น "ขี้ข้า" ก็ยังยินดีใฝ่ ไขว่คว้าต้องการ ปรารถนาสิ่งนั้นมาให้ตนอยู่ "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" จ่ายให้แก่ "คน" ก็คือ สิ่งที่เป็น ลมๆแล้งๆ ไม่มีตัวตน อันต้องเรียกคำนำหน้า สิ่งเหล่านั้น ด้วยคำว่า "ความ" ทั้งหลายนั่นเอง เพราะมัน เป็นลมจริงๆ มันเป็นของเก๊ เป็นของไม่มีตัวตน จึงได้เรียกสิ่งเหล่านั้นว่า "ความ..." นำหน้าทุกอย่างไป นึกออกสักสิ่ง บ้างไหมล่ะ? ถ้านึกไม่ออก ข้าพเจ้าจะบอกให้ ก็มีเช่น ความโก้ ความสวย ความหรูหรา ความอร่อย ความไพเราะ ความหอมหวาน ความซาบซ่านถูกใจ ความสนุกเพลิดเพลิน ความมีชื่อเสียง ความมีเกียรติ ความสะดวก ความสบาย ความสุข ความสมใจทั้งปวง แม้บางที ความทุกข์ ความเจ็บปวด ความเผ็ดร้อน ความดุเดือด ความทรมาน (นอกจาก ความสงบ อันแท้จริง) ก็ยังเป็น "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" นำมาใช้จับจ่ายกับ "คน" บางคนที่เขาชอบ เขารัก สิ่งเหล่านั้นด้วยเลย นี่แหละ "สิ่งที่เป็นของจริง" นี่แหละ "สิ่งที่เป็นของแท้" นี่แหละ คือสิ่งที่ผู้มี "ปัญญา" อันเรียกว่า "ปัญญาชน" ควรคิด ควรอ่าน ควรตรอง ควรมองให้เห็น ควรคลี่คลายให้ออก ถ้าใครคิดเห็นได้ว่า เจ้าพวก "ความ..." อะไรต่างๆ นั้น มันเป็น "เบี้ยจ้าง" จอมปลอม ที่เป็นแค่ลมๆแล้งๆ ที่ "กิเลส" มัน "ปั้น" มันคิดสร้าง ขึ้นมาหลอกล่อ "คน" ให้หลง ให้เพ้อพก ยินดี ปรารถนา เมื่อ "คน" เห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งน่าปรารถนา "คน" ก็ดิ้นรน ใฝ่ ไขว่คว้า แม้เหนื่อย แม้หนัก แม้ยาก แม้ทุกข์ แม้ทรมานอย่างไร ก็ยอมทั้งสิ้น เพื่อจะได้มาซึ่ง "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" สร้างขึ้นมาหลอก นั้นไม่ได้ ถ้าใครผู้ใด ยังมองเห็น สิ่งที่เรียกว่า "ความ..." นำหน้าต่างๆ นั้น เป็นของมี "ค่า" เป็นสิ่งสูงเหนือชีวิต เป็นสิ่งจะต้อง ให้ได้มาให้ตน เป็นสิ่งที่ต้องเสพ ผู้นั้น ก็จะยังคือ "ทาส" หรือ "ขี้ข้า" ผู้ซื่อสัตย์ของ "กิเลส" อยู่อย่างภักดี พินอบพิเทา ไม่ยอมจาก ไม่ยอมแม้แต่จะคิด เป็นไทแก่ตัว เอาอย่างจริงๆ จังๆ ผู้นั้น ก็จะได้ชื่อว่า"คน" ตราบฟ้า ดินละลาย ดังนั้น คำว่า "คน" จึงไม่ใช่คำที่น่ายินดี ปรีดาอะไรเลย มันแปลได้ตรงตัวเลย "คน" แปลว่า "ทาสของกิเลส" นั่นคือ ความถูกต้องที่แท้จริง ถ้าอยากหมดความเป็น "ทาส" ก็ต้องดิ้นรน พยายามมองความแท้จริงให้เป็น จึงจะถอนตัว ออกจากการเป็น "ทาสของกิเลส" ได้ จะได้ยืนยืดอก สง่าผ่าเผยขึ้นมา ด้วยความเป็นไท และ จะได้ตำแหน่ง ให้ตนใหม่ว่าเป็น "พระอริยเจ้า" คำว่า "พระอริยเจ้า" นี้ ไม่ได้หมายถึง "พระ" ที่ "บวช" นุ่งเหลือง โกนหัว อยู่ในวัดนั้นเท่านั้น แต่หมายถึง "ผู้ใดก็ได้" ที่เป็นผู้พยายาม "ฆ่า" กิเลส และเป็นผู้ จะหนีออกจาก การถูกกดขี่ ข่มเหง บังคับใช้เป็นทาสของ "กิเลส" ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ในร่างของ "คน"นี่แหละ เป็นหญิงก็ได้ ชายก็ได้ เด็กหรือผู้ใหญ่ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นผู้แข็งข้อต่อสู้กับ "กิเลส"จริงๆ ก็แล้วกัน ส่วนผู้นุ่งเหลือง โกนหัว อยู่วัดนั้น ก็คือ ผู้ที่แต่ดั้งเดิม ในสมัยพุทธกาล เป็นผู้รู้หน้าที่ดีว่า ก็คือผู้ที่สมัครใจ จะเข้ามาเป็น ผู้เพียร ฆ่ากิเลส จะออกหนีจาก การเป็นทาส ของกิเลส นั่นเอง และถ้าผู้ใด ที่นุ่งเหลือง โกนหัว อยู่วัดในสมัยนี้ เป็นผู้ที่รู้อยู่แก่ใจ ของตนดีว่า ตนคือผู้ที่ได้ "บวช"เข้ามา และ "เป็นอยู่" อย่างถูกต้อง ดังนั้นจริง ผู้นั้นก็คือ "พระ" ที่ถูกต้องแล้ว ก็ขออนุโมทนาสาธุ แต่ผู้นุ่งเหลือง โกนหัวอยู่วัด ในสมัยนี้นั้น แท้จริงส่วนมาก ไม่ใช่ผู้พยายาม จะฆ่ากิเลสแล้ว เพราะไปอยู่ อย่างเป็นทาส ของกิเลสเสีย เหมือนกับ "คน" ธรรมดาเสียแหละมาก แถม มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธของ "กิเลส" ไปเสียอีก โดย "กิเลส" มันใช้ ผู้นุ่งเหลือง โกนหัวอยู่วัดนั่นแหละ เป็นส่วนประกอบ ในการสร้าง อีกทีหนึ่ง ตราบโลกแตก ผู้นุ่งเหลืองโกนหัว อยู่วัด ผู้ไม่รู้ ความจริงแท้ เหล่านั้น ก็จะคงอยู่ อย่างเป็นทาส ของกิเลส อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ก้าวขึ้นไปเป็น "นาย" หรือเป็น "พระอริยเจ้า" สักที เช่นกับ "คน" ธรรมดา หัวดำ นุ่งผ้าใส่เสื้อ อยู่บ้านนี้เช่นกัน คิดให้ดี และถ้าผู้นุ่งเหลือง โกนหัว อยู่วัด ซึ่งได้หลอก ชาวบ้านไว้ว่า ตนได้สมัคร และทำพิธี ผ่านเข้ามาเป็น ผู้จะทำตนให้เป็น "นาย" เป็นผู้หาทางฆ่ากิเลส เรียนรู้วิธี ฆ่ากิเลสให้ได้ แล้วจะนำมาสอนคน ให้รู้ตามให้ได้ เป็น "นายของกิเลส" ตามในโอกาสต่อไป ดังนั้น "คน" ที่อยู่นอกวัด ก็กรุณาหาข้าวหาปลา มาเลี้ยงผู้อยู่วัดหน่อยนะ "คน" ก็ตกลง หาข้าวหาปลา ให้ผู้อยู่วัด เพื่อจะได้มีชีวิต พากเพียร ค้นหาวิธี เพื่อเรียนรู้จักตัวกิเลส และการฆ่ากิเลส และผู้เรียนนั้น อันคือ "พระ" นั้น ก็จะต้องเรียนโดย ทำให้ตัวเองเป็น "นาย" ได้จริงๆเสียก่อน จึงจะเรียกว่า เรียนสำเร็จ รู้วิธีการฆ่า กิเลสได้จริงๆ ถ้าสักแต่ว่า มาท่องจำเอา แต่ตัวหนังสือ หรือภาษาไปจาก ตำรับตำรา โดยตัวเอง ไม่เคยเห็นหน้า ตัว "กิเลส" เลย ไม่ได้รู้จัก หรือสัมผัสกับ "กิเลส" สักตัว และไม่รู้แม้ว่า "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" ใช้จับจ่าย หลอกล่อ ตนอยู่ด้วยนั้น เป็น "เบี้ยจ้าง" ที่ตนเอง ก็ยังยินดีรับเป็น "ค่าจ้าง" อยู่เช่นเดียวกับคน อยู่ตลอดเวลา มิได้นึกสะกิดใจ แม้สักนิดว่า ตนกับ "คน" ก็ไม่ได้ผิดอะไรกันเลย เมื่อผู้บอกกับ "คน"ว่า "ตนคือพระ" นั้นก็ยังรับ "เบี้ยจ้าง" จากกิเลสอยู่อย่างไม่โงหัว อย่างไม่รู้เรื่อง อย่างไม่ประสาอยู่ตราบใด จะให้ "คน" หวังเอาอะไรจาก "พระ" (ปลอม) นอกจากต้องเสียเงินเสียทอง เสียข้าว เสียปลา ที่ให้ "พระ" ผู้ไม่ตั้งใจ ปฏิบัตตน เพื่อให้รู้จัก "กิเลส" และทำตนเป็น "นาย" ของ "กิเลส" ให้ได้ไปเปล่าๆ ตราบโลกแตกเช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่เรียกตนเองว่า "พระ" จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะควรรู้ตัวให้ดีว่า ตนนั้น มีสัญญากับ "คน" ไว้ว่า จะทำตนให้เป็น "นาย" ของ "กิเลส"ให้ได้ ถ้ายังเป็น "นาย" ของ "กิเลส" หรือ ได้ชื่อว่าเป็น "พระอริยเจ้า" ไม่ได้ตราบใด ก็คือ ผู้นั้นยังคง ไม่มีประโยชน์แก่ "คน" อยู่ตราบนั้น เพราะแม้ตนเอง ก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้กับตนเอง ได้เลยสักนิดเดียว ยังคงมืดบอด ยังคงให้ "กิเลส" มันใช้เป็นทาส เป็นขี้ข้าอยู่ ยังโง่เง่าอยู่ เช่นเดียวกับ "คน" เช่นกันไม่มีผิด แต่ไม่ได้ทำมาหากินเอง จึงกลายเป็น ผู้เอารัดเอาเปรียบ "คน" ไปโดย ควรรู้สึก ละอายตัวเองให้มาก อย่าลืมว่า ตราบใด ตนยังเป็น นาย" กิเลสไม่ได้ คือยังไม่ได้ชื่อว่า "พระอริยเจ้า" ตราบนั้น ตนก็คือผู้ยังฆ่า "กิเลส" ตัวสัตวโลก ที่เก่งกาจนี้ไม่ได้เลย ไม่รู้จักแม้ตัว "กิเลส"นั้น มีรูป -นามเป็นอย่างไร? ไม่รู้จักเลยว่า จะฆ่ามัน ด้วยวิธีใดๆ เมื่อฆ่าให้ตัวเองไม่ได้ ก็ย่อมสอนใคร ไม่ได้ด้วย โดยแน่นอน จริงแท้ เพราะการฆ่าสัตวโลก ที่ไม่มีตัวตนขั้น "อรูปชีวิต" นี้ จะต้องรู้จัก รูป-นาม ของมันแท้ๆ เสียก่อนที่ มันประกอบกันขึ้นมาเป็น "ชีวิต" เป็น "ชาติ" อยู่ในโลกแล้ว จึงจะแยกรูป แยกนามมันได้ มันจึงจะตาย เพราะการฆ่า "อรูปชีวิต" หรือฆ่า "ชีวิต"ใดๆ ก็ตาม จะต้องฆ่าด้วยการแยกรูป แยกนามมัน ให้ขาดสะบั้น ออกจากกัน เท่านั้น และ เป็นวิธีเดียวจริงๆ ที่จะทำได้อย่างแท้จริง สัมฤทธิ์ผล และ ดับสูญ สิ้นเชื้อจริงๆ ด้วย อันเรียกว่า "สมุจเฉท" ถ้า ไม่รู้วิธีแยกรูป แยกนาม ของสัตวโลก หรือ ของชีวิตใดๆ แล้วละก็ ผู้นั้น ยังไม่อาจฆ่าสิ่งใด หรือประหารสิ่งใด ให้ตายดับดิ้นขั้นเด็ดขาด อย่างเรียกว่า เป็น "สมุจเฉท" หรือ เรียกว่า "แหงๆ" ได้เป็น อันขาด ขอรับประกัน ดังนั้น ถ้า "พระ" ผู้ใดรู้ตัว นึกละอายใจขึ้นมาบ้าง ก็ได้โปรดอย่าให้ "สัญญา" ที่ตนให้ไว้กับ "คน" เป็นแต่เพียง สัญญาๆๆๆ เปล่าๆ หลอกกินข้าวคนเขาฟรีๆ เลย จงตั้งหน้า พากเพียรเรียนรู้ มุ่งทำตนให้เป็น "นาย" ของกิเลส ให้ได้ จึงจะได้พ้น คำครหานินทาได้ การเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ นี่แหละ คือ การต้องได้รับ คำครหา นินทา และ ข้าพเจ้าไม่อยากเห็น "พระ" ได้รับคำครหา ไม่อยากฟัง "คน" พูดใส่ร้าย ป้ายสี "พระ" ไม่อยากเห็น "คน" ไม่เคารพ "พระ" แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร มากกว่าที่กำลังทำ กำลังพูด กำลังเขียนอยู่นี้ เมื่อ "พระ" ไม่ช่วยตนเอง เอาแต่ถือดี ก็คือเป็น "เวรกรรม" ของ "คน" และของ "พระพุทธศาสนา" เพราะเหตุนี้ มีคำพังเพยว่า "อย่าสอนสังฆราช" นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ "คน" โดยเฉพาะ "คนไทย" เหมือนน้ำท่วมปาก สำหรับ ข้าพเจ้า ผู้ขอบอกกล่าวไว้ เสียเลยว่า "ไม่มีชีวิต" แล้ว จึงไม่กลัวตาย ไม่กลัว "คน" จะครหา หรือ "พระ" จะครหา หรือ คนจะมาฆ่า มาแหกอก จึงได้กล้าพูด ออกมาดังนี้ ถ้าใครเห็นว่า ข้าพเจ้าเป็นภัย เขาผู้นั้น ย่อมจะกำจัด ข้าพเจ้าเอง เป็นแน่นอน แต่ถ้าใครเห็นข้าพเจ้า ยังมีประโยชน์ เขาก็จะยัง ไว้ชีวิตข้าพเจ้าเอง บางที จะช่วยข้าพเจ้า เสียด้วยซ้ำไป นั่นเอง เหตุและผลที่แท้จริง เพราะโลกนี้มีอยู่ ๒ เบื้องเท่านั้น ที่เรียกว่า "สมดุลยภาพ" มีถูกกับผิด มีดีกับชั่ว มีตายกับเป็น มีจริงกับปลอม มีสู้กับถอย มีกล้ากับกลัว มีรักกับชัง มีนายกับทาส มีคุณกับภัย มียังเวียนว่าย มาเกิดอยู่ กับปรินิพพานไป ดังนั้น ถ้าใครมาฆ่าข้าพเจ้า เสียขณะนี้ ขณะที่ข้าพเจ้า ยังไม่ปรินิพพานนี้ ข้าพเจ้า ก็จะต้องเวียนว่าย มาเกิดอยู่ และก็จะต้องได้ให้ ผู้ที่ฆ่าข้าพเจ้า ได้ชดใช้กรรมอยู่ ข้าพเจ้า จะกลัวทำไม ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะห่วง อยู่ก็ได้ ตายก็ได้ ดังนั้น เมื่อยังรักจะอยู่ ก็อยู่อย่างให้ถูก อยู่อย่าง ให้กล้า อยู่อย่างตาย อยู่อย่างจริง อยู่อย่างสู้ อยู่อย่างรัก อยู่อย่างมีคุณ อยู่อย่างเวียนว่ายมาเกิด และก็เพื่อ อยู่อย่างเป็น "นาย" ดีกว่า โลกนี้ไม่แตก หรือ ทุกสรรพสิ่งไม่สลาย ข้าพเจ้าก็จะขอเกิด ขอตาย เวียนว่ายอยู่กับ ปณิธานนี้ อยู่ในฝ่าย "ดุลยภาค" ข้างที่ได้ออกนามมาแล้วนี้ ให้ได้ทุกชาติ จนกว่าจะถึงวาระ คือ ถ้าโลก ไม่สลาย ก็ข้าพเจ้าต้องสลายไปเอง ด้วยปรินิพพาน นั่นแล ข้อเขียนนี้ จึงเขียนขึ้นโดยไม่เข้าข้างใคร จะพูดให้ถูกก็คือ อย่างไม่รักใคร และไม่ชังใคร เพื่อความแท้จริง เป็นใหญ่ เพราะ "คน" มัวเมา อยู่แต่กับสิ่งที่ หลอกตัวเองว่า คือ "ผู้ประเสริฐเลิศสัตว์โลก" แต่หารู้ไม่ว่า ที่แท้ ผู้คิดอย่างนั้น นั่นแหละ คือ คนโง่ เพราะผู้ฉลาดจริงๆ ต้องชนะ "กิเลส" ต้องเป็น "นาย" ของ "กิเลส" ให้ได้ "กิเลส" มันไม่เคยอยู่นิ่ง มันพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้คนหลง เพื่อให้คนรัก ให้คนบูชา ให้คนก้มหัวให้ และ มันไม่เคยเหน็ดเหนื่อย มันได้แต่บงการ ใช้ให้คนคิด ใช้ให้คนทำ สังเกตได้จาก ทุกสรรพสิ่งในโลก ที่เกิดขึ้น มานั้น แม้หนัง แม้ละคร แม้รถรา บ้านช่อง แม้แฟชั่น แม้อาวุธยุทธภัณฑ์ ในการสังหาร แม้เครื่องมือ ในการเล่นเกม แม้อาหารของกิน ทุกอย่างแหละ มันหลอกล่อ มันพราง มันจ้าง "คน" โดยเอา ความสนุก ความสะดวก ความสบาย ความสวย ความกลัว ความฉลาด ความยกย่อง ความเพลิดเพลิน ความอร่อย เป็น "เบี้ยจ้าง" ซึ่งไม่มีตัวมีตน มีแต่ลมๆแล้งๆ เกิดขึ้นมา ให้คนได้รับเดี๋ยวเดียว แล้วก็หายไป ไม่มีทรากอะไร เหลือไว้เลย แต่ "คน" ก็ไม่รู้ ไม่แจ้ง สู้อดตาหลับ ขับตานอน คิด ค้น สร้าง และเสพ อยู่อย่าง ไม่ลืมหูลืมตา เพื่อให้ได้ "อาหาร" อันเป็น "เบี้ยจ้าง" ที่เรียกกันว่า "ความ..." ทุกอันไป จริงหรือไม่คิดดู แล้วมอง ให้เห็นตัว สิ่งที่กล่าวถึงนี้ ให้หมดให้ได้ ยกตัวอย่าง การพัฒนาของกิเลสสักอย่าง สองอย่างก็ได้ เช่นเรื่องของ อาหารการกิน โดยแท้โดยจริงแล้ว การกิน คือ การเอาธาตุ ที่จำเป็น แก่ร่างกาย บรรจุเข้าไปในกาย เพื่อมันจะได้สังเคราะห์ เป็นเนื้อหนังมังสา และกำลังวังชา นั่นคือ ความแท้จริง นั่นคือ ผลสุดยอด ของการกิน แก่แล้ว เจ้ากิเลส ก็บังคับ ให้คน เหน็ดเหนื่อย สร้างของกิน ให้เป็นรูปร่าง ให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ โดยเอาความหอม ความมีรส ความสวย ในรูปร่าง สีสันมาเป็น "เบี้ยจ้าง" หลอกให้คนคิดค้น ทำอาหารออกมา เป็นแบบต่างๆ ซึ่งที่จริง มันก็หาพ้น "วัสดุเดิม" อันเป็นอุปกรณ์ ที่นำมาประกอบเป็น อาหารนั้นไปได้ไม่ มิหนำซ้ำ ยังต้องสูญเสีย บกพร่อง และ ขาดธาตุแท้ๆ ของอาหาร นั้นไปเสียด้วย แต่ก่อนแต่ไร สมัยดึกดำบรรพ์ ก็ยังไม่มีอาหารกี่อย่าง คนก็กินได้ อยู่ได้ แข็งแรงได้ ยิ่งกว่าคนเดี๋ยวนี้เสียอีก เพราะพลังงานยังมีมาก ถูกหลอกเอาไปใช้ ในทางต่างๆน้อย เช่นว่า ยังไม่มีเกมต่างๆ ให้เล่น ให้เสียพลังงาน ยังไม่มีหนัง มีละคร ให้ไปเสียพลังงานดู ยังไม่มีแฟชั่น ให้ต้องไปซื้อ ไปหาไปเสียเวลา คนแต่ก่อน มีเรื่องกิน เป็นเรื่องใหญ่ จึงมีเวลาเหลือแยะ พลังงานจึงมีมาก แข็งแรงกว่าคนสมัยนี้ พอ "กิเลส" ชักเห็นอาหารต่างๆ หรือของกิน ที่คนกินนั้นๆ ชักจะซ้ำซาก "คน" ชักจะเบื่อ "กิเลส" ก็บงการ ให้คิดค้น แบบอย่างออกมา หัดปรุง หัดทำให้แปลกขึ้น โดยเอาความอร่อย ความหอม ความน่ากิน อีกหนะแหละ หลอกล่อ ให้คนคิด คนสร้าง เพื่อ "กิเลส" จะได้เห็นของใหม่ ของแปลก โดยตน ไม่ต้องสร้างเลย "คน" ผู้ซึ่งแทนที่จะเห็นว่า การกินนั้น เพียงเอาธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ เข้าไปเท่านั้น รูป หรือ รส หรือ กลิ่น ร่างกายไม่ได้เอาไปผสมปรุง หรือร่วมสังเคราะห์ เป็นส่วนหนึ่งส่วนใด ของร่างกายเลย ไม่เลยจริงๆ เอาแต่ธาตุแท้ๆ ที่มีในเนื้ออาหาร ที่บรรจุลงไปในท้องจริงๆ หรือ แม้ไม่ต้องได้รส ไม่ผ่านทางปาก ผ่านเข้าทางท่อสวม หรือฉีดเข้าไป ทางเส้นสายส่วนอื่น (เมื่อคราวจำเป็น เช่น เป็นไข้ หรือสลบ) ก็ได้เช่นกัน ไม่แปลกอะไร ร่างกาย ก็ไม่เคยอนาทร ดังนั้น จงรู้เถิดว่า การพัฒนาอาหาร ให้มีรูปร่าง มีวิธีการปรุง มีชื่อเรียก มีกลิ่นหอม มีสีสวย มีรสแปลกเปลี่ยน หรืออะไรต่ออะไร ให้เป็นที่วุ่นวายไปนั้น เป็นเพราะ "กิเลส" มันบงการ สั่งให้คนทำทั้งสิ้น คนก็โง่ทำตาม แล้วลงท้าย คนก็เหนื่อยเปล่า เพราะเมื่ออาหารถึงท้องแล้ว ก็เกิดผล เท่ากัน คือธาตุนั้นๆ ลงไปรวมกัน อยู่ในกระเพาะ รูปสวย ก็ไม่เหลือ สีสวยก็ไม่เหลือ รสอร่อย ก็ไม่เหลือ กลิ่นดี ก็ไม่เหลือ ผลคือ ร่างกาย จัดการย่อยให้ละเอียด กรองเอาธาตุ ที่ต้องการ ไปใช้เท่านั้น ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า เหนื่อยเปล่า โดยแท้จริง เพราะเห็นแก่ "ความ... ทั้งหลาย อันเป็น "เบี้ยจ้าง" ที่ "กิเลส" มันหลอกจ่ายให้ แต่ก่อนร่อนชะไร "กิน" ก็ไม่โลดโผน ไม่ลวดลาย ไม่มีอะไรมาส่งเสริม มาประกอบการกิน ให้มันครื้นเครง หรูหราอะไร แต่เดี๋ยวนี้ ลองค่อยๆ คิดย้อน มาจากยุคเก่า มาจนเดี๋ยวนี้ ดูซิว่า มัน "พัฒนา" มาเท่าใด ถูก"กิเลส" มันหลอก ให้เหน็ดเหนื่อยมาเท่าใด มองเห็นได้ไหม ถ้าเห็นไม่ได้ ก็คงยังเป็น "คน" เป็น "ทาสของกิเลส" อยู่เท่าเดิม ถ้ามองเห็นได้ อย่างแท้ อย่างชัด อย่างจริงถึงใจ ผู้นั้นก็ จะรู้สึก มีอาการโล่งใจ และสว่างไสว และจะไม่ยอมรับ "เบี้ยจ้าง" อันคือ ความอร่อย ความหอมหวาน ความสดสวย รวมทั้ง ความหรูหรา ความโก้ ความเพลิน ความไพเราะ อันเกิดขึ้นมีขึ้น เป็นเบี้ยจ้างหลอก "คน" แค่แต่เรื่อง "กิน" เท่านั้น ก็ลองคิดดูว่า "กิเลส" มันลงทุน "จ้าง" คนมากขึ้นอยู่ มิได้หยุดจ้างด้วย "ลมๆแล้งๆ" คือตัวชื่อ "ความ..." พวกนั้น คนก็หลงได้ หลงดี ถ้าใครเห็นชัดสลัดตนออกได้จาก "เบี้ยจ้าง" เหล่านั้น ผู้นั้นก็ไม่เป็น "ลูกจ้าง" ของ "กิเลส" จะกินก็ "รู้" ว่า กินธาตุ ที่จำเป็น แก่ร่างกาย เข้าไปเท่านั้น กินอย่างไรจะ "ง่ายที่สุด" ที่มี "ภาระน้อยที่สุด" ที่ "เหนื่อยน้อยที่สุด" ก็ทำเอาให้ได้อย่างนั้น ก็สบาย ก็เบา ก็ไม่วุ่น ไม่ต้องเสียเวลา เสียอะไรต่ออะไรที่ "คน" หลงยอมเสียกันอยู่ ทุกวี่ทุกวัน และลองคอยสังเกตไปเถิด "อาหาร หรือ ของกิน" ที่คนจะกินกันนี้ มันยังจะมี "วิวัฒนาการ" ยิ่งขึ้น ไปกว่านั้นอีก มันจะมากเรื่อง พิลึกพิลั่นขึ้นอีกจน "คน" เอง ก็จะไม่เชื่อเลย เพราะ"กิเลส" มันจะต้อง "เพิ่มเบี้ยจ้าง" ให้เรื่อยๆ มากขึ้นมากขึ้น และมันจะให้เท่าใดก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไร มันปั้นลมๆ แล้งๆ ขึ้นมาหลอก "คน" ผู้โง่ ก็หลงเห็นว่า "เบี้ยจ้าง" เหล่านั้นมี ต้องเอา ต้องลนลาน เอามาเสพ เอามาให้ตน แม้จะเหน็ดเหนื่อย เสียเวลายังไง ก็ยอม ก็สู้ทน ยิ่งเรื่องแฟชั่น หนัง ละคร อะไรนั่น ยิ่งห่างความจำเป็นแท้ๆ ของคนไปใหญ่ มันยิ่งเป็นสิ่งที่ "กิเลส" หลอกอย่างหัวปัก หัวปำเลย แฟชั่นอะไรนั่น ไม่ต้องมีเลย คนอยู่ได้อย่างแท้ ไม่ตาย หนัง ละคร อะไรก็เถอะ เหมือนกัน แต่คนผู้โง่เง่า ก็ต้องทุกข์ทน หลงหาเงินไปจ่าย ไปเสีย เสพแฟชั่น เสพหนัง เสพละคร เพียงเพื่อ "เบี้ยจ้าง" ที่เรียกว่า ความสวย ความโก้ ความสนุก ความ"มัน" ความอร่อย อะไรยังงั้น เท่านั้น พอจบ ก็หมดลง มาตั้งหน้าตั้งตาหาเงินใหม่ เอาไปจ่าย ไปเสพใหม่ ถ้าคนพวกนี้ ไม่เสพลองดูซิ แล้ว "รู้" แท้ๆ ให้ได้ว่า มันเป็นของส่วนเกินที่ "คนโง่" เท่านั้นหลง เหน็ดเหนื่อย แล้วเอาเงิน ไปซื้อไปจ่าย เพื่อเสพมัน คนผู้นั้น ก็จะอยู่อย่าง ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่โง่ให้ "กิเลส" หลอก ชื่อว่าไม่เป็น "ทาสของกิเลส" ได้แล้ว ยิ่งเห็น ในสิ่งต่างๆ เรื่องต่างๆ มากอย่างชัดแจ้งขึ้น ก็ยิ่งจะยืนสง่าผ่าเผย เป็นไทแก่ตัว ได้มากขึ้น ก็ยิ่งจะเป็น ผู้"พ้นทุกข์" พ้นความเหน็ดเหนื่อย มากขึ้นทุกวันๆ ลองคิดให้ดี ลองตรองให้แจ้งให้ได้ ใครเห็นใครแจ้ง ใครทำได้ ผู้นั้นก็พ้นเหนื่อย ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ ด้วยตน คนอื่นไม่เกี่ยว ทำแทนกันไม่ได้ เป็นอันขาด ของจำเป็น ที่แท้ๆ จริงๆ สำหรับ "ผู้ฉลาด" นั้น มีเพียง ๓ สิ่ง คือ "ของกิน" อันได้แก่ธาตุต่างๆ ที่จะนำมันใส่ ลงไปในท้อง ให้สังเคราะห์ เป็นเนื้อหนังมังสา และ กำลังวังชานั้นหนึ่ง "ที่อยู่" เพราะคนเป็นแท่งวัตถุ กินเนื้อที่ ต้องมีที่ให้มันอยู่ มีที่ว่าง ให้มันแทรกเข้าไปอาศัย ถึงเวลานอน ก็มีที่พอจะวางร่างลงไป ถึงเวลาเดิน ก็มีที่พอจะให้ ร่างมันแทรก ไปในเนื้อที่เหล่านั้น ถึงเวลาร้อน ก็มีที่หลบ ถึงเวลาหนาว ก็มีที่ซุก เพราะเราจะไป ห้ามอากาศ ไม่ให้มันร้อนหนาวนั้นไม่ได้ ก็เท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่ ความแท้ จะเป็นบ้าน เป็นเวียง เป็นวัง เป็นแท่ง เป็นบัลลังก์ เป็นอาณาจักรอะไร ก็ไม่ใช่ความจำเป็นทั้งสิ้น "ที่อยู่" คือ สถานที่ที่พอดี ที่จะบรรจุ "ตัวเรา" ไว้ให้เหมาะแก่ กาลเวลา และเหตุการณ์นี่อีกหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือ "เสื้อผ้า" ซึ่งก็คือ เครื่องปกคลุมกาย ให้พ้นจาก อากาศหนาว และป้องกันสัตว์ กันแมลงไต่ตอม กัดต่อย ก็เท่านั้น และเท่านั้นจริงๆ ถ้าใครไม่ถูก "กิเลส" บงการ คือไม่หลง "ความโก้ ความสวย" อะไร "คน" หรือที่จริง ผู้พ้นจาก "คน" เป็น "ผู้ฉลาด" ผู้นั้น ก็จะอยู่ อย่างสบาย ลอยลำอยู่อย่างดี ไม่อนาทร ไม่มีทุกข์ร้อน ทุรนทุรายอันใด อีกสิ่งหนึ่งนั้น จะเรียกว่า จำเป็นก็ได้ ไม่จำเป็นก็ได้ ก็คือ "ยารักษาโรค" ซึ่งถ้า "ผู้ฉลาด" ผู้นี้ ถึงซึ่งความแจ้ง อย่างจริงแล้ว "ยา" ก็อาจ จะไม่จำเป็นเลย บางที เขาจะรักษาโรคได้เอง โดยตนเอง อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เกิดด้วยเหตุด้วยผล อย่างแท้จริง มิใช่ปาฏิหาริย์ หรือ ฤทธิ์เดชอย่างใด ปัจจัยที่ว่านี้ จึงสำคัญแท้จริง มี ๓ สิ่ง เท่านั้น ที่เราใช้ เป็นประจำ ทุกวี่วัน เมื่อคุยกันมาจนถึงตรงนี้แล้ว
ก็ลองคิดดูเถิดว่า "คน" ทั่วไปในโลกนี้ มีใครบ้าง ที่ได้ชื่อว่า
"ผู้ประเสริฐ" ยิ่งกว่า "กิเลส" หรือ เก่งยอดเยี่ยม
ยิ่งแล้วกว่า "กิเลส" คือ อยู่อย่างไม่เป็น "ทาสของกิเลส"
มีบ้างไหม ถ้ามี จงเข้าไป หาผู้นั้นเถิด แล้วอัญชุลีให้ดี ขอเล่าเรียน ขอศึกษา
ขอรู้ ขอแจ้งตามท่านผู้นั้นให้ได้ นั่นแหละคือ ท่านผู้นั้น ได้เรียน และ ปฏิบัติธรรมะ
ของพระพุทธองค์มาแล้ว อย่างถูกต้อง โดยแท้จริง จึงได้เกิดผล ที่แท้ออกมา ได้ตรงเป้า
ท่านจึงได้ชื่อว่า "ผู้ประเสริฐ" อย่างจริงอย่างแท้ แล้วเมื่อคุณ เข้าไปขอศึกษา
เพ่งเพียร ปฏิบัติให้ได้ อย่างท่านบ้าง คุณก็จึงจะได้ชื่อว่า "ผู้ประเสริฐ"
แท้ๆทีเดียว ไม่มีใครประเสริฐเท่า ถ้าทำไม่ได้เท่าคุณ เป็นจริง ดังนี้แล. ๖ มีนาคม ๒๕๑๓ (รวมบทความเก่า)
|