ประกายธรรม
๕ "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" เป็นเรื่องยากยิ่งทีเดียว ที่จะให้ใครเห็น เช่นที่ข้าพเจ้าตั้งชื่อหัวข้อนี้ เพราะด้วยความเป็นมนุษย์ ด้วยความเป็นคน ผู้พอกเอาความเห็นแก่ตัว ผู้พอกเอาความหวง ความอยากได้ไว้ให้แก่ตัว เป็นคุณสมบัติ อันเหนียวแน่น จึงทำให้มองไม่ออก คิดไม่เห็นได้เลยว่า ถ้าเรายิ่ง "หวง" ไว้ ยึดไว้ให้แก่ตน เราจะไม่ได้ อะไรมาอีก แต่ถ้าเรา "ยิ่งให้ไป" มีเท่าใด เราก็ให้ไปๆๆ นั่นแหละ เราจะเป็นผู้ได้มามากขึ้นๆ จะมีใครสักคนบ้างไหม? ที่เห็นจริง ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้น "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" ข้าพเจ้าเชื่อว่า ต้องมีผู้ เห็นได้แน่ๆ แม้อาจจะน้อยคน ก็ตามว่า ที่ข้าพเจ้าพูดนั้น เป็นความจริง ไม่ใช่พูดเล่น เพียงเอาภาษา หรือ คำพูด มาเรียบเรียง เล่นคารม แต่โดยความเป็นจริงแล้ว จะปฏิบัติจริง ให้เห็นให้แจ้งไม่ได้อย่างนั้น ไม่ใช่เช่นกล่าวนั้น ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่า นั่นเป็นความแท้จริง และการ "ให้" ในที่นี้ ก็คือ การให้ไปจริงๆ คือไม่เอาไว้ เป็นของตนนั่นแหละ และไม่ว่าอะไร ทั้งสิ้นด้วย ทุกอย่างตั้งแต่ ของที่เป็นชิ้น เป็นอัน จับต้องได้ อันนับเนื่อง เป็นทรัพย์สินเงินทอง เข้าของ สมบัติมหาสมบัติ ไปจนสิ่งที่เล็กละเอียด ที่จับต้องไม่ได้ แม้เป็นการให้ความรัก ความชัง ความโกรธ ความเมตตา อันใดก็ดี ถ้าเรายิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา นั่นคือ กฎแห่งความแท้จริง อันเที่ยงแท้ แต่จะมีใครกล้าไหม ในขณะนี้ เรามีทรัพย์สินเงินทองข้าวของ หรือ สมบัติอันใดอยู่ เราก็เริ่มลงมือ "ให้" เขาไป หรือแจก หรือจ่าย หรือ พูดเป็นภาษาสวยๆ ก็ว่า บริจาค หรือทาน นั่นเอง ให้เขาไปให้หมด เสียเดี๋ยวนี้ ทันที ไม่เอาอะไรไว้เลย มีไหมเอ่ย? คนที่จะกล้าทำดังนี้ และในการแจกจ่าย หรือให้ไปนั้น จะต้องให้โดยจริง โดยบริสุทธิ์ใจด้วย คือ ให้โดยอย่าหวัง ผลตอบแทน อย่างที่สมกับคำว่า "ให้" อันหมายความว่า มอบไป แก่ผู้อื่น เสียไปจากตน ตรงกันข้ามกับ โลภเอามา ข้าพเจ้าคิดว่า จะมีโดยแท้ โดยจริงนั้น ก็คงจะเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น กระมัง ที่กระทำทันที และ ตัดสินพระทัย ของพระองค์ได้ทันที โดยมิได้พะวงหน้าพะวงหลังเลย เมื่อจะ "ละ" หรือ จะไม่เอาแล้ว ก็ละทันที ทิ้งไปทันที ทิ้งไว้ให้ใคร ก็ตาม ไม่เอาอีกแล้ว ทั้งสิ้นทั้งปวง "ให้" อย่างสะอาด บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง ด้วยประการทั้งปวง ตั้งแต่มหาราชสมบัติ ตำแหน่ง ยศชั้นบรมกษัตริย์ ไปจนกระทั่ง ความพรั่งพร้อม อันมนุษย์ต้องการทั้งปวง คือ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ได้พยายามเหลือเกิน ที่จะสรรค์ และหามาบำรุงบำเรอ ให้แก่พระองค์ จนล้นฟ้า ล้นแผ่นดิน หากเป็นบุรุษธรรมดา ก็คงจะสุขแสนปรีดิ์เปรม เกษมจิตยอดยิ่ง ด้วยทุกรสที่จะเสพนั้น พรั่งพร้อมบริบูรณ์ ไม่มีใดเทียมอีกแล้ว นารีหมื่นนาง ล้วนเป็น ราชธิดากษัตริย์ ที่น้อมใจยินดีอยู่ปรนนิบัติ และหรือสตรีอื่น อันเป็นสนมน้อยใหญ่ อีกนับนางไม่ถ้วน สถานที่อยู่ อันยิ่งกว่า เวียงฟ้า เวียงสวรรค์ ประโคมด้วย สรรพสำเนียงดนตรี แต่ความอบอวลไปด้วยกลิ่น ทั้งที่ปรนปรุงขึ้นมา ทั้งธรรมชาติ ดารดาษ ด้วยกลิ่นหอม อันมนุษย์ พึงควรที่สรรค์สร้าง ไว้ล้อมรอบ จะต้องการ "รสสุข"ใด "รสอร่อย"ใด ย่อมได้สมพระประสงค์ ทุกสิ่งทุกประการ มิได้บกพร่องเลย แม้กระทั่งสิ่งผูกพันร้อยรัด ที่เป็น "สายใจ" อันเป็นโซ่สัมพันธ์ภายใน ที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ คือ มเหสีผู้ยอดยิ่ง ไปจนกระทั่ง พระราชโอรส ผู้บริสุทธิ์ สุดสวาท พระองค์ก็ "ให้" หรือ "ละ" หรือ "ปล่อย" ได้ทันที อันธรรมดา มนุษย์นั้น มีสมบัติอยู่กับตนแม้น้อยนิด ก็จะหวงของ ที่น้อยนิดนั้น ยิ่งกลัวมันจะหมดไป ให้ห่วงใย ทะนุถนอม ถ้าเป็นคน ผู้มีนิสัย อดออมได้ ก็จะอดออม ถนอมรักษาไว้ ให้เป็นสมบัติของตน ไปจนกระทั่งตาย ตายแล้วก็ยังหวง ยังห่วงอีก และ ยิ่งผู้มีสมบัติ มากหลากหลาย ก็ยิ่งให้ห่วงให้หวง หนักมากหลาย ตามขึ้นไปอีก บางทียอมตาย เพื่อให้สมบัตินั้นคงอยู่ ไม่ยอมให้ตกไป เป็นของเขาอื่น ก็ยังกล้าทำลงไปได้ ก็ลองคิดดูเถิดว่า มันเรื่องอันใดกัน ที่ต้องทำอย่างนั้น ตัวเองหวงของ หวงสมบัติไว้ แม้คนเขา ผู้มาแย่ง จะฆ่าเอา ก็ยังไม่ยอมให้ ยอมสู้ตาย เพื่อให้ของอยู่ แล้วมันได้อยู่เป็นเจ้าของ หรือ ของมันตายไป ตามเราหรือเปล่าล่ะ จะไปรัก ไปห่วง ไปหวงมันไว้ จนถึงขนาดนั้น ทำไมกัน ข้าพเจ้า ก็ยังคิดไม่ออก เหมือนกันว่า คนประเภทนั้น เขา "หวง" เขาหลง "รัก" สมบัติอะไร กันนักหนา ถึงขนาดนั้น จนกลายเป็น คนหลงผิด เป็นคนโง่ถึงขนาด ก็สมบัติเหล่านั้น ถ้าเราตายโดยเอาชีวิต แลกแล้ว สมบัติ มันก็ต้อง คงอยู่บนโลก นี่แหละ ส่วนเราสิ ตายไป อยู่อีกโลกหนึ่ง แล้วของนั้น มันไปอยู่กับเรา เมื่อไหร่กัน เราตายไป ของหรือ สมบัติเหล่านั้น มันก็ต้องตกเป็น ของคนอื่นวันยังค่ำ เรื่องของ "วัตถุ" หรือ "สมบัติภายนอก"นี้ เป็นเรื่องที่มองเห็นยาก สำหรับมนุษย์ปุถุชน อธิบายกันอย่างไร ก็ไม่มีวันเข้าใจ ได้ง่ายๆว่า "ยิ่งให้ไป จะยิ่งได้มา" และส่วนมาก จะไม่ยอมเชื่อ แล้วจะ "ไม่ยอมให้" ได้ง่ายๆ เป็นอันขาด แม้จะมีอยู่แล้วอย่างเหลือเฟือ เพราะเหตุว่า "วัตถุ" หรือสมบัติภายนอกนี้ มันมีส่วนสัมพันธ์ มีการเดินทาง กว่าจะแปรสภาพ แปรรูป เปลี่ยนมือ จากคนนี้ไป และกว่า จะเปลี่ยนรูป เป็นของ เป็นสมบัติกลับคืนมาให้ "ผู้ให้" เดิมนี้อีกที มันก็ใช้เวลาบ้าง และใช้ตำแหน่งสถานที่ และใช้การเคลื่อน การหมุน การแปรมากมาย หลายเหลี่ยมอยู่ จึงทำให้คน ไม่ค่อยเห็น ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะ มันมีเรื่องของ "จิตใจ" อันเต็มไปด้วย "กิเลส" เข้าไปพัวพัน ไปร่วม ในการแปรเปลี่ยน ร่วมในการหมุน การเคลื่อน การเดินทางนั้นๆด้วย "การให้" จึงกว่า จะหมุนกลับ มาให้ "ผู้ให้" จึงอาจแปรสภาพ ใช้เวลานานกว่าธรรมดา คนจึงเห็นได้ยาก และเข้าใจคำว่า "ยิ่งให้ไป จะยิ่งได้มา" ว่าเป็นของแท้ของจริง เป็นเรื่องถูก เรื่องต้องไม่ได้ แต่โดยความแท้แล้ว มันแท้จริง เป็นหลักการ ทีเดียว แม้การให้ไปแล้วนั้น มันจะเฉไฉ เป๋ไป๋ไปยังไง ก็จะต้องได้กลับมา วันยังค่ำ ยิ่งทรมานมาก หนักมาก เหนื่อยมากเท่าใด ยิ่งจะได้มากขึ้นๆ เป็นทวีคูณเท่านั้น บางราย บางกรณี จะมีให้เห็น
เป็นผลทันตาอยู่บ้างเหมือนกัน ในเรื่องการให้ ทาง"วัตถุ" ทาง"สมบัติภายนอก"
นี้ ซึ่งเมื่อทุกคน ลองนึกทบทวน พยายามคิดดู เรามาอธิบายในสิ่งที่เห็นทันทีกันดีกว่า ว่า การให้ไปนี้ มันจะได้คืนมา ตามหลัก "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" จริงหรือ? เราลองมาสังเกตในร่างในกายเราเองนี้ซิ ในคนทุกคนนี่แหละ เราก็มีการให้ การได้มาอยู่ทุกขณะจิต แต่เป็นการให้ การได้มา อันเป็นเหตุ เป็นผลตอบแทน ส่งกลับไปกลับมา อยู่ในภายใน ไม่มีความเป็นมนุษย์ เข้าไปขั้นไปห้าม ไปขวาง หรือไปแปรเปลี่ยน ยักย้าย เอาด้วยแรงกิเลส แรงตัณหา มันจะแปร จะเปลี่ยน จะส่งกลับไป กลับมา โดยแท้จริง ตามเหตุ และเป็นผล ออกมาให้เราสังเกตได้ ถ้าใครยิ่งออกกำลังกาย นั่นคือ คนกำลังจ่ายกำลังออกไป หรือให้เรี่ยวแรง และกำลังออกไป จนบางที ถึงหมดกำลัง เอาเลยทีเดียว ถ้าผู้ใด ยิ่งออกกำลังไป นี่แหละ ยิ่งจะได้กำลังมา ได้มาจริงๆ ถ้าใคร ออกกำลังให้มาก ออกอย่างถูก อย่างต้อง ออกอย่างบริสุทธิ์ ว่า เราออกไปจริงๆ เราจ่ายกำลังไป ถ้าจ่ายกำลัง ออกไปให้มากๆ ยิ่งจะได้กำลังเพิ่มพูน มาให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น นี่แหละคือ ความจริง นี่แหละ คือตัวอย่างอันถูกต้อง อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีกิเลสเข้ามา เป็นผู้ขัดขวาง ไม่มีผู้จะเป็นอุปสรรค หรือ ตัวแปรเปลี่ยน โยกย้าย การจ่ายไป หรือการให้กำลังกายออกไปนี้ จึงได้กลับคืนมา ตามวาระ ตามเวลา ที่ตรงที่ถูกต้อง และได้กลับมา เป็นจำนวนทับทวีขึ้น เรื่อยๆ อย่างต้องตรงจริงๆ ผู้ใดยิ่งออกกำลังมาก ก็ยิ่งจะมีกำลัง มากยิ่งขึ้น ทุกทีทุกเวลา สิ่งอื่นใดก็เหมือนกันทั้งสิ้น จะเป็น จ่ายเป็นเข้า เป็นของ เป็นวัตถุ น้อยใหญ่ หรือให้น้ำใจ ความกรุณาปรานีอันใดก็ตาม ยิ่งเราให้แก่ใคร ไปมากเท่าใด เราก็ยิ่งจะได้ มากเท่านั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้แต่ขา แขนของเรา หรือ ส่วนหนึ่งส่วนใด ของร่างกายก็ตามแต่ เรายิ่งใช้มัน หรือ ยิ่งจับจ่ายมัน คือไม่สงวนมันไว้ ไม่เก็บมันไว้เฉยๆ ส่วนที่เรายิ่งใช้มันมากๆ นั่นแหละ มันจะยิ่งโตขึ้น คือ ได้มาเพิ่ม เราใช้แขนขวามากเท่าใด แขนขวา ก็ยิ่งจะโต มากขึ้นๆ เรายิ่งไม่ใช้มันเลย มันก็ยิ่งจะไม่มีเลย ไม่เชื่อ ก็เก็บแขนขวาไว้นิ่งๆ ไม่ใช้มันเลยดูซิ แล้วมันจะค่อยๆ ลีบลงๆ ให้เห็นทันที นานเข้าๆ ก็จะใช้ไม่ได้เอาเลยทีเดียว นี่คือ หลักแห่งความแท้จริง มันสมองเหมือนกัน ประสาททุกส่วน เช่นกัน โดยเฉพาะประสาท "คิด" ยิ่งเป็นผู้เพียรฝึกหัด คิด อ่าน ตรึกตรอง พิจารณาให้มาก "ปัญญา" ยิ่งจะเฉียบแหลม มากขึ้นๆ เป็นลำดับไป ยิ่งใช้ไป หรือยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มาจริงๆ ยิ่งพากเพียร คิดในทาง ที่ถูกที่ดี ปัญญา ด้านดี ก็ยิ่งจะมากขึ้น แต่ถ้าคิดในทางชั่ว ทางเลว ปัญญาคิดในทางเลว ก็ยิ่งจะมากขึ้น เช่นกัน จงจำไว้เถิดว่า ยิ่งใช้ไป ยิ่งได้มา หรือ ยิ่งจ่ายออกไป ยิ่งจะได้เข้ามา หรือ ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้กลับมา เช่น ตัวอย่างสำคัญอันหนึ่ง ก็คือ คุณผู้หญิงทุกวันนี้ ไม่ยอมใช้อวัยวะ ส่วนหนึ่ง คือ "นม" ไม่ยอมใช้เลย หน้าที่ของนมผู้หญิง คือ เป็นแหล่ง ให้น้ำนมแก่ลูก แต่คุณผู้หญิง กลัวจะเสียนมไป ถ้าจะใช้นมนั้น โดยให้ลูก กินนมตนเอง จึงไม่ยอมใช้ ไม่ยอมให้แม้แต่ลูกกินนม หรือจับต้อง นมนั้น จึงนับวัน จะแห้งเหี่ยวไป นั่นคือ ข้อแท้ข้อจริง โดยความเห็นแก่ตัว กลัวจะหมด ไม่ยอมให้ ไม่ยอมใช้ จึงยิ่งหมด ยิ่งหายไป จะไปโกง ธรรมชาติ หรือโกงเหตุ และผลแท้ๆจริงๆ อันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่จิต ใช่ใจ ที่มีกิเลสนั้น โกงมันไม่ได้หรอก มันไม่เหมือน "วัตถุ" ที่อยู่ข้างนอกตัว ซึ่งมัน "เบี้ยว" มันปลิ้นปล้อนได้ เพราะมีคนผู้มี จิตใจผสมกิเลสอื่นๆ อีกมาก เข้าไปยุ่งกับ "วัตถุ"นั้นๆ มันจึงเดินทาง ไม่ตรงไปทีเดียว มันจึงต้องคด ต้องโค้ง ไปตามแรง กิเลส นั้นๆ แต่แท้จริง มันก็จะต้องซื่อ ต้องตรงเช่นกัน แม้จะเป็น "วัตถุ" ถ้าเราไม่เอา จริงๆ ทั้งๆสิ่งนี้ เป็นสมบัติ ของเรา โดยธรรมแล้ว เราไม่เอา หรือเราให้ไป ก็เหมือนกัน มันจะต้อง กลับมา เป็นของเรา วันยังค่ำ เหมือนเรา ฝากเขาไว้ ปล่อยมันเถิด สักวาระหนึ่ง มันจะมา แต่ที่มันยักย้าย ถ่ายเท พลิกแพลง ไปเป็น ของคนอื่น มันดูเหมือนหมดไปๆ จากตัวเรานั้น มันก็เป็นการเปลี่ยน เป็นการแปร โดยใช้เวลา ทำหน้าที่ หมุนเวียนอยู่ "เหตุ" ต่างๆ ต้องเป็น "เหตุ" และจะต้องฟักตัว ออกมาเป็น "ผล" ที่ถูกต้อง คือ "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" เสมอ ดังนั้น การไม่ใช้ "นม" นั้น มันก็เป็นของจริงของแท้ ถ้าไม่ใช้ มันก็นับวัน แต่จะแห้งเหี่ยวไป ลูกคนหนึ่งก็แล้ว นมก็ทำหน้าที่ กลั่นน้ำนม มาเปล่าๆ แม่ไม่ยอมใช้นม ไม่ยอมให้ลูกกินเสียนี่ พอมีลูกอีกสัก ๒ คน ๓ คน ก็คอยสังเกต ให้ดีเถิด นมของคุณแม่ผู้นั้น จะค่อยๆ แห้งเหี่ยว ลงไปเรื่อยๆ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว เพราะการเห็นแก่ตัวนั่นเอง ยิ่งหวงไว้ กลัวหมดไป มันยิ่งจะหมดไป เรื่องของเหตุ และผล ก็คือเรื่องของ ธรรมชาติดังนั้น ถ้าเมื่อของสิ่งใด เราไม่ใช้ ธรรมชาติมันรู้ดี มันก็จะเก็บ ของสิ่งนั้นเสีย ของสิ่งใดใช้มาก มันก็จะเพิ่ม ของนั้นมาให้ นั่นคือ ความแท้ นั่นคือความจริง ดังนั้น คุณผู้หญิงผู้ใด ถ้าอยากได้มาก ก็ให้ลองดูเถิด เมื่อมีลูกออกมา ก็ให้ลูกกินนมเรา นั่นแหละ ให้กินไป ให้นานๆ อย่าให้หยุดง่ายๆ สัก ๖ เดือน ขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ ยิ่ง ๘ เดือน หรือหนึ่งปี ก็ยิ่งดี แล้วคุณจะดีขึ้น และ คุณจะได้มาแน่ๆ แล้วก็อย่าเพิ่ง หยุดล่ะ ถ้ามีลูกคนใหม่อีก ก็ให้ลูกคนใหม่กินอีก แล้วคุณจะไม่อนาทรเลย คุณจะได้มา อย่างบริบูรณ์ กฎ "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" จะแจ้งผลแก่คุณเอง ส่วนการกลัวจะเสียรูป เสียทรง อะไรของคุณนั้น คุณต้อง ระวังเอาเอง ว่าคุณควร จะปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่เสียทรง ซึ่งมันก็ไม่ยากเลย มันมีเหตุผล เหมือนกัน ถ้าคุณ ทำถูกวิธี รูปและทรง อันใดของคุณ ก็จะไม่เสีย แต่ถ้าเป็นเหมือน สมัยโบราณ เขาไม่อีนังขังขอบ กับรูปทรงอะไร ไม่ระมัดระวัง เรื่องของรูป ของทรง ดังนั้น เขาก็ทำตามสบาย ให้ลูกดึง ยาวยืดยาดเอาบ้าง ไปดูด อยู่ถึงข้างหลังแม่ เขาก็ปล่อยให้ลูกทำ มันก็เป็นเรื่องของ การไม่ระมัดระวังของเขา ถ้าเราระมัดระวัง รักษาสภาพ ให้มันคงอยู่ ในลักษณะใด มันก็จะอยู่ ในลักษณะนั้น บางที อาจจะดัดแปลงตกแต่ง เพิ่มเติมเอาด้วย ตามแบบของ ธรรมชาติ ก็ย่อมทำได้ ด้วยซ้ำไป ถ้าผู้นั้นเข้าใจ และฉลาดพอ ส่วนที่จะได้มา เราก็จะได้มาโดยแท้จริง โดยแท้ และที่ดีที่สุดก็คือ ไม่เปลืองเงิน ค่านมผง นมแป้งด้วย สุขภาพ อนามัย เด็กถูกต้องตามธรรมชาติที่สุดด้วย โรคภัยก็ระวังง่าย และที่สำคัญ เราจะไม่ต้องเดือดร้อน ไปหาฟองน้ำ ไปฉีดพาราฟีน หรือ ไปปรุงแต่ง ให้มันมากเรื่อง แต่อย่างใด เราจะมีของเรา โดยแท้ โดยจริง เพียงพอ อย่างสบายใจ เหตุที่ทำให้ "นม" ของคุณผู้หญิง ทุกวันนี้ ต้องพลอยมาเล็กลงๆ ไปนั้น ด้วยเหตุดังเล่ามานี้ เป็นใหญ่ และการไม่ยอม ให้ลูกกินนมนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิด ไม่ใช่เพิ่งเป็น คุณผู้หญิง ไม่ยอมให้ลูกกินนม มาหลายช่วง อายุคนแล้ว คนในช่วงร้อยๆปี ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง ยังใช้นม เป็นปกติอยู่ จึงไม่มีการอาภัพนม ดังนั้น ในช่วงหลังๆนี่ เด็กผู้หญิง ที่เกิดมาในยุคหลัง จึงต้องรับกรรม เรียกว่า "กรรมพันธุ์" เพราะ เมื่อแม่ไม่ยอม ใช้นม ตามธรรมชาติ ธรรมชาติช่วงที่หนึ่ง ก็ย่อมจะต้องเห็น ความสำคัญ ของสิ่งนี้น้อยลง ก็จะค่อยๆ เก็บสิ่งนี้คืน พอยิ่งช่วงต่อมา แม่คนต่อมา ก็ไม่ใช้อีก จึงทำให้เด็กผู้หญิง ในยุคหลังๆ นี้ไม่ค่อยมีนม เพราะเหตุ คุณแม่ทั้งหลาย ได้แสดง การเห็นแก่ตัว ไม่ยอมใช้ไป จึงย่อมจะไม่มีอยู่ หรือ จะไม่ได้สิ่งนั้น มาอย่าง แน่ๆ ธรรมชาติจะต้องเก็บคืน อย่างแน่นอน นั่นคือ ความพินาศสิ่งหนึ่ง ของผู้หญิงเอง เป็นการกระทำ ของคุณผู้หญิงเอง จะให้เหตุให้ผลว่า ไม่ใช้เพราะไม่มีเวลา มามัวให้นมลูก หรือ ต้องไป ทำงาน หรือ อะไรก็ตาม ก็ฟังไม่ขึ้น และไม่ใช่เรื่อง จะเอาไปอ้างกับธรรมชาติได้ เพราะโดยธรรมชาติ เดิมแท้จริงนั้น ผู้หญิง ก็ไม่มีหน้าที่ ออกไปทำงานนอกบ้าน ต้องทำงานอยู่บ้าน แต่เพราะคุณผู้หญิงเองอีก หนะแหละ ดิ้นรนเอง อยากได้สิทธิ อยากได้ ความเสมอภาคเอง อีกไม่ช้า ก็คงเท่าผู้ชาย ทุกอย่าง ด้วยดังนี้แหละ เมื่อไม่ใช้มัน ก็รับทราบแต่ว่า คุณไม่ใช้สิ่งนี้ จะมีเหตุอื่นใด ทำให้ไม่ได้ใช้ เป็นข้ออ้าง ธรรมชาติ มันไม่ซับทราบทั้งนั้น มันรู้แต่ว่า เมื่อไม่ใช้สิ่งนี้ มันก็ไม่มีความจำเป็น จะสร้างสิ่งนี้ มาให้เปล่า ประโยชน์อีก ก็เท่านั้น ดังนั้น เด็กผู้หญิงสมัยใหม่นี้ ถ้าเผื่อได้อ่านบทความนี้ ถ้ายังรักจะให้ "นม" ไม่สูญพันธุ์ ไปจาก ความเป็นผู้หญิง ก็จงหัดใช้ "นม" ตามหน้าที่ ของธรรมชาติ สร้างมาให้นั่นเถิด อย่าลืมว่า "ยิ่งใช้ไป ยิ่งจะได้มา" ถ้าไม่ใช้กันต่อๆไป อีกไม่ช้า ไม่นาน ด้วยเหตุผลกลนี้เอง อีกสัก ไม่กี่ร้อยปีหรอก ผู้หญิง ในกรุงนี่แหละ ก็จะไม่มี นมกันเลย นมผู้หญิง ก็จะเท่ากับผู้ชายนั่นเอง เรื่องนี้ เป็นความจริง คิดให้ดี สังเกตเปรียบเทียบผู้หญิงชนบท กับผู้หญิงในกรุงได้ ทำไมผู้หญิงชนบท ไม่อาภัพนม ทำไมผู้หญิง ในกรุงอาภัพนม นั่นเพราะเหตุอะไร ลองคิดให้ดี จะเห็นจะแจ้ง อย่างไม่กังขา ก็เพราะเหตุ "ยิ่งใช้ไป ยิ่งได้มา เพิ่มมา" นั่นเอง นั่นคือ เรื่องของการใช้ การจ่าย หรือการให้ ด้วยวัตถุสิ่งของ หรือเงินทอง อันใดก็ตาม เรายิ่งให้ไปๆ ก็ยิ่งได้มา เห็นง่ายที่สุด ก็คือ ถ้าเราให้เงินเขาไปแล้ว เราก็จะได้ของตอบแทนมา อันเราเรียกว่า ซื้อขาย ในทุกวันนี้นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเราไม่ซื้อไม่ขาย คือ ให้เงินเขาไปเฉยๆ โดยไม่รับสิ่งของ ตอบแทน อันใดมาเลย อันนั้น ก็จะเป็น "ผล" ของเราเก็บไว้ สักวันหนึ่ง ก็จะกลับมาให้เรา คืนมาให้เรา จนได้ ด้วยเหตุเป็นไปดังนี้ ใครอยากได้อะไรมากๆ ก็ต้องหัดให้สิ่งนั้น ให้มากๆเถิด อย่าเพิ่งไปรับ ผลตอบแทนคืนมา ให้ไปแบบ ฝากไว้ก่อน ให้มากๆ ลืมเสียด้วยว่า เราได้ให้ไปแล้ว อย่าไปจำ เพราะไม่จำเป็น ต้องจำเลย ธรรมชาติ ไม่โกงใคร ความแท้จริง ไม่โกงใคร มีแต่กิเลส มีแต่มารเท่านั้น ที่มาเล่นไม่ซื่อกับ "ความแท้จริง" แต่กระนั้น ก็จะเอาชนะ "ความแท้จริง" ไม่ได้ เป็นอันขาด ตราบโลกแตก สุดท้าย "ความแท้จริง" จะต้องชนะ อย่างแน่นอน ที่สุด จึงไม่ควรจะจำ "การให้" ใดๆ แก่ใครเป็นอันขาด "ให้" ไว้แล้ว เท่ากับ เราสะสมไว้ โดยแท้โดยจริง ยิ่งเราไปจำ ยิ่งเสียพลังงานของเราเอง โดยเปล่าประโยชน์ และ จะทำให้เราอดไม่ได้ ที่จะทวงคืน เช่น เราจะซื้อของชนิดหนึ่ง ราคาอันละ ๕ บาท ถ้าเรานำเงิน ๕ บาทไปจ่ายไว้กับเจ้าของของนั้น โดยเรา ไม่เอาของมา ก็เท่ากับ เราฝากของนั้นไว้ รุ่งขึ้น เอาไปจ่ายไว้อีก ๕ บาท เราก็จะมีของนั้น เพิ่มขึ้นอีก ยิ่งเอาไป เติมไว้ โดยไม่รับของมาเท่าใด ก็เท่ากับเรา สะสมไว้เท่านั้น ถ้าเราไปขอรับของเมื่อใด เราก็จะได้ ของนั้นมากมาย เป็นกอบเป็นกำมากมาย เท่าที่เราได้สะสมไว้ตาม "เหตุ" จริงๆ แต่ถ้าเราซื้อ โดยจ่ายไป ๕ บาท แล้วก็เอาของนั้นมา ก็เป็นอันหมดกัน ไม่ได้สะสมไว้แต่อย่างใด หรือถ้าใครจะอุตริคิดว่า ก็ถ้าเรา ไปจ่ายไว้ๆ แล้วเจ้าของ ของนั้น เกิดโกงขึ้นมาล่ะ? โกงก็โกง นั่นแหละ คือเรื่องของ "กิเลส" เรื่องของ "จิตใจที่ผสมมาร" ได้เกิดทำงาน ขึ้นมาล่ะ เขาจะโกงไปอย่างไร ก็ไม่ต้องกลัว สักวันหนึ่ง สิ่งที่เราสะสมไว้นั้น จะวกกลับมา คืนเราจนได้จริงๆ จงจำไว้เถิดว่า จะไม่มีใครในพิภพจักรวาลนี้ จะได้อะไรฟรี หรือได้อะไรมา โดยไม่สะสมไว้ หรือลงทุนไว้ แม้จะเอา ของเขามาก่อน ในเมื่อนี้ ก็จะต้องคืนเขาในเมื่อหน้า และถ้าเราให้เขาไว้เมื่อนี้ เราจะได้คืนแน่ๆ ในเมื่อหน้า นี่คือหลักแห่งความจริง หลักการที่ถูกต้อง ที่สุด ดังนั้น ใครทำใจเย็นได้มากเท่าใด หัดให้ หัดสะสมไว้มากเท่าใด เราก็จะมีมากยิ่งๆเท่านั้น พระพุทธเจ้า ท่านมีมหาสมบัติ และมีทุกสิ่ง ทุกอย่าง พรั่งพร้อม เพราะอะไร? เพราะท่าน "บริจาค" ท่าน "ให้" มานักหนา "ให้" เสียจน แม้ท่านไม่ต้องการเลย ในสมัยชาติของ พระองค์ท่าน ก็ยังมีมายัดเยียดให้ท่าน จนเรียกว่า ล้นแล้วล้นอีก เมื่อมีมากกว่ามาก เหลือคณา เราก็เรียกว่า "ล้นฟ้า" นั่นเอง ใครอยากมี หรืออยากให้จน "ล้นฟ้า" ก็จะต้องหัด "บริจาค" หรือหัด "ให้"ไว้เถิด ให้แล้วก็อย่าไปคิด เอาสิ่งตอบแทน มาก่อนเสียล่ะ ให้ไปโดยแท้ โดยบริสุทธิ์ใจ คือ ให้อย่างลืมกันทีเดียว อย่าคิดถึงมันเลย ว่าเราได้ "บริจาค" เราได้ "ให้" ถ้าเรา "ให้" แล้ว ก็รับสิ่งตอบแทน "การให้"นั้นมา ไม่ว่าจะในรูปของ "วัตถุ" ที่แลกเปลี่ยน หรือในรูปของ "นามธรรม" ก็อย่าไปยินดีรับมา เฉยเมยเสีย เฉยเมยให้ได้จริงๆ แล้วเราจะมี "ทุน" ที่สะสมไว้จริงๆ ทีนี้ พูดถึงเรื่องของด้าน "นามธรรม" บ้าง ถ้าเราอยากได้ "ความดี" มากๆ เราก็หัดจ่าย "ความดี" ออกไป มากๆ ใช้ "ความดี" ออกไป จากตัวเรา ให้มากๆ ความดี ก็จะยิ่งพอกพูน ให้กับตัวเรา มากยิ่งขึ้น คิดให้ดี หรือจะเป็น "ความ..." อะไรก็ตาม หากใครจ่ายไป หรือ ให้สิ่งนั้นไป มากเท่าใด หรือ สะสม สิ่งนั้นไว้เท่าใด เราก็จะยิ่งได้สิ่งนั้นมาไว้ มากเท่านั้น เป็นหลักแห่งความจริง ความแท้ ที่ไม่มีใคร สามารถ จะบิดเบือนได้ ที่พูดนี้ เป็นหลักวิทยาศาสตร์ อย่างแท้ด้วย ไม่ใช่เล่นลิ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่มีใหม่ ไม่มีเก่า และ ไม่สูญหาย ไม่สลายไป นอกจากการเปลี่ยนแปร การเคลื่อนย้าย ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก ก็ยืนยันว่า ไม่ว่าอะไร ในโลกนี้ ไม่มีสูญหาย ไปจากโลก ไม่ว่าพลังงาน หรือ สสาร และ ก็เป็นจริง ดังนั้น ทุกประการ พลังงาน คือนามธรรม และสสาร คือรูปธรรม หรือ วัตถุธรรม ทั้งหลายนั่นเอง ในพิภพจบสากล จักรวาลใดๆ ก็มีของอยู่ ๒ สิ่งนี้ เท่านั้นแหละ ที่มันมีบทบาท หมุนเวียน เปลี่ยนแปร อุบัติอยู่ให้เห็นให้รู้ ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย นอกจากนั้น ถ้าใครสามารถ ทำของ ๒ สิ่งนี้ ให้มัน หยุดหมุน หยุดเวียน หยุดเปลี่ยนได้ ผู้นั้นก็คือผู้ทำ "นิพพาน" ได้ ผู้รู้แจ้ง "เหตุ" ผู้รู้จุดระงับ ผู้ทราบ "ความแท้จริง" ผู้มีดวงตา เห็นธรรม ผู้มีดวงตาแจ้ง "ความแท้จริง" ย่อมเป็นผู้เดือดร้อนน้อย เป็นผู้ถูกหลอก ได้ยาก เป็นผู้สงบ อยู่ได้มากแล้ว และถ้าท่านผู้นี้ ทำของสองสิ่ง ให้กลายเป็นเหลือสิ่งเดียว ได้อย่าง จริงจังละก็ นั่นแหละคือ ท่านผู้นั้น ถึงซึ่งความพินาศ ความหมดสิ้น ความไม่เหลืออะไร ความไม่มีอะไร ความจบ ความหมด ความขาด ซึ่งวัฏฏะ ความเลิกหมุน เลิกเวียน นั่นคือ "ปรินิพพาน" นั่นเองแล ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๓
|