ประกายธรรม ๖-๓

"ฌาน" ที่มีในคนยังลืมตา

ผู้ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์ ต้องทำให้รู้ ทำให้แจ้ง แทงทะลุสิ้น แม้ศัพท์ แม้ภาษาใดๆ ก็ไม่ให้ติด ไม่ให้ขัด และไม่ให้ภาษา หรือที่เรียกกัน ในหมู่นักธรรมว่า "บัญญัติ" หรือ "สมมุติบัญญัติ" นั่นแหละ ติดอยู่ ข้องอยู่ ผูกยึด ตรึงมัดแน่นเอาไว้ อยู่ ณ สิ่งนั้น เขตนั้น ถ้าใครผู้ใด "หลงยึด" หลงผูก หลงตรึงเอาสิ่งนั้น สิ่งนี้ไว้กับศัพท์นั้น ภาษานั้น ผู้นั้นก็เท่ากับ ยึดถือ หรือเป็นผู้เห็น (ทิฏฐิ) ว่าสิ่งนั้นเที่ยง สิ่งนั้น เป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นคือสิ่งนั้น มั่นคง นั่นคือ ผู้นั้นยังไม่ทะลุ ยังไม่แจ้ง ยังไม่ใช่ผู้เข้าใจ และคือ ผู้ยังไม่สว่างไสว ในธรรม เพราะถ้าผู้ใด เข้าใจ ดังที่กล่าวแล้ว ผู้นั้น จึงยังคงเข้าใจผิดอยู่ (มิจฉาทิฏฐิ) เพราะกลายเป็น ผู้เห็นว่า "เที่ยง" เป็นผู้ยึด ผู้ผูก ผู้ปักใจ มัดภาษา (ชื่อเรียกนั้นๆ) ใส่กับสภาวะนั้นๆไว้ จึงขัดกับ สามัญลักษณ์ หรือ ไตรลักษณ์ อย่างจัง จึงยังไม่ใช่การรู้ที่แท้ ที่ถูก ที่ตรง ที่ควรที่สุด ยังรู้เพียงเปลาะหนึ่ง ช่วงหนึ่ง ชั้นหนึ่ง เท่านั้น ยังไกลกับคำว่า "รู้รอบ" (โพธิญาณ หรือพุทธะ) อยู่อีกมากนัก

ดังเช่น ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การไม่มีอะไรเลย เป็นสภาวะว่าง สูญเปล่า หมดสิ้นเกลี้ยง อย่างแท้จริง ผู้ใดเห็น และเรียก ลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็น "ไม่แท้" แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๑.

ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การดับมอด ดับอย่างแท้ นิ่งสนิทอยู่ เรียกลักษณะอย่างนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ ไม่ใช่นิพพาน ผู้นั้น ก็ยังเห็น ไม่แท้อยู่อีก แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๒.

ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การตาย การหมดสภาวะเดิม การไม่อยู่ ในความเป็นไป อย่างเก่า การไม่เป็นไป อีกอย่างนั้น การหยุด ความเป็นไปลง ไม่เป็นไปอย่างนี้อีก เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยัง เห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๓.

ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การกระทำให้สิ่งนั้น หยุดลงเด็ดขาด การหยุดสิ่งนั้นลงเด็ดขาด การระงับ สิ่งนั้น ให้ขาดลงเด็ดขาด การไม่ให้สิ่งนั้น เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด การกระทำชั้น เด็ดขาดลงไป กับสภาวะ ทั้งปวงได้ เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่าไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๔. หรือ ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การเป็นผู้เพียงพอดี ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ไม่ทำให้เอนเอียง ไปข้างรู้สึกทุกข์ ไม่ทำให้เอนเอียง ไปข้างรู้สึกสุข เป็นอยู่อย่างกลางๆ เป็นอยู่อย่างไม่กระทบอารมณ์ใด เป็นไปอยู่อย่าง "ว่างๆ" เป็นไปอยู่อย่างอะไร ก็ได้ตามแต่จะเป็นไป กับสิ่งที่ประสบอยู่ แท้จริงขณะนั้น เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่าไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๕.

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า "นิพพาน" นั้น ถูกทั้ง ๕ นัย ๕ แบบ ตามที่ได้ยกขึ้นมา กล่าวแล้วนั้น แต่ถ้าใคร ผูกยึดตรึง เพียงนัยหนึ่งนัยเดียว หรือแบบหนึ่ง แบบเดียว หรือยึดผูกตรึงเพียงสองนัย สองแบบ หรือเพียง สามนัย สามแบบ หรือเพียงสี่นัย สี่แบบ หรือ แม้เพียงห้านัย ห้าแบบนี้ และ สภาวะของ "นิพพาน" ก็ไม่ใช่ มีเพียง ๕ นัยนี้ เท่านั้นด้วย ก็คือ ผู้ยังหลงยึด ยังหลงผูก หลงมัด ภาษาไว้กับ สภาวะทั้งสิ้น ยังไม่ทะลุ ยังไม่แทงตลอด ต้องเห็นให้ได้ เข้าใจให้ได้ครบทุกนัย ทุกลักษณะ แม้ที่ยังไม่ได้กล่าว ด้วยภาษา ที่เกินกว่า ๕ นัย ที่ได้ยกมาเป็น อาทินี้แล้ว มันต้องเข้าใจให้ได้ ทุกลักษณะ ให้ถ้วนทั่ว ให้เป็นไปรอบ ไม่หลงยึดว่า "เที่ยง" อยู่กับที่ ไม่หลงยึดว่า ถูกตรง อยู่กับสิ่งเดียว ตายตัว เพราะสภาวะ ย่อมเกิดขึ้นด้วย เหตุ-ปัจจัย และเวลา (ยุค) อันแตกต่างกันได้ จึงย่อมไม่ตายตัว เหมือนกันทีเดียว เสมอไป "นิพพาน" ทั้ง ๕ นัยนี้ ได้กล่าวมานั้น ล้วนถูก หรือดีเป็น "สัมมา" ทั้งสิ้น ใครได้พบ ลักษณะ อาการใด กับตน ก่อให้เกิดผล กับตนได้ แม้นัยหนึ่งนัยใด นัยเดียว ก็เรียกว่า ผู้นั้นถึง "นิพพาน" ได้ทั้งสิ้น เป็น "นิพพานแท้ นิพพานจริง" แต่ทว่า ยังไม่ใช่ เข้าใจรอบ หรือเป็นไปรอบ

โดยความแท้จริง ผู้ปฏิบัติดี ก็จะได้ประสบ ได้พบกับ "นิพพาน" ดังกล่าวนั้น ไปทีละขั้นๆ จากนัยที่ ๕ ไปเรื่อยๆ เพราะนัยที่ ๕ นั่นแหละคือ อาการแรก ที่ก่อสุข หรืออาการ "พ้นทุกข์" ขั้นประถม แล้วก็จะค่อย รู้จัก "นิพพาน" ขั้นสูงขึ้นๆ จนถึงขั้นนัยที่๑ นั่นแหละ จึงจะแจ้งว่า ตนถึงแล้ว ซึ่งนิพพาน ทุกนัย และ ย่อมเข้าใจ "นิพพาน" ได้รอบ ได้ถ้วนทั่ว จึงจะไม่หลงยึดหลงผูก "นิพพาน" ไว้แต่เพียงนัยที่ ๕ หรือ เพียงนัยหนึ่ง นัยใด จึงจะเป็นผู้รู้รอบ เข้าใจได้สิ้น

ด้วยเหตุดังนี้เอง ที่เถียงๆกันอยู่นั้น เถียงเพราะผู้เห็น เห็นกันยังไม่รอบ เห็นแต่เพียง คนละอย่าง คนละนัย เช่น คนตาบอด ๑๐ คน ไปคลำช้าง คนหนึ่งคลำได้ถูกแต่ขา ก็เห็นว่าช้าง มีรูปเป็นเสา คนหนึ่ง คลำถูกหาง ก็เห็นว่า ช้างมีรูปเป็นไม้กวาด คนหนึ่งคลำ ถูกงวง ก็เห็นว่า ช้างมีรูปเป็นงู คนหนึ่งคลำถูกสีข้าง ก็เห็นว่า ช้างมีรูปเป็นแผ่นผนัง และคนอื่นๆ ก็คลำถูกแต่เฉพาะ ส่วนที่ตน ไปคลำถูกนั้นๆ ฯลฯ จึงทำให้ คนตาบอด ทั้ง ๑๐ โต้เถียงกัน คอแตกตายเปล่า เพราะทุกคน คลำด้วยมือของตน รับรู้จากประสาทของตน อย่างแท้ ไม่ได้เลอะเทอะ หรือหลงใหลฟั่นเฟือน แต่อย่างใด ทุกคนมั่นใจ ทุกคนปักใจ อย่างแน่วแน่ ว่าตนเห็นถูก แต่เมื่อนำมา บอกเพื่อนๆ กลับเป็นความเห็น ที่ไม่ตรงกันเลย มันจึงกลายเป็น เถียงกันไม่รู้ จนฆ่ากัน ตายเปล่าๆ แต่แท้จริงนั้น ทุกคนถูก ทุกคนจริง ทว่ามันถูก ยังไม่หมด มันจริงยังไม่ถ้วน จึงอย่าเพิ่งไปหัก ไปโค่นใคร ไปโต้ไปเถียงใคร เรารับฟัง รับรู้ รับคิด พิจารณาเถิด อย่ามีมานทิฏฐิ ถ้าเราเป็น พระอนุตตร สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่นแหละ จึงค่อยควรตัดสิน ลงมติว่า ผู้นั้นผิดจริง ไม่ผิดจริง ตราบใด เรายังไม่ถึง ขั้น รู้รอบ เป็นอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ก็อย่าเพิ่งไป หักล้างรุนแรง ลงมติเอาด้วยพลการเลย มันเป็น "มานะ" เป็นความถือดี เข้าข้างตน เป็นกิเลสแท้ ตัวสำคัญ อันศาสดาเจ้าแห่งลัทธิทั้งหลาย ได้ติด ได้พากันหลง มาแล้วมากมาย เพราะกิเลสแห่งสัญโยชน์ข้อที่ ๘. ตัว "มานะ" นี่เองแหละ จึงทำให้ปัญญา แม้ดีแล้ว เก่งแล้วทีเดียว ในตัวศาสดานั้นๆ ก็พาตนสู่ดี ทะลุตลอดไปไม่ได้ แม้เรื่องของ "นิพพาน" ดังที่นำมา กล่าวถึงแล้วนั้น จะยกมากล่าวต่ออีกว่า ถ้าแม้เพียงผู้ใดเห็นว่า "นิพพาน" คือ จิตสงบดิ่ง นิ่งอยู่เป็นหนึ่ง มีความวางเฉย เป็นปกติอยู่ หรือคือ ผู้มีเอกัคคตา อุเบกขา อันเป็นองค์ธรรม ของฌาน ๔ (จตุตถฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ก็ยังอนุโลม ให้เห็นว่าเป็น "นิพพาน" ได้ แต่เป็น นิพพาน ขั้นลำพอง ชั้นขั้นประถม ไม่ผิดแท้ ตรงทาง แต่ยังไม่ถึงที่สุด เป็นการไปอย่างดี เป็นผู้อยู่ใน "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้าได้

และหรือ ผู้ใดแม้เพียงเห็นว่า "นิพพาน" คือความสุข ความแช่มชื่นใจ ในจิตอันสงบ ระงับเป็นหนึ่งอยู่ หรือคือผู้มีสุข เอกัคคตา อันเป็นองค์ธรรม ของฌาน ๓ (ตติยฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ถ้าไม่ถือ ซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ไม่ไปปักใจ หลงยึด เอาแค่นี้ เป็นที่สุด จะเรียกจุดที่ถึงแล้วนี้ ของตนว่า "นิพพาน" ของตนก็ยังได้ ก็เป็นการดี ยังเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้าได้

หรือแม้จะเพียงเห็นว่า ความอิ่มอกอิ่มใจ ความแช่มชื่นใจในจิต อันสงบ ระงับเป็นหนึ่งอยู่ หรือคือ ผู้มีปีติ สุข เอกัคคตา อันเป็นองค์ธรรม ของฌาน ๒ (ทุติยฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ก็ยังนับเข้า โดยอนุโลมว่า เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในขั้น "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้าได้

หรือแม้จะเพียงที่สุดจะเห็นว่า ความตริตรึกนึกตรอง อยู่แต่กับเรื่องราว ที่เกิดๆดับๆ อยู่ในจิตนั้น สงบระงับ ของตน จิตพ้นธรรม อกุศล ออกมาได้แล้ว มีความเป็นอยู่แต่กับจิตนี้ โดยไม่เอากิเลส ตัณหา อุปาทาน มาปรุงมาแต่งด้วย หรือคือผู้มี วิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จะเรียก ลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ของคนผู้นั้น ก็ยังอนุโลมนับให้ได้ว่า ผู้นี้เป็นไปแล้ว อย่างดี มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) กำลังเพียรตน อยู่ในทางที่ถูก ที่ควร ที่จะเป็นไปเพื่อ "นิพพาน" ที่แท้ที่จริงที่สูงสุด เป็นผู้เดินอยู่ในทางดี ทางตรงทางแท้ (อริยมรรค) ไม่ผิดเลย แต่ยังไม่ถึง เท่านั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่อยู่ในระดับจิตนั้นๆทุกระยะ ขอให้ตน อย่าหลงผิด อย่ามีมานะทิฏฐิ และต้องเป็นผู้มี "สติ" หยั่งพากเพียร รู้อยู่เสมอ ว่าเรากำลังเป็นอยู่ ในสถานะใดๆ เท่านั้น แต่จะอนุโลม กันไปจนถึง ขีดสุดกว่านี้โดย แม้ผู้เห็นว่า การเอร็ดอร่อย อยู่กับกามคุณ ๕ อันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเป็นสุข (พ้นทุกข์) เป็นความเยี่ยม ความดี เป็นความถูก ความต้อง เป็น "นิพพาน" นั้น เห็นถ้าจะยอมไม่ได้ แม้จะเรียกผู้สมใจ ในการได้เสพรูป เสพรส เสพกลิ่น เสพเสียง เสพสัมผัส อย่างเต็มคราบ ดั่งพระมหาจอมจักรพรรดิ์ จะบันดาลเอา ดั่งมหาเศรษฐี จะเสกสรร ปั้นเอาได้ อันเขาจะพึงหามาเสพ ให้เหลือล้น จนมองหาทุกข์ ไม่เห็นอย่างไร ก็ตาม ก็คงจะเรียกว่าเป็น การพ้นทุกข์ โดยนัยของ "นิพพาน" หรือ พ้นทุกข์อริยสัจ ตามนัยของ พระพุทธเจ้าไม่ได้แน่ นอกจากจะเรียกว่า "บำบัดทุกข์" หรือ หนีทุกข์ชั่วคราว อันเรียกว่า สุขอย่างโลกีย์ เท่านั้นเอง

ดังนั้น แม้ผู้ใดพึงเพียรปฏิบัติอยู่ และได้ละขาดจากกามคุณ ๕ ลงได้ เพียงชั่วระยะหนึ่ง ระยะใด ขาดจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นสุขอยู่กับจิต พ้นอกุศลธรรม แม้จิตจะปรุงแต่งอยู่ เป็นเกิดๆ ดับๆ อยู่แต่ในจิต อันยังไม่ดับ มอดลงได้ ก็ย่อมถือได้ว่าผู้นั้นมี "นิพพาน" เป็นอารมณ์ มี "นิพพาน" เป็นเครื่องอยู่ มี "นิพพาน" เป็นที่หมาย และ เป็นที่สุดโดยแท้ การปฏิบัติที่เรียกว่า มี "นิพพาน" เป็นอารมณ์นั้นคือ การกระทำ อย่างนี้ ผู้นี้จึงคือ ผู้มีสัมมาปฏิบัติโดยจริง ผู้กำลังทำตน ให้เป็นไปอย่างถูก อย่างแท้ อย่างตรง อย่างควร ตามนัย คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

นั่นแหละคือ คนผู้ใด ลงมือหัด นั่งหลับตา ดำเนินตน ทำจิตให้เข้าสู่ "สมถะ" เมื่อจิตดำเนินเข้าสู่ฌานที่ ๑. อันมีองค์ธรรม วิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ได้ละก็ คือ ผู้เริ่มมี "นิพพาน" เป็นอารมณ์ หรือ คือผู้กำลัง หมดกิเลส มีแต่จิตปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านอยู่แต่ในจิตของตนเอง ไม่ออกมา นอกกาย เกิดๆ ดับๆอยู่อย่างนั้น เมื่อเริ่มไม่สร้างกามตัณหา อะไรให้ตน ผู้นั้นแหละคือ ผู้กำลังอยู่ในกระแสนิพพาน อยู่ในห้วง แห่งนิพพาน โดยจริงโดยแท้ เป็นผู้ห่างจากกิเลส คือ กามตัณหา โดยควร กำลังเป็นผู้ตั้งทิศ ติดเครื่องยนต์ ผลักดันตน ให้พุ่งเข้าหา จุดหมายปลายทาง คือ "นิพพาน" อันจะเป็นจุดสุดยอด

แต่ถ้าผู้ใด พึงปฏิบัติตนให้ได้เพียงเท่านี้ สงบระงับได้เพียงเท่านี้ คือแค่ ระงับกิเลส นิวรณ์ให้หมดสิ้น และจมอยู่กับจิต ระดับแค่นี้ ไม่ก้าวหน้า ไม่มีการ "ดับ" วิตกวิจาร (จิตฟุ้งซ่านอยู่กับอารมณ์ปรุงแต่ง แห่งการเกิดดับ ของจิตตัวเอง คือยังมีตัณหา ปรุงแต่งจิตอยู่ อันเป็นตัณหา แห่งการเกิด-ดับในจิต ที่เรียกว่า ภวตัณหา) ความตริตรึก นึกคิดอยู่กับ จิตปรุงแต่ง ของตนนี้ เป็นไปอยู่แล้วๆเล่าๆ ไม่ระงับลงได้ (เพราะไม่ระงับ ตัณหาตัวใน อันคือ ภวตัณหา จึงคงทำงานอยู่เรื่อย) คนผู้นี้ ก็จะได้ อารมณ์นิพพาน ก็เพียงแค่นี้ จะสูงขึ้น กว่านี้ไม่ได้ จึงได้ "นิพพาน" ขั้นชั้นประถมจริงๆ จะเห็นแต่การเกิด คือ "นาม" และ การดับอันคือ "รูป" อยู่แล้วๆเล่าๆ เท่านั้น เมื่อนาม และรูป มันสัมพันธ์กัน มันปรุงแต่งกัน มันก็เกิด เป็นเรื่องเป็นราว เป็นชีวิตชีวา เป็นตัวเป็นตน ให้เรารู้ เราเห็นอยู่อย่างนั้น เรื่องแล้วเรื่องเล่า อยู่นั่นเอง "นิพพาน" จึงเป็น นิพพาน แค่ความสุข ที่ได้รู้ ได้เห็น เรื่องราวต่างๆ เห็นชีวิตชีวาต่างๆ ในจิตของตน เหมือนคน นำอาหารแห้ง หรือ พวกของแห้งต่างๆ ไม่มีอาหารใหม่สดอันใด (สัญญา) ของตน ที่เคยเก็บ สะสมไว้ ออกมาปรุงเป็นต้น เป็นผัด เป็นแกง เป็นยำใหญ่ ให้ตนเองกินอีกที รสชาติก็เท่านั้นๆ

ถ้าผู้ใด พยายามมี"สติ" อ่านสภาวะฌานที่ ๑ นี้ให้ออก ก็จะเห็น ดังที่ข้าพเจ้า อธิบายนี้ ก็จะแจ้ง สภาพของฌานได้ จะรู้กำหนดขีดขั้น ของสภาวะฌาน ได้ด้วย บางคนเคยผ่านฌานที่ ๑ นี้มานักหนา แต่ไม่รู้ว่าตนผ่าน เพราะไม่รู้เรื่องแท้จริง ปฐมฌาน หรือ ฌานที่ ๑ นี้ไม่ได้ลึก ไม่ได้ไกลอะไร นักหนาเลย แค่คนผู้ระงับ กิเลส ระงับนิวรณ์ ให้ได้เท่านั้น ก็เป็นฌานแล้ว

ดังนั้น คนผู้ใด เข้าที่นั่งหลับตา แล้วก็สำรวมจิต เข้าระงับกิเลส ตัดนิวรณ์ให้ได้ ผู้นั้น ก็จะเข้าสู่ฌานขั้นที่ ๑ ทันที และโดยเช่นเดียวกัน สำหรับ ผู้ไม่ได้นั่งเข้าที่หลับตา (คือคนธรรมดา) แม้จะเป็นคนปกติลืมตา ก็จึงนับเป็น "ผู้มีฌาน" เป็นผู้รู้แจ้ง เห็นนาม-รูป ได้ เป็นผู้เรียกได้ว่า กำลังมีการ ปฏิบัติธรรม ของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า อย่างถูก อย่างแท้ ได้เช่นกัน

นั่นคือ คนผู้ใดพยายามมีสติ ระลึกรู้ตนให้ได้ แล้วก็พยายาม ตัดกิเลส ตัดนิวรณ์ต่างๆ อย่าให้เข้ามา ในจิตตนได้ เมื่อเป็นไปได้ อย่างนั้นขึ้นมา ขณะใด นั่นแหละคือ ผู้นั้นเป็นผู้มีฌานในตน เป็นผู้มีฌาน ประดับตนแล้ว เป็นผู้ไร้กิเลส ไร้นิวรณ์ ๕ เป็นสมุจเฉท แม้จะอยู่ในขณะลืมตา และ ปฏิบัติกิจ การงานใดๆ อยู่ก็ตาม

คนผู้มี "ฌานประดับตน" ดั่งนี้ จึงคือ ผู้หมดยึดถือ คือ ผู้ไม่รู้สึกกาย หรือ ผู้ไม่เอาภาระ กับตัวตน ขั้นที่ ๑ เรียกได้ว่า ละสักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด จะมากน้อยแค่ใด ก็ตามแรง แห่งความละขาดของผู้นั้น ตราบใด เป็นอยู่อย่างนี้ จิตเป็นไปได้อย่างแท้จริง คนผู้นี้ก็จะทำ กิจการงานนั้นๆ อยู่อย่างไม่ยึดถือ อย่างไม่มีอารมณ์กิเลส และนิวรณ์ใดๆ ย่อมเป็นกิจการงาน ก็เพียงเพื่อ กิจการงานนั้นๆ และ เพื่อผู้อื่นเท่านั้น คำว่า เพื่อ "ตัวตน" จึงไม่มี เพราะผู้นี้ไม่มี "ตัวตน" แล้ว

ความสูง ความดี จึงเกิดอยู่ดังนี้ เป็นไปในลักษณะนี้ นี่คือ "คุณ" นี่คือ "ประโยชน์" ของพระอริยะ คนผู้ใดมี "ฌานประดับตน" ดังกล่าวนี้ และยังคงมีฌาน อยู่ในตน คือมีลักษณะจิต และอารมณ์ ดังเล่ามานี้ ในตนอยู่ตราบใด คนผู้นั้นก็เป็น "พระอริยเจ้า" อยู่ตราบนั้น

และถ้าคนผู้ใด เพียงทำตนให้อยู่ในสภาวะ ไร้กิเลส ไร้นิวรณ์ได้ มีสติครองตน หมดความยึดถือ "ตัวตน" ดังกล่าวแล้ว ครองอยู่ได้ ในชั่วระยะเวลาใด ก็ในช่วงระยะเวลานั้นแหละ คนผู้นั้น ครองความเป็น "พระอริยเจ้า" จะเป็นพระอริยเจ้า นานช้าเท่าใด ก็อยู่ที่คนผู้นั้น ทำตนให้มี "ฌานประดับตน" ให้มีสติ ครองตนให้ได้ ตามระยะเวลานั้นๆ เมื่อหมด "ฌาน" คือปล่อยกิเลส ให้นิวรณ์เข้าครอบงำ เสียเมื่อใด เมื่อนั้น ก็หมดความเป็น "พระอริยเจ้า" ลง ลักษณะของคน ผู้มีคุณแท้แก่โลก และแก่ตนก็หมดลง แต่ถ้าผู้ใด หมด "ฌาน" ลงแล้ว หากยังมี "สติครองตนอยู่ ก็ยังนับว่า คนผู้นั้นก็ยังดี ยังลดลง จากความเป็น พระอริยเจ้าลงไป เป็นผู้มี "ธรรม" คือมี "สติกำกับตน" เมื่อใด ปล่อยให้ "กิเลส" เข้าครอบงำได้ ก็ยังจะรู้ตัว ได้ว่า ตนแพ้กิเลสแล้วหนอ ก็รู้ล่ะ ว่าตนเลว ว่าตนชั่ว ตนเป็นผู้แพ้เมื่อใด ประหารกิเลสลงได้ กิเลสนิวรณ์ เข้ามาในตนไม่ได้ เมื่อนั้นก็มี "คุณลักษณะ" เป็นพระอริยเจ้า ขึ้นมาอีก แต่ถ้าขืนปล่อยให้ "สติ" ขาดหายหลุดไป จากตนเมื่อใด เมื่อนั้น เราก็คือ "ปุถุชน" คือผู้มีความเป็นโลก คนผู้หลง อยู่กับอารมณ์ แวดล้อม (อันก็คือโลก) ย่อมไม่ใช่ผู้ใฝ่สูง บุคคลผู้เรียกได้ว่า สมณะ เรียกได้ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม เรียกได้ว่า ผู้พึงเพียร บำเพ็ญธรรม จักเป็นผู้พ้น ผู้หลุด เป็นผู้สูงได้ในอนาคต แม้พากเพียร อยู่ตราบใด ย่อมเป็นที่หวังได้ว่า จะเป็นผู้ถึงซึ่งอรหันต์

เพราะฉะนั้น ลองมาสนใจกันอีกสักนิดเถอะว่า การทำตนให้สู่ที่สูง หรือที่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น คือ อย่างไรกันแน่

นอกจากคือ ผู้ที่พยายามนั่งหลับตา บำเพ็ญฌาน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ต้นนั้น เพื่อให้ "จิต" ได้ฝึก เพื่อให้ "จิต" ได้กระทบ ได้สัมผัส กับสภาวะ ที่เรียกว่า "ฌาน" ตามนัย ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ก็ยังมี อีกทางหนึ่ง คือ จงเป็นผู้หัดมี "สติ" ตรวจตราตนเอง หรือควบคุมตนเอง แล้วก็พยายาม สะกัดกั้น ประหัตประหาร กิเลสนิวรณ์ให้ได้ ช่วงเวลาใดที่ "จิต" ผู้ใด เป็นผู้อยู่โดยมี "สติ" ครองตน และ สะกัดกั้น ประหาร กิเลสนิวรณ์ ลงได้หมด ช่วงเวลานั้น คนผู้นั้น ก็คือผู้มี "ฌานประดับตน" เป็น "พระอริยเจ้า" ชั่วคราว เป็นผู้พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นผู้มีคุณประโยชน์แก่โลก และแก่ตน เพราะเป็นผู้ ไม่มีตัวตนแล้ว ขณะนั้น และผู้นั้น ก็คือคนดีๆ มีสติสัมปชัญญะ ลืมตาโพลงๆ นี่แล ไม่ใช่ผู้นั่งหลับตา แต่อย่างใด ผู้นี้แหละ ยิ่งคือ ผู้ได้ "ฌาน" ในขณะนั่งหลับตา อยู่เสียอีก เป็นผู้สูงกว่า ผู้ได้ "ฌาน" ในขณะนั่งหลับตา เป็นไหนๆ

นี้แหละคือ การปฏิบัติธรรมโดยแท้จริง การเป็นผู้อยู่โดยชอบ โดยควร จะเป็นใคร ก็ได้ ทำมาหากินอยู่ อย่างหนักเท่าใดก็ได้ ปฏิบัติ ดังกล่าวแล้วนั้นได้ ทำตนอย่างนั้นได้ ก็จงได้เร่งทำ ได้เร่งลงมือเถิด คุณประโยชน์แท้ แก่นสารแท้จริง อยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น แลในคนนอกกว่านี้ หามีอันใด ที่จะเป็นทาง ที่น่ายึดถือ หรือสร้าง แก่นสารให้แก่ตนได้ไม่

๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๓