เม็ดทราย ๑๘

ที่พระพุทธองค์ทรงตั้งสังคมสงฆ์ขึ้น
ก็เพื่อจะให้เป็นแบบอย่าง แห่งการสร้างสรรค์ สังคมมนุษย์ขึ้นใหม่
ให้เป็นสังคมที่มุ่งถือ ความเป็นพระอริยเจ้า
แม้จะยังเข้าไม่ถึงขั้นนั้น
ก็ยังเป็นสังคม ที่เป็นแบบอย่าง ทางคุณค่า
ให้แก่สังคม ภายนอกได้
ให้สังคมภายนอกเห็น และซาบซึ้ง
ถึงการไม่ติดยึด การไม่เห็นแก่ตัว
การไม่มัวเมาในกาม และในโลกธรรมต่างๆ
ทั้งยังเป็นสังคม แห่งความเมตตา กรุณา
ที่มีการให้ ยิ่งกว่าการรับอีกด้วย

ส.ศิวรักษ์



ต้นเดือนพร่ำคำผีตีความฝัน
กลางเดือนยันต์หลวงพ่อเลขก็บ่ง
เสาร์อาทิตย์ติดตำราอาชาทรง
มืดค่ำลงดื่มสุราพร่าโลกีย์
สิ่งเสพติดพิษร้ายยังหมายมุ่ง
สังคมยุ่งอบายมุขทุกข์ถ้วนถี่
คนทำชั่วยั่วเหยียดเบียดเบียนมี
คนทำดีเศร้าสลดหมดปลอดภัย

วิจิตร ชื่นตา



ถ้าหากเลิก "สนามม้า" ขอสาธุ
เหมือนกับรุอบายมุขทิ้งทุกสิ่ง
ไม่เห็นใครเล่นม้าว่ารวยจริง
กลับจะยิ่งหมดตัวหากมัวเมา
พวกคัดค้านหวังนะผลประโยชน์
พากันโกรธขาดหาย รายได้เขา
เพียงรัฐฯ ลดวันแข่งไม่แบ่งเบา
ควรเลิกเอาทั้งหมดได้ขอ...ไชโย

รวีรัญจวน



สักวาหัวคนสวมหัวโขน
ก็ผาดโผนเล่นไปในบทบาท
สวมหัวใส่ได้ดีมีอำนาจ
ทำวางมาดอาจองทะนงตัว
หยิ่งหยามเหยียบย่ำผู้ต่ำกว่า
ลืมไปว่าโขนที่ใส่ไว้บนหัว
ใช่ของตนโง่เขลาหลงเมามัว
ข่มเขาทั่วลืมตนหลงโขนเอย

โสภี สินอำพล


 

ขอตามไปทุกแห่ง
ไปเถอะท่าน...ไปเถอะ
ข้าน้อยขอตามไปทุกหนแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายหรือมหาสมุทร
ไม่ว่าจะเป็นขอบโลกหรือปลายฟ้า
ยินดี...
ข้าน้อยยินดีที่จะตาม
ตามอย่างไม่พรั่น
ตามอย่างไม่เกรง

แม้อุปสรรคจะมากมายมหาศาล
ราวกับใบไม้แห่งป่าใหญ่
ทุกข์ยากและเจ็บปวด
ดั่งพายุเข็มทิ่มแทงนับแสนล้าน
ช้ำสุดช้ำ...
ประดุจเศษพิษ ที่ถูกบดขยี้ในหินครก
แม้จะขนาดนี้ ขนาดนี้
ข้าน้อยก็จะไม่ถอย แม้สักก้าว

ขอให้มีท่าน
ขอให้ท่านยืนหยัด
ขอให้ท่านยืนยัน
ยืนยันสาธุการ
ด้วยเมล็ดพืชแห่งศรัทธา
ได้หยั่งรากแทงลึก
แตกผลิใบ แผ่กิ่งก้านสาขาบานขยาย
ออกดอกออกผล เต็มท้องทุ่ง

ใครบางคนหยามหยัน
ส่ายหน้าสงสาร
กล่าวหาถึงความงมงาย บ้าคลั่ง

เขาไม่รู้...
เขายังไม่รู้จักท่าน
และเขายังไม่รู้จัก คนอย่างข้าน้อย
เขาคงคิดว่า เขาเก่งเป็นฝ่ายถูก
และเขาจะต้อง ถูกอยู่เสมอ
แต่สำหรับข้าน้อย
เขาไม่รู้หรอกว่า ศรัทธาที่แท้นั้น เป็นไฉน
ศรัทธาไม่ใช่หัวเต่า ที่ยืดยืดหดหด
ศรัทธาไม่ใช่ของสำเร็จรูป
แต่เป็นศรัทธา ที่ผ่านการวิวัฒนาการ
เพ่งเผาพิสูจน์
รู้กันให้กระจะ ถึงคำสอน
รู้กันเห็นชัด ถึงมรรคผล

ไปเถอะท่าน...ไปเถอะ
ของที่ร่วงหล่น จากฟากฟ้า สู่แผ่นดิน
ไม่มีโอกาส จะพุ่งกลับย้อนทวน
ศรัทธาของข้าน้อย ก็เฉกเช่น
ขอให้มีท่าน ขอให้ท่านสาธุ
ข้าน้อยจะไม่รอช้า จะเดินตามไล่หลัง อย่างนอบน้อม

มโนมอบพระผู้เสวยสวรรค์ ชีวิตแห่งการกอบกู้ศาสนา
ฝากไว้กับท่าน ผู้อุทิศ 24 ชั่วโมง ใน 1 วัน
และลมหายใจทุกเข้า-ออก อยู่กับศาสนา
ศาสนาแห่งองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ตรัสรู้ดีรู้ชอบ
ท่านเป็นนักรบ
นักรบแห่งกองทัพธรรม ผู้ตัดหัวถวายแล้ว เป็นพุทธบูชา
ข้าน้อยไม่เคลือบแคลงสงสัย

ไปเถอะท่าน...ไปเถอะ ท่านผู้เป็นขุนศึก
ผู้มีลมหายใจ คือการต่อสู้ กิน อยู่ หลับ นอน
ท่ามกลางสมรภูมิ หฤโหด
จากเช้าถึงมืด จากมืดถึงเช้า วันแล้ววันเล่า

ข้าน้อยมอบแล้ว ซึ่งจิตวิญญาณทั้งหมด
ชีวิตนี้ขออุทิศแด่ท่าน นอบน้อมสำรวม
ถ่อมตนตามหลัง
แม้สงสัย ก็จะรีบถาม แม้มีปัญหา ก็จะรีบซัก
จะไม่ให้มันเป็น เชื้อร้ายสั่งสม เกาะกิน ทีละนิด จนสูญสิ้น

พาไปเถอะท่าน...พาไป
สุ.จิ.ปุ.ลิ. ฟัง คิด ถาม เขียน
ข้าน้อยซาบซึ้ง บทสอนเหล่านี้ และตระหนักโทษภัย อันแสนร้าย
สำหรับผู้ละเลย สี่บท พลานุภาพ ฟัง..ฟังให้มาก ให้เป็นไปเพื่อละ
คิด..คิดให้มาก ให้เป็นไปเพื่อหน่าย

ถาม..ถามให้บ่อย เพื่อจะได้ไม่สงสัย แม้เรื่องเล็ก เรื่องน้อย และเขียน...
เขียนไว้ จดไว้อย่าให้ลืม

นำไปเถอะท่าน...นำไป นำเข้าสู่สมรภูมิ ที่มากเชิงชั้น ซ่อนเงื่อน
ระหว่าง อสูรกับเทวะ
เพื่อจะได้ไม่หลงติดกับข้าศึก ที่วางไว้
ข้าน้อยพร้อมแล้ว ที่จะติดตาม อย่างไม่ลังเลหัวใจ

นำไปเถอะท่าน...นำไป ถนนสู่ดวงดารา แฝงเร้น กับดักมาร ร้อยแปด
ข้าน้อยผู้เยาว์ประสบการณ์ ครุ่นคิดแต่โลกียารมณ์
วุ่นวายอยู่กับชาวโลก
พอพอกับเวลาของท่านที่อุทิศ
อุทิศให้แก่การปกป้องสัจธรรม

นำไปเถอะท่าน...นำไป
บอกมาเถอะท่าน... บอกมา
ท่านผู้มีปาฏิหาริย์ แห่งอนุสาสนี
ซึ่งข้าน้อย กำลังพิสูจน์อยู่
และบางส่วน ก็ได้พิสูจน์แล้ว ขอเพียงเปล่งกล่าว คำสาธุการ
ข้าน้อยจะไม่รีรอ นำเถอะท่าน... นำไป

เอราวัณ



ชีวิตกับการเดินทาง
เมื่อตระหนักถึง ความไร้สาระของชีวิต
ที่มีแต่ผลาญพร่าเวลา
ไปกับความสุข จอมปลอม
บำรุงบำเรอตน ด้วยการใฝ่หา ความสนุกสนานรื่นรมย์
กลบเกลื่อนทุกข์ ด้วยการเสพกาม... กลั้วอบาย... โดยมีแต่ความเสื่อมต่ำ
แห่งจิตวิญญาณ เป็นผลลัพธ์
ชีวิตจึงเริ่มต้นที่จะ "แสวงหา"

ด้วยมโนสำนึก แห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์
ว่ามิใช่เพียงปล่อยตัว ปล่อยใจ ไปตามสัญชาตญาณ
และอำนาจใคร่อยาก.. เยี่ยงสัตว์
หากแต่ควรรังสรรค์ ความดีงาม
ให้แก่ตน และสังคม
ทิศทางใหม่ที่ค้นพบ
จึงคือการเดินตาม รอยพระอริยะ
ไปสู่หนทางอัน สะอาด สว่าง สงบ สุภาพ
ณ จุดหมาย ของการเดินทาง
คือดินแดนแห่งโลกุตระ อันไกลโพ้น
ที่ซึ่งดวงตะวัน ทอแสงสีทอง
ฉาบไล้ไปทั่วอาณาจักร
แวดล้อมไปด้วย มวลพฤกษชาตินานา
อันเป็นที่สถิตของ พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ซึ่งจะประทาน ปีกแห่งความอิสระ... สันติ
ให้แก่หัวใจทุกดวง ที่ดั้นด้นไปถึง

แต่ระยะทาง ที่จะต้องรอนแรมไปนั้น ยาวไกลนัก
ซึ่งบางที... อาจต้องใช้เวลาเดินทาง ทั้งชีวิต
และแม้จะเป็น ทางเอก.. ทางเดียว
แต่สองข้างทาง ก็ยังเต็มไปด้วย เหล่าพญามาร
ที่คอยหลอกล่อ ให้เดินหลง

ซ้ำในบางขณะ
เมื่อเหลียวมองไปยัง ทิศทางเดิม
อันอบอวลไปด้วย เกสรดอกไม้ และหยาดทิพย์
หัวใจก็ยังวาบไหว ไปกับเยื่อใย อาลัยอาวรณ์
และอานุภาพของ สายสัมพันธ์ ในสมมติสัจจะ
ลาก่อน... ความรัก... ความอบอุ่น... ลาแล้ว
หนทางข้างหน้า ทุรกันดารมากขึ้น
ขณะมีเพียงเท้าเปล่า และความจริงใจ
สำหรับใช้ ในการเดินทาง
บางก้าว จึงเจ็บปวดนักหนา
และหลายคน ที่น้ำตาร่วงริน
แต่..แม้จะลำเค็ญเพียงใด
การหันหลังกลับ ก็มิใช่วิสัยของนักรบ

ชีวิตนี้สั้นนัก ไม่มีเวลา สำหรับ การคร่ำครวญ อีกต่อไป
ทุกนาทีมีค่า เกินกว่าจะหยุดอยู่
และ...สุดท้าย
แม้จะไป ไม่ถึงจุดหมาย
ก็ขอไปให้ใกล้ที่สุด
แต่หากบุญวาสนามีพอ
เราก็อาจได้คืนกลับมา
ด้วยปีกแห่งอิสระ และสันตินั้น

อิสรา
๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๔


ภายในอาณาจักร
แห่งความมืดมน ทางปัญญานี้
เป็นที่รวมของมหันตภัย อันร้ายแรง
และรุกรานชีวิตมนุษย์ มาตั้งแต่เกิด
มันเป็นต้นเหตุ แห่งการแก่งแย่ง พยาบาท
เป็นจุดก่อภัยสงคราม อันโหดร้ายทารุณ
เป็นความหลอกหลอน ให้ประหวั่นพรั่นพรึง

แต่ที่อันตรายลึกซึ้ง และน่ากลัวที่สุด
กลับอยู่ในรูปของ ความฝันเฟื่อง เพลิดเพลิน
ที่ลวงล่อผู้คนให้หลงใหล จนยอมตน วนเวียนอยู่ในมัน โดยคิดว่า เป็นสุขอันถาวร
แต่เมื่อใด ที่จิตใจเรา พ้นออกมาจาก อาณาเขต ความมืดมิดนั้นแล้ว
เราก็จะสำนึกว่า มันเป็นความสุข จอมปลอม ทั้งสิ้น
นกสีน้ำเงิน



คืนวันของการวิ่งเวียนวน
กระเสือกกระสนไปข้างหน้า
เหนื่อยหน่ายและอ่อนล้า
ระโหยดวงวิญญา
ฝันใฝ่ไขว่คว้าหาสิ่งใด
คือเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ
คือความรัก คือความสุข หรือไฉน
คือสวรรค์ คือความดี คืออะไร
หรือสุดท้ายเพียงแต่การวิ่งไล่
ไขว่คว้าเงาแห่งความคิดคำนึง
21 ส.



เหล่ามารเริ่มขานรับ
ระดมแสนยานุภาพ อันน่าแตกตื่น
เบนปากกระบอกปืน หมายถล่ม เหล่านักรบพระพุทธองค์
ผู้มีหัวใจอิ่มเอิบ ไปด้วยอหิงสา
การรบที่ยิ่งใหญ่ กว่าครั้งประวัติศาสตร์ใดๆ กำลังจะอุบัติ
นักรบต้องแข็งแกร่ง นักรบต้องเร่งเพียร
ละลด ละลด ตัดปล่อย ตัดปล่อย
สิ่งที่หลุดออกไป คือพละที่เสริมเข้ามา
เร่งเข้า เร่งเข้า อย่าช้า
มองตนให้มาก มองคนอื่นให้น้อย
สร้างตบะธรรมให้เก่ง เพื่อเตรียมประจัญ กับเหล่านักรบ ที่ปลุกขึ้นมาจาก ขุมโลกันตร์

ใต้ร่มอโศก



สารอโศก สันติอโศก '25 ปีที่ 2(5) ฉบับที่ 4 ธันวาคม 2524


 

อย่ารอจนถึงวันเก็บเกี่ยว
ถ้าชีวิตคือผืนนา ผืนนาที่มีคุณค่า
คือผืนนาที่อุดมไปด้วย ต้นข้าวที่รวงอวบอ้วน
เมื่อฤดูแห่งการทำนามาถึง
ชาวนาก็จะตั้งใจ ไถ คราด หว่าน ดำ
ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ
และ..หวังให้ผืนนาของตน เป็นทุ่งรวงทอง
แต่โดยสัจจะแล้ว.. ในนาทุกแห่ง
จะต้องมีหญ้า และวัชพืชอื่นอื่น
เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับต้นข้าวกล้าด้วย
ชาวนาที่ฉลาด จะต้องหมั่นสังเกต เพื่อแยกแยะ ให้รู้ว่า
อะไรคือต้นข้าว อะไรคือต้นหญ้า
และหมั่นถอน ทำลาย ต้นหญ้าในนา ที่กำลังงอกงาม คอยแย่งอาหาร และทำลายต้นข้าว
ชาวนาที่มีปัญญา จะไม่ปล่อย ให้ต้นหญ้าเติบโต ในนาของตน จนถึงวันเก็บเกี่ยว
เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวัน
ก็ยิ่งยากแก่การทำลาย
และผลผลิตของข้าวในนา ก็จะยิ่งลดลง

ต้นข้าว คือ ความดี
ต้นหญ้า คือ ความชั่วร้าย
คนควรหมั่นถนอม ทำนุบำรุง ความดี และขจัดทำลาย ความชั่วร้าย
เหมือนชาวนาหมั่นดูแล และให้ปุ๋ยแก่ต้นข้าว
และคอยขจัด ทำลายต้นหญ้า เพราะเขารู้ดีว่า

ต้นหญ้าขึ้นง่าย โตเร็ว โดยไม่ต้องปลูก
และขจัดออกยาก ในภายหลัง
เหมือนกิเลสตัณหา ในตัวมนุษย์ ยิ่งปล่อยเอาไว้ ก็ยิ่งขยายตัว อย่างรวดเร็ว และระรานความดี ที่มีอยู่ให้เสื่อมถอย

เมื่อต้นข้าวยังเล็กอยู่ อาจเป็นการยาก สำหรับผู้ยังไม่จัดเจน
ที่จะแยกแยะว่า ต้นไหนคือต้นข้าว ต้นไหนคือต้นหญ้า
แต่นี่แหละคือ หน้าที่สำคัญอันหนึ่ง ของชาวนา
เพื่อจุดหมาย คือท้องนาที่มี ข้าวรวงอวบอ้วน
เหมือนชีวิตของคน ที่เกิดมา เพื่อความอุดมในธรรม

ปัจจุบัน ผู้คนกำลังสับสน ปนเป
ระหว่าง ความดี และความชั่ว
เหมือนชาวนา ที่อ่อนหัด แยกแยะไม่ได้ มองต้นหญ้า เป็นต้นข้าว
เขาจะต้องหลั่งน้ำตา เมื่อวันเก็บเกี่ยวมาถึง เมื่อพบว่า... ท้องนาของเขา ที่ทุมเท แรงกาย แรงใจ ไถ คราด หว่าน ดำ ด้วยความหวัง มีแต่พงหญ้า และวัชพืช ที่ไม่ต้องการ แทนที่จะเป็น ทุ่งรวงทอง ดังที่เขาปรารถนา

จงอย่ารอ จนถึงวันเก็บเกี่ยว ฝึกแยกแยะ ไตร่ตรอง มองให้ซึ้ง ว่าอะไร คือต้นหญ้า อะไรคือต้นข้าว ก่อนฤดู การเก็บเกี่ยว จะมาถึง

ตะวัน เกียรติบุญญาฤทธิ์



แม้ว่าวันนี้ตัวฉัน จะเป็นเพียง น้ำหยดหนึ่ง
ท่ามกลางพยับแดด อันแผดจ้า
ในที่สุด ย่อมจะระเหย หายไปในอากาศ จนหมดสิ้น
ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้ในแผ่นดิน
แต่...ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง
เมื่อน้ำแต่ละหยด ที่รวมตัวกันอยู่ ณ ต้นแม่น้ำอโศก
มีปริมาณ มากขึ้น และมากขึ้น...
เปรียบประดุจ กองทัพธรรม ที่หนุนเนื่อง
ย่อมจะมีกำลังแรง สามารถไหลเซาะ แก่งหิน ดินทราย ภูผา ออกไป จนกลายเป็น ลำธารใหญ่ ชื่อว่า "ลำธารอโศก"
ฉันหวังว่า... เมื่อวันเวลานั้นมาถึง ทุกหน ทุกแห่งที่ "ลำธารอโศก" ไหลผ่านไป ย่อมจะนำ ความร่มเย็น ชุ่มชื่น จากต้นน้ำอโศก
ซึ่งโปรยปราย อิ่มเอิบด้วย อมฤตธรรม ของพระพุทธองค์ สู่มวลสรรพสัตว์ ทั้งหลายในโลกนี้ ที่มีวาสนา บารมี มาพานพบ ได้มีโอกาส ลงอาบ และดื่มกิน น้ำอมฤตธรรม จาก "ลำธารอโศก" สายนี้บ้าง
เมื่อถึงวันนั้น... ตัวฉันจะไม่เป็น เพียงน้ำหยดหนึ่ง กลางพยับแดด ที่จะระเหย เหือดแห้ง ไปในอากาศ อีกต่อไป...

พรรณี วิเชียรพันธุ์
๔ มกราคม ๒๕๒๕



กับดักแห่งพญามาร
ความประมาท คือทางแห่งความตาย แม้จะรู้คาถาบทนี้ กันช่ำชอง แต่คนเรา ก็ได้ประมาทอยู่ แล้วๆ เล่าๆ
จนความตาย ได้กองทับถม สูงท่วมฟ้า
ความนอบน้อม ถ่อมตน คือเทวธรรม ที่จะคุ้มครองชีวิต มิให้แหกโค้งสุดท้าย จนเกิดอุบัติเหตุ อันแสนสยดสยอง

กี่ศพมาแล้ว ที่ตายด้วยความอหังการ ตาย.. ตายด้วย ความอวดดี มันค่อยๆ กัด กัดกินลึก กินตัว ราวกับมะเร็งร้าย
ที่อย่าหวังเลยว่า เจ้าของร่าง จะรู้สึก และสุดท้าย ก็ตายไป อย่างอัปลักษณ์
น่าเสียดาย... น่าเสียดายเหลือแสน ความตายได้พาเอา น้ำตาสุดเสียดาย ของใครบางคน ซึมไหลหยดเป็นทาง

ยุคอโศกสลัดใบ ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลา แห่งการคัดพันธุ์
ความหนาว ความร้อน และพายุ ได้กระหน่ำ ต้นไม้ ที่อ่อนแอ ที่เป็นโรค ให้ร่วงหล่น หักกระจาย

เมื่อก่อน... ตรงที่นั้น ตรงผืนดินแห่งนั้น มีต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง ที่ออกดอก เขียวขจี ระบัดใบ มันหยอกล้อ กับสายลม อย่างสนุกสนาน อย่างท้าทาย... มีแต่เสียงหัวเราะ น่ารัก ไร้เดียงสา มันโตขึ้นๆ อย่างน่ายินดี

แต่ไม่นานนัก... เจ้าหนอนร้าย แห่งอหังการ ก็ได้คืบคลาน เข้าย่ำยี เกาะกุมไปทั่ว ทุกกิ่งก้านใบ ใหญ่น้อย ต้นไม้ต้นเล็กๆ ต้นนั้น ปฏิเสธ การเยียวยา ปฏิเสธมิตรดี สหายดี
บุกเข้าต่อสู้ อย่างโดดเดี่ยว ด้วยสำคัญว่า ตัวเอง ยังแข็งแรง... แข็งแกร่ง กว่าจะรู้... ลมหายใจ เฮือกสุดท้าย ก็อุบัติ

สิ้นสุดกันที สำหรับชีวิต ต้นไม้เล็กๆ ที่น่าสงสาร ระยะทาง ยังอีกยาวไกล ต้นไม้มันก็ได้เรียนรู้ จากประสบการณ์
สั่งสมเป็นบารมี ต่อไป และต่อไป

และมัน... ก็ได้ให้บทเรียน มหาศาล ที่เหล่าไม้เล็ก ทั้งหลาย จะได้จำใส่ใจ ป้องกันตัว มิให้ตกหลุมกับดัก แห่งพญามาร อีกต่อไป

บุตตา
๑๕ มกราคม ๒๕๒๕


 

วันเอ๋ย...วันครู
ช่วยเชิดชูวัฒนธรรมนำสมัย
เฉกอารยธรรมเลิศล้ำใด
เป็นกลไกให้ชาติใช้ส่องสังคม

ครูคือครูเป็นครูของครูครู
จึงมีผู้สรรเสริญเจริญสม
ภารกิจเกริกไกรได้ชื่นชม
ศาสตร์ผสมนักสู้ผู้รู้เอย

ครูแต้ม เอี่ยมละมัย


 

เราต้องพรากจากสิ่งที่รักสิ้น
อย่าถวิลคร่ำครวญหวนไห้หา
ตัดอาลัยให้สิ้นอย่าโศกา
ชีวิตนี้มีค่ากว่าอาดูร

ทุกสิ่งเพียงอาศัยปัจจัยเกิด
ให้ล้ำเลิศเหนือธรณินทร์ก็สิ้นสูญ
เหลือแต่คุณความดีที่เกื้อกูล
ไม่สิ้นสูญจากจิตนิจนิรันดร์

นิรนาม



สารอโศก..ฉบับตะวันธรรม ปีที่ 2 (5) ฉบับที่ 6 มกราคม 2525

(หน้า ๑๘)

เม็ดทราย หน้า 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |