เม็ดทราย เล่ม ๔

ปลุกคน เสกคน

ลมหนาวยังไม่จางขาดสายสนิท
ดวงจันทร์ข้างขึ้นทอแสงนวลอร่าม
อีกไม่นานเมื่อจันทร์เต็มดวง
มาฆฤกษ์ก็จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง

เสียงกลองศึกดังระรัว...เร่งเร้า
เหล่านักรบโลกุตระต่างกระชับอาวุธคู่ใจ
พร้อมบริขารเพียงพออาศัย
และด้วยดวงใจอันฮึกเหิม
บัดนี้ เราพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่สนามรบอีกวาระ

ศึกสงครามยังคงยืดเยื้อ
กิเลสมารนับวันกร้าวแกร่ง
จำเป็นจักต้องเพิ่ม "พลังธรรม" และ "พลังทน"

เจ็ดวันหกคืนต่อแต่นี้
จะเป็นการฝึกหลักสูตรเข้มแห่งชาวเรา

ฝึกตั้งตนอยู่บนความลำบาก
ฝึกใช้ชีวิตเรียบง่ายดุจนักบวช
ฝึกนอนกลางดินกินมื้อเดียว
ทนต่อสภาวะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ทนต่อภยันตรายจากสัตว์ เสือก ริ้น คลาน
ทนต่อการกระทบผัสสะหยาบ ละเอียด
ทนต่อการไม่ได้ในสิ่งที่รัก ที่ชอบใจ

อรุณรุ่งที่ป่าช้าบ้านกระแชง...
ดวงตะวันทอแสงต้อนรับอบอุ่น
มาเถิด...พุทธทายาททั้งหลาย

ธรรมฤทธิ์จักต้องเกริกไกร
ธรรมจักรต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มาช่วยกันเข็นกงล้อธรรมจักร
ประกาศสัจธรรม เพื่อดับทุกข์เข็ญของปวงชน

ควันข้าวลอยกรุ่นเป็นสายโอบเอื้อ
"พ่อใหญ่มา...พ่อใหญ่มาแล้ว..."
เด็กเด็กร้องป่าว ปากต่อปาก
เมื่อพ่อท่านเดินนำแถวบิณฑบาต ผ่านหมู่บ้าน

เสียง "สาธุ" ดังกระหึ่ม พร้อมคารวะเหนือเศียร
เสียงพระปฏิสันถารกับชาวบ้าน
"แล้วมาฟังธรรมกันเด้อ..."

"ดุจสายฝนหลั่งสู่หล้า ในหน้าแล้ง
ดุจลำแสงแรกอุษา ในหน้าหนาว"

นี้แลปาฏิหาริย์แห่งพุทธ
เมื่อธรรมหยั่งลง ณ ที่ใด
ที่นั้นชุ่มชื่น ที่นั้นอบอุ่น ที่นั้นสุขเย็น
ด้วยธรรมจักรนำแสงสว่าง มาสู่ดวงใจทุกผู้

"สว่างเถิด...พุทธบุตร
หยุดมัวเมาอบาย สิ่งหยาบ
หยุดเบียดเบียน แก่งแย่ง กอบโกย
หากจงรู้ให้เท่าทันโลกธรรม กามคุณ และอัตวิสัย
รู้ทุกขอริยสัจให้ได้จริงจริงเถิด
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ไยกล้าสำคัญมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นของตน"

ลมพัดใบไม้ร่วง
ไม่นานสังขารนี้ก็จักสลาย
ตะวันขึ้นแล้วตกดิน
พรุ่งนี้ก็จักคืนมาใหม่
หากชีวิตคนกลับไม่เป็น เช่นดวงตะวัน
แตกสลายแล้ว ไฉนจะได้กลับคืนมา

ชีวิตหนึ่งนี้สั้นนัก
ชีวิตหนึ่งนี้น้อยนัก
โชคดีแล้วที่ได้เกิดเป็นคน
บุญแล้วที่ได้พบพระแท้
ประเสริฐแล้วที่ได้ร่วม ทวนกระแสโลกียะ

เราจักทำสิ่งที่บุคคลอื่น ทำได้ยาก
เราจะทนในสิ่งที่บุคคลอื่น ทนได้ยาก
เราจะสละในสิ่งที่บุคคลอื่น สละได้ยาก
เราจะขจัดความชั่วร้ายออกจาก จิตวิญญาณ
แม้น้ำตาจะนองหน้า...

อรุโณทัยลูบไล้แผ่นดินอร่ามงามตา
ขุนเขาแมกไม้เขียวขจีสดใส
เจ็ดวันหกคืนผ่านไปเร็วราวติดปีก
ยุทธวิธีปลุก(คน) เสก(ตน) สิ้นสุดลง
เหล่านักรบกลับไปแล้ว อย่างห้าวหาญ และเปี่ยมพลัง
กิเลสมารจักต้องปราชัย
ธรรมจักต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

มะลื่น
๘ มีนาคม ๒๕๒๙


มาเถิดมาเป็นชาวอโศก

..มาเถิดมาเป็นชาวอโศก อยากบอกเธอทั้งโลก มาเป็นเผ่าเดียวกัน
เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อบอุ่นอิสระ เพียงการลดละ.. เอื้อเฟื้อเจือจาน
มาช่วยกันสร้าง สังคมอุดมการณ์ ที่มิมีการแอบแฝงเล่ห์กล
สังคมซื่อซื่อ นับถือน้ำใจ อาจไม่ยิ้มหวานใส ที่ฉาบไล้มายา
นี่อาจครุ่นคิด นั่นอาจว้าเหว่ โน่นอาจร่อนเร่ นู่นอาจถือสา
นี่อาจเบิกบาน โน่นอาจช่างเจรจา นั่นอาจวางท่า ด้วยมาดผู้ดี
นั่นอาจถือตัว นี่อาจหวาดกลัว จนต้องหลบลี้
แต่ทุกทุกคน ฝึกเป็นคนดี พิษภัยไม่มี จะร้ายต่อกัน
ไม่คิดเข่นฆ่า ไม่มีอาฆาต แม้หากผิดพลาด หันหน้าแก้ไข
เหมือนพี่เหมือนน้อง ผิดพ้องหมองใจ คืนดีกันใหม่ ยิ้มได้เสมอ
แล้วเธอจะไปไหน...
สังคมแห่งใดจะมีให้เธอ
เธออาจจะคิดว่าเพียงฝันเพ้อ
จงมาเถิดเธอนี่เป็นความจริง
เส้นใบอโศก


 

ทำบุญวันเกิดสัปดาห์ละวันกันเถิด

สัปดาห์หนึ่งมีตั้งเจ็ดวัน
อาทิตย์จันทร์คารพุธหัสศุกร์เสาร์
ย่อมจักมีวันเกิดเป็นของเรา
เชิญเลือกเอาบุญนำส่งกรรมดี
คอยแต่สร้างกุศลในวันพระ
อาหารจักเต็มล้นจนเปี่ยมปรี่
ในเจ็ดวันวันเกิดของท่านมี
แต่ไม่มีในบาตรอนาถใจ

อมร เพชรวิสัย


 

อย่าชิงหมาเกิด

ปุถุชนแต่ละคน ใช้ชีวิตเปลืองเหลือเกิน
ชาติแล้วชาติเล่านับไม่ถ้วน
แล้วยังหมุนวนผ่านไปเป็นสัตว์
ทั้งเดรัจฉานสัตว์อบายนานา เหลือคณานับ
แต่ไม่เข็ดหลาบ ไม่เคยรู้ตัว

เราก็ได้แต่สงสาร และอภัยได้ เพราะเขาไม่มีดวงตาแห่งธรรม
แต่ผู้มีดวงตาแห่งธรรมแล้ว
รู้แล้วอย่างเถียงไม่ขึ้นนี่สิ จะมัวเสียเวลาอยู่เพราะอะไร
ถ้าเพราะไม่เอาจริง ก็เรียก ไอ้คนขี้เกียจ ไอ้คนไม่สู้
ถ้าเพราะทำไม่ได้สักที ก็เรียกไอ้คนบ้อท่า ไอ้คนไร้น้ำยา
ถ้าเพราะทำได้แต่ช้า ก็เรียก ไอ้คนไม่ขมีขมัน ไอ้คนไร้บารมีเดิม
ถ้าเพราะทำได้ แต่ไม่ทำ ก็เรียก ไอ้ตอแหล หรือไอ้คนไม่รู้จริง
ชีวิตหนึ่งนั้น สั้นนัก
อย่าเอาแต่วรรค อย่าเอาแต่พัก
อย่าเอาแต่หย่อน อย่าเอาแต่ผ่อนอยู่เลย
เดี๋ยวจะต้องชื่อว่า
ไอ้คนชิงหมาเกิด

พระโพธิรักษ์
๑๔ พ.ย. ๒๕๒๘

สารอโศก"ปลุกคนเสกตน" ปีที่ 6(9) ฉบับที่ 7 มีนาคม 2529


 

งานพุทธาฯ ผ่าดาว

งานพุทธา ผ่าดาว ร้าวหลายแฉก
สามารถแยก ชั่วดี มีแค่ไหน
กิเลสลึก หนาบาง ล้างอย่างไร
พระท่านชี้ บอกให้ ไปหัดทำ

งานพุทธา ผ่าดาว "ดวงพราวเพริศ"
เคยเลอเลิศ ให้มาลด อดให้หนำ
จากสบาย ให้มาหัด ปฏิบัติธรรม
เป็นคนจน ที่ชุ่มฉ่ำ รวยน้ำใจ

งานพุทธา ผ่าดาว "ผู้ห้าวหาญ"
จากผู้การ ผู้พัน ยศชั้นไหน
เหลือเพียงแค่ "พลทหาร" ทำงานไป
ใครเรียกขาน วานใช้ เต็มใจทำ

งานพุทธา ผ่าดาว "สาวตู้เพชร"
ปลดไม่เหลือ แม้สักเม็ด เข็ดแล้วขำ
เมื่อก่อนนี้ ยังโง่อยู่ ไร้ผู้นำ
พอได้รับ รสพระธรรม ฉ่ำกว่าเดิม

งานพุทธา ผ่าดาว "ทางยาวเฟื้อย"
เคยแฉะเฉื่อย เกียจคร้าน งานไม่เสริม
กินแรงเพื่อน ทุกนาที หนี้เพิ่มเติม
ได้มาเริ่ม มีน้ำใจ ไม่ดูดาย

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าขี้โลภ"
หยุดละโมบ เอาเปรียบชน คนทั้งหลาย
เมื่อมีมาก หัดแผ่เผื่อ เอื้อหญิงชาย
ซึ่งยากจน อีกมากมาย ในเมืองไทย

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าโทสะ"
ให้ลดละ ก่อนจะแย่ รีบแก้ไข
เพิ่มเมตตา ปรานี ขึ้นที่ใจ
ทำให้ได้ อย่างจริงแท้ "อย่าแก้ตัว"

งานพุทธา ผ่าดาว "ดวงเจ้าเล่ห์"
ชอบหันเห เฉโก ชอบโชว์"หัว"
ว่าข้าฯ หนึ่ง ข้าฯ แน่ แพ้ภัยตัว
คุยเบ่งข่ม ว่าไม่กลัว เรื่องใดใด

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าขี้โรค"
ชอบง่วงโงก ดิ่งดับ หลบหลับใหล
ทำตาแป๋ว ท่าสงบ แต่หลบใน
พระท่านเทศน์ เรื่องอะไร ไม่รู้ความ

งานพุทธา ผ่าดาว เฒ่าทารก
เรื่องง่ายง่าย ยังสอบตก ครั้งสอง-สาม
สอนผู้อื่น ได้มากมาย ให้ทำตาม
แต่ตัวเอง ไม่ได้ความ สักเรื่องเดียว

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าหงุดหงิด"
เรื่องน้อยนิด ก็เฉียวฉุน เสียงขุ่นเขียว
ให้เป็นคน ยอมให้ ไม่ปีนเกลียว
เพราะถูกเคี่ยว ถูกเข็น ให้เย็นลง

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าช่างพูด"
หลวงพ่อ "บูด" คงรับฟัง ดังประสงค์
ถ้าผู้นั้น ตั้งตบะ จะลดลง
ไม่ช้านาน ก็คง คลายทุกข์ใจ

งานพุทธา ผ่าดาว "เจ้าขี้ขลาด"
ไม่องอาจ แกล้วกล้า น่าเลื่อมใส
ขึ้นเวที ยังประหม่า ทุกคราไป
เพราะขาดความ มั่นใจ ในตัวเอง

งานพุทธา ผ่าใคร ให้ออกคุก
เคยเสพสุข หลงใหล อย่างตรงเผง
ให้เปลี่ยนปรับ กลับนิสัย ให้กลัวเกรง
วิบากกรรม ที่ตัวเอง ให้สร้างมา

งานพุทธา ครานี้ ปีที่สิบ
ควรเร่งรีบ ร่วมกัน หมั่นศึกษา
มุมานะ บากบั่น อย่าด้านชา
ขืนชักช้า เหลือคนเดียว จะเปลี่ยวใจ

งานพุทธา ผ่าดาว ร้าวกี่เสี่ยง
ใครหลบเลี่ยง ไม่ยอมอบ หลบที่ไหน
ใครสอบตก สอบผ่าน อ่านดูใจ
ไม่มีใคร รู้จักเรา เท่าตัวเอง

สมทรง ผูกพานิช
7 เมษายน 2529



สักวาดูหาวคราวดาวหาง
ฮัลเลย์ย่างโคจรย้อนมาหา
เจ็ดสิบหกปีหนวนเวียนมา
บ้างผวาบ้างฮาเฮฮัลเลย์ฮู !
ดาวจะไปดาวจะมาย่อมปรากฏ
ไปตามบทนภวิถีที่มีอยู่
อย่าดูดาวดวงอื่นเพลินยืนดู
จนลืมคู่ดาวใจในตนเอย


อุบัติการณ์ดวงอาทิตย์ดวงใหม่
ภายใต้ชื่อตะวันธรรม
ก่อเกิดสิ่งมหัศจรรย์ เกินกว่าพรรณนา
โลกหมุนวนทวนกระแส
ชีวิตอ่อนโยนเกื้อกูล
เผ่าพันธุ์สีขาวจุติ รุกคืบหน้าอย่างสงบ
ประดุจหิ่งห้อยร่วมมือประสาน สร้างสรรโลกแห่งภราดร
ดวงดาวขรุขระอัปลักษณ์ ดำมืดเหม็นเน่า !
ตะวันธรรมสาดส่อง กลับเรียบมนสุกสกาว กระจ่างนวลตา
เสียงตวาดอึงมี่สำราก
กลับอ่อนโยน เมตตา อย่างน่าประหลาด
ดาวเปรต ดาวเดรัจฉาน ดาวยักษ์ ดาวอสุรกาย
กระจัดกระจายป่นปี้ ด้วยแสงแห่งอาทิตย์ดวงใหม่
เหล่าดาวผีร้าย ทั้งหลายเหวย!
แม้จะผ่านอายุ นับแสนแสน ล้านล้านปีชีวิต
แต่ด้วยมือเรา ด้วยความเพียร ความอดทน
อันอาศัยพลังจากแสงแห่งพุทธาฯ
จะขอบุกกระหน่ำฟันฝ่าให้แหลกเหลว
เพื่อโค้งรุ้งทอแสงจากดวงใจ

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "พุทธาฯ ผ่าดาว" ปีที่ 6(9) ฉบับที่ 8 เมษายน 2529


ก า ร ง า น

อันการงาน คือค่า ของมนุษย์
ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย
ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ
ไม่เท่าไร รู้ธรรม ฉ่ำซึ้งจริง
ตัวการงาน คือตัวการ ประพฤติธรรม
พร้อมกันไป หลายส่ำ มีค่ายิ่ง
ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนคน ฉลาดยิง
นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพกเอย ฯ

พุทธทาส อินทปัญโญ


 

ก่อนพ่อตายขยายความยามนี้ว่า
มาลูกมาใกล้พ่อจะขอเล่า
ข้าวในนา งานในสวนถิ่นของเรา
หากว่าเจ้าอุตสาหะกระทำไป
เจ้าไม่ต้องท่องไกลให้เหนื่อยหน่าย
ทรัพย์มากมายหลายชั่วพ่อฝังไว้
หากบากบั่น ขยันทำ ผลกำไร
ทรัพย์สินไซร้ ก็จะพบประสบเอง


 

มหา'ลัยชีวิต

ตั้งแต่เด็ก ถึงหนุ่มสาว เราศึกษา
จนตำรา กองท่วมหัว รู้ตัวไหม ?
ผลาญเงินชาติ มากมาย ไปเท่าไร
แล้วคิดทำ สิ่งใด ? "เพื่อแทนคุณ"

เมื่อเรียนสูง งานต่ำ ทำไม่ได้
กลัวอับอาย กลัวเขาว่า พาเฉียวฉุน
จะทำงาน ส่วนตัวบ้าง อ้าง"ไร้ทุน"
เฝ้ารอคอย ผู้เกื้อกูล อยู่ร่ำไป

"มหา'ลัย แห่งนี้ มีที่ว่าง
ไร้ค่าจ้าง ทำงาน"ฟรี" มิเฉไฉ
ที่อยู่ฟรี กินฟรี มีที่ใด ?
แต่เกียจคร้าน อยู่ไม่ได้ ไม่ต้องการ

"มหา'ลัย ชีวิต" ใครคิดเข้า
ต้องตรวจใจ ของเรา หลายสถาน
เพราะที่นี่ เป็นที่ มา"ทำงาน"
เพื่อช่วยเหลือ เจือจาน สู่สังคม

9.5.2529


 


งานคอยคุณ

ชีวิตที่ก้าวหน้า
ชีวิตที่พัฒนา
คือชีวิตที่ได้ทำงาน มีประโยชน์ มีสาระ
มิใช่หมายถึง การได้ลาภ ยศ เงินเดือนหมื่น เงินเดือนแสน
งาน งาน มีทุกแห่งหน
บุคคลผู้มุ่งมั่นลาภยศย่อมมืดมน
ง า น บุ ญ มี อี ก ม า ก
งานประโยชน์มีอีกหลาย
เพียงมีน้ำใจ ไม่ดูดาย
เพียงเสียสละ เอื้อเฟื้อ
เพียงเห็นคุณค่าแห่งการเป็น ผู้ ใ ห้
และข้อสำคัญ พึงเป็นผู้กินน้อยใช้น้อย ให้สำเร็จ
เขาผู้นั้นยากแท้จะตกงาน
ผู้เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต
งานกำลังคอยเขาอย่างสงบ
ผู้เข้าใจแต่เปลือกกระพี้ชีวิต
เขาคอยงานอย่างร่านทุรน

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "งานคอยคุณ" ฉบับที่ 9 ปีที่ 6(9) พฤษภาคม 2529


 

เราเดินตามโลก ตั้งแต่นาทีที่เกิดมา จนถึงนาทีที่มีความรู้สึกนี้
ต่อนี้ไปเราจะไม่เดินตามโลก และลาโลกไปค้นหาสิ่งที่บริสุทธิ์
ตามรอยพระอริยะ ที่ค้นแล้วจนพบ หากเราขืนเดินตามโลก
และเป็นการ เดินตามหลังโลก ตามหลังอย่างไม่มีเวลาทัน
ถึงแม้ว่าเราจะได้เกิดอีก แสนชาติก็ดี
บัดนี้เราจะไม่เดินตาม หลังโลกอีกต่อไป
จะอาศัยโลกสักแต่กาย
ส่วนใจเรา จะทำให้อิสระจากโลก อย่างที่สุด
เพื่อเราจะได้พบความบริสุทธิ์ ในขณะนั้น
พุทธทาสภิกขุ



เมื่อธรรมะไปถึง...
โลก..สะเทือนเลื่อนลั่น... อัศจรรย์หวั่นไหว
ทุกสิ่ง...แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากความไม่รู้ เป็นความรู้
จากความงมงาย เป็นความไม่งมงาย
จากความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เป็นความอดออม
จากความมักมาก เป็นความมักน้อย
จากสิ่งมีค่า เป็นสิ่งไร้ค่า
จากสิ่งไร้ค่า เป็นสิ่งมีค่า มีค่ายิ่งกว่า มีค่าจริงจริง
จากการขาดดุล เป็นการได้ดุล
จากอุตสาหกรรม เป็นหัตถกรรม
จากอบายภูมิ สู่อรหัตภูมิ
จากความยากจน เป็นความร่ำรวย รวยญาติ รวยมิตร รวยน้ำใจ
จากความเห็นแก่ตัว เป็นความเสียสละ...
สละวัตถุเล็กน้อย ใหญ่โต แม้บ้านช่องเรือนชาน แม้ตัวของตัว
แม้ใจของตัว แม้กิเลสของตัว และแม้ชีวิต
โอหนอ...วีรชน
ฉันเห็น ฉันเห็น แต่ฉันยังจับต้องไม่ได้ ฉันยังเห็นไม่จริง

ครู ป. ๘



วันที่ห้า มิถุนา เวียนมาถึง
ลูกอโศก สุดซึ้ง จิตผ่องใส
ต่างพร้อมพรั่ง ฟังธรรม ชุ่มฉ่ำใจ
และพ่อท่าน ก็ยิ่งให้ เพิ่มทุกปี

ใครรู้ตัว บ้างไหม ว่าได้เพิ่ม
ตั้งตบะ หนุนเสริม กันบ้างซี
เป็นลูกแหง่ พ่อสุดเหนื่อย เมื่อยเต็มที
นับตั้งแต่ วันนี้ รู้จักโต

เพียรพยายาม เร่งรัด ขัดเกลาจิต
อยู่ใกล้ชิด ภันเต อาวุโส
เก็บส่วนดี เอาไว้ ใช่คุยโว
ทำอวดโอ่ เบ่งข่ม ทับถมกัน

อโศกดี คนเดียวไซร้ ไปไม่รอด
รวมพลัง กันตลอด ไม่ผกผัน
ทั้งงานนอก งานใน รู้ให้ทัน
อย่าให้มัน บุ่มบ่าม เห่อห่ามเกิน

อโศกเล็กโต แค่ไหน ใครรู้บ้าง
เปิดหูตา ให้สว่าง อย่าห่างเหิน
มีบางคน ทำทักท้วง ถ่วงความเจริญ
แต่ตัวเอง ก็ยังเดิน ซัดโซเซ

วันที่ห้า ของทุกปี จะชี้ชัด
ใครทนขูด ทนขัด ใครหักเห
ใครอ้างการ อ้างงาน พาลเกเร
วันพิสูจน์ ลูกเก๊ หรือลูกจริง

๑ มิถุนายน ๒๕๒๙


 

ละครธรรม

ธรรมคือความซื่อสัตย์อย่างบัดซบ
หรือคือความเคารพนบนอบไหว้
แล้วก็คดในข้อต่อต่อไป
อย่างเหลือเชื่อเหลือใช้ในถ้อยคำ

ธรรมคือความดุร้ายกระหายเลือด
เชือดเฉือนอย่างคมเฉียบ และเหยียบย่ำ
ให้ลำบากยากเข็ญเป็นประจำ
อเนจอนาถอุบาทว์ซ้ำทุกค่ำเช้า

ถ้าหากว่าความรักสมัครสมาน
คือการประคับประคอง แม้หมองเศร้า
ไม่ฟาดฟัดประหัตประหาร เดือดดาลเอา
เป็นเพียงสิ่งบรรเทามิใช่ธรรม

ขอให้ธรรมทั้งหลายตายไปเถิด
ไปกับความประเสริฐแสนลึกล้ำ
ขอความรักภักดีสีดำดำ
ให้ชีวิตชอกช้ำระยำนั้น

ขอเสื้อผ้าอาหารศานติสุข
ให้ทุกทุกชีวิตนี้หฤหรรษ์
ไม่ขอชื่นรสชาติฉกาจฉกรรจ์
ไม่มัวมันมัวเมาเข้าต่อกร

โลกนี้มีอะไรไม่มากหรอก
ทำร้ายกัน กลับกลอก เห่าหอน
กระทืบ สืบพันธุ์ นอน
เหมือนก็เหมือนละครคน บนความตาย
กวี/กระวาด


 

คารวะอริยะ

ปุถุชนนั้นก็คนธรรมดา
ตลอดชีวิต หวงแหน สะสม กอบโกย
โลภเท่าที่จะโลภ
โกรธเท่าที่จะโกรธ
ความสุขคือ การที่ได้กว้านสรรพสิ่ง เข้ามาในอ้อมกอด
น้ำใจดังฝนหน้าแล้ง
และหัวเราะ ร้องไห้ ร้องไห้ หัวเราะ...
และบางชีวิต ชีวิตของบางคน
เกิดมาเพื่อประโยชน์
เกิดมาเพื่อสลัดคืน ความสุขแก่โลก
เขามีบ่อแห่งความหิวตื้นเขิน
เขามีบ่อแห่งความกระหายตื้นนัก
ชีวิตมีแต่บุญ บุญ จากการเสียสละ
นี่คือความสุข ความสุขจากเป็นผู้ให้
ไม่มีหัวเราะ ร้องไห้ ร้องไห้ หัวเราะ
นอกจากรอยยิ้ม ที่รู้คุณแห่งตน ในการก่อเกิดมา
อา ! นี่แหละมนุษย์อริยะ

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "คารวะอริยะ" ฉบับที่ 10 ปีที่6(9) มิถุนายน 2529


 

"สันติภาพดำ" อีกแง่หนึ่ง หมายถึง "รัก"
จงตระหนัก อย่าตะแบง ทำแข็งขืน
เมื่อถูกห้าม "เรื่องรักใคร่" ไยตะบึง
ใครจะรั้ง จะดึง ไม่ฟังความ

นี่แหละคือ อำนาจ ปีศาจ "รัก"
มัน "ฆ่า" คน มานัก อย่าผลีผลาม
พระท่านเทศน์ แยะแยก แจกแจงความ
อย่าวู่วาม ลงนรก อกระทม

อันความรัก นั้นหรือ คือยาพิษ
ทุกชนิด มีพิษภัย ให้ขื่นขม
รู้ทั้งรู้ แต่ก็พร้อม ยอมโง่งม
แม้ตรอมตรม ยอม "จมรัก" จม "อเวจี"

"สันติภาพ" นั้นดี มีคุณค่า
แต่ทว่า แพ้กิเลส แพ้เปรตผี
"เสียสละ" พระแนะให้ ไม่ไยดี
"สันติภาพขาว" จึงไม่มี คนนิยม

เรื่องบางเรื่อง พูดง่าย ทำได้ยาก
เพราะไม่ยอม ลำบาก ไม่สั่งสม
มีบางกลุ่ม ก็ขาด "ครู" ผู้อบรม
จึงต้องจม อยู่ในปลัก โง่ดักดาน

คนทุกคน มีสิทธิ์ อิสระ
จะเลือก "พระ" เลือก "ผี" ที่พร่าผลาญ
พระท่านคอย ชี้ทาง ไม่จ้างวาน
ใครจะเดิน หรือจะคลาน ก็ตามใจ

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

อันสิทธิมนุษยชนข้อใดเล่า
จะเทียมเท่าสิทธิการศึกษา
ประกาศก้องต้องให้ความเมตตา
เสมอหน้าหนวกใบ้ไม่เว้นเอย

(ม.ล.ปิ่น มาลากุล)


แสงตะวันต้องกล้าปรากฏ
ทำลายความอัปยศอสัตย์
สาดแสงเสรีชี้ชัด
ชุบชีพชูหยัดสัจการ

ร่างกายยาววาหนาคืบนี้
เป็นแหล่งที่เกิดทุกข์-สุขพร้อมสรรพ
สิ่งทั้งหลายบรรดาคณานับ
ย่อมเกิดดับเป็นไปในร่างนี้
มิมีใดเกิดดอกนอกจากจิต
คิดปรุงติดเป็นนั่นและเป็นนี่
สิ่งทั้งมวลเกิดได้เพราะใจมี
จิตดับพลีทุกสิ่งสรรพก็ดับตาม
พระฝรั่ง / งูเขียว



เพื่อนรัก

หากเธอปล่อยอารมณ์ไป ตามธรรมชาติ
สักวันหนึ่ง เธอคงพบโคลนดูด หรือเหวลึกแน่แน่
ฉันยังดูเธออยู่ แม้จะเสียวแขนที่เคยดึงเธอไว้
ฉันยังจำได้ เธอบอกว่า...
เราจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เราจะไม่พากันไปสู่ทางต่ำ
เราจะตายในทางธรรม สักชาติหนึ่ง
ฉันยังเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้
มีผู้อื่นอีกหลายคน...
ทุกครั้งที่ถูกแรงเหวี่ยง หรือแรงผลัก
ฉันก็พยายามยืนหยัด ยันอยู่ ไม่ให้ออกนอกลู่ทาง
แม้เราจะไม่ได้เดินใกล้กัน แต่ฉันก็ยังอุ่นใจ
อุ่นใจที่ยังเห็นเธออยู่ ในทางเส้นนี้ แม้จะสะบักสะบอม
เพื่อนรัก เราจะเดินบนเส้นทางเดียวกัน ได้แค่ไหนหนอ ?!?
ฉันอาจจะดูเธอเพลินไป...
จนตัวเองออกนอกทางก็ได้ ใช่ไหม ?!?

ลูกโพธิ์
๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙



สังคมแห่งสันติภาพ

ในสังคมที่บูชาเงิน
สมาชิกของสังคม จะละทิ้งคุณธรรม
เพื่อแสวงหา
และสะสมเงิน
เอาเปรียบแก่งแย่ง
ฉ้อฉลกัน
เพื่อให้ตนเป็นที่บูชาของสังคม

ในสังคมที่บูชาอำนาจ
สมาชิกของสังคม จะละทิ้งคุณธรรม
มุ่งสร้างอำนาจ
ข่มเหง ขู่ขวัญ
ฆ่าฟันกัน
เพื่อให้ตนเป็นที่บูชาของสังคม

ในสังคมที่บูชาบุคคล
สมาชิกของสังคม จะละทิ้งคุณธรรม
อิสสา ริษยา
แข่งขันกัน
เพื่อให้ตนเป็นที่บูชาของสังคม

สังคมแห่งสันติภาพ
ผู้คนย่อมไม่บูชาเงิน
ผู้คนย่อมไม่บูชาอำนาจ
ผู้คนย่อมไม่บูชาบุคคล
แต่เคารพการเสียสละ
นับถือปัญญา
และบูชาความบริสุทธิ์


 

สันติภาพสีดำ

เป็นไปได้ไฉน ?
เสียงตะโกนร่ำร้องสันติภาพ กระหึ่มทั่ว
ขณะมือของเขา กระชับมีดคมกริบ
เป็นไปได้ไฉน ?
นานาอารยะแผ่นดิน ขอร้องอย่าเข่นฆ่า
ขณะมือของเขา เร่งขายอาวุธ อย่างละโมบ
เป็นไปได้ไฉน ?
ขณะร้องตะโกน สันติภาวะ
แต่กลับถือสาเอาแต่ใจ อย่างวายร้าย
เป็นไปได้ไฉน ?
ขณะขอแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้
ตัวเองกลับอิ่มหมีพีอ้วน
แสวงหาสิ่งเลิศรสอร่อยลิ้น เสพทุกขณะ
เป็นไปได้ไฉน ?
ขณะขอน้ำใจแบ่งปัน ช่วยเหลือกันและกัน
เพียงแค่ญาติมิตรเพื่อนบ้าน ก็ยังมิเคยแบ่งให้
อะไรกัน ? อะไรกัน ?
ไม่เห็นเกี่ยวกัน ?
นั่นน่ะสิ ไม่เห็นเกี่ยวกัน
ก็เพราะมองไม่เกี่ยวกัน
สันติภาพ จึงไม่มีทางสีขาวได้สักที เชื่อบ้างไหม ?

ใต้ร่มอโศก
สารอโศก "สันติภาพดำ" ฉบับที่ 11 ปีที่6(9) กรกฎาคม 2529


 

มิตรดี

มิตรที่ดี มิพาเรา ไปเข้าบ่อน
ซึ่งบั่นทอน สติปัญญา พาฉิบหาย
การพนัน ตัวแสบ สุดบรรยาย
มันทำลาย จิตพุทธแท้ แย่ทุกคน

มิตรที่ดี มิพาเรา เข้าไนท์คลับ
เพราะผลาญทรัพย์ ผลาญเวลา พร่ากุศล
กลางคืนควร รู้พัก รักษาตน
เราเป็นคน ใช่ค้างคาว เจ้ากลางคืน

มิตรที่ดี มิชักนำ ให้ทำชั่ว
แหล่งยวนยั่ว แม้อยากไป ก็ให้ฝืน
ใครจะชวน เป็นร้อยหน ทนกล้ำกลืน
จงแข็งขืน อย่าพ่ายแพ้ แก่ใจตน

มิตรที่ดี มิพาเรา เข้าพลาซ่า
ศูนย์การค้า มีอยู่ทั่ว ทุกหัวถนน
จงรู้จัก มัธยัสถ์ ขัดเกลาตน
พร้อมจะอยู่ อย่างกล้าจน พ้นความอาย

มิตรที่ดี มิพาเรา เข้าโรงนวด
แม้เมื่อยปวด พักผ่อน นอนก็หาย
สถานที่ "โรงน้ำชา" อย่ากล้ำกราย
แหล่งอบาย ทุกชนิด อย่าคิดไป

มิตรที่ดี มิชวนให้ ไปดื่มเหล้า
ของมึนเมา ในยุคนี้ มีมากหลาย
เฮโรอีน ฝื่นกัญชา อย่างมงาย
สิ่งเลวร้าย ใครหลงติด พิษท่วมตัว

มิตรที่ดี จะดึงเรา ให้เข้าวัด
พร้อมขูดขัด แนะอุบาย ให้ละชั่ว
อบายมุข ทุกชนิด ใครติดนัว
ไม่เกรงกลัว กล้าชี้โทษ ลดบาปกรรม

มิตรที่ดี ไม่แบ่งชั้น ยศวรรณะ
มุ่งลดละ มานะร้าย จอมเหยียบย่ำ
จะคบกัน ด้วยศีล ด้วยคุณธรรม
ใครพลาดถลำ เดินทางผิด มิตรช่วยดึง

มิตรที่ดี มีอะไร ไม่ถูกต้อง
เรื่องใดพร่อง ช่วยขัดเกลา ไม่อ้ำอึ้ง
ทำด้วยจิต เมตตา ไม่มึนตึง
และทำโดย ไม่คำนึง ถึงบุญคุณ

มิตรที่ดี ไม่ใจดำ ซ้ำเติมเพื่อน
ไม่เชือดเฉือน แม้โกรธเกรี้ยว หรือเฉียวฉุน
ยามเพื่อนผิด พลาดมา คิดการุณย์
และไม่ทวง บุญคุณ ให้ขุ่นใจ

"อันมิตรดี เพื่อนดี สหายดี"
ผู้ใดมี ย่อมไร้ทุกข์ สุขสดใส
จะทำกิจ ทำการ งานสิ่งใด
ย่อมสำเร็จ เร็วไว และถูกตรง

เพราะยุคนี้ กลียุค ไม่สุขสงบ
ยากจะพบ มิตรดี ที่ประสงค์
หากพบมิตร สัตบุรุษ หยุดทะนง
น้อมตัวลง เชื่อฟังเถิด ประเสริฐแล

๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๙


มิ ต ร ดี

ชีวิตรอนแรมกลางทะเลทราย
หากไร้น้ำก็เหลือซาก
ชีวิตที่หวังข้ามฝั่งสังสารวัฏ
หากขาดมิตรดีก็ป่นปี้
เศษชีวิต...วังวนชีวิต ฟังแล้วสุดเศร้า
บนเส้นทางลวงมากมาย
ท่ามกลางกับดักสารพัด
อะไรเล่าจะสำคัญไปกว่าคำว่า "มิตรดี" ?
ต่อให้เก่งแสนเก่ง หากโดดเดี่ยว
ต่อให้ฉลาดแสนฉลาด หากเดินลำพัง
ยากนัก ยากนักประสบชัย
แผลบนใบหน้า เราอาจจะเห็น
แต่แผลเน่าร้ายด้านหลัง ใครหนอจะเอ่ยบอก ?
ใครหนอจะช่วยรักษา
"มิตรดี" คำคำนี้ยิ่งใหญ่เหลือแสน
ความเป็นมิตร มิใช่ก่อไฟให้ดวงใจ อบอุ่นผูกพัน
ความเป็นมิตร มิใช่เพื่อนใจให้หายเหงา
ความเป็นมิตร มิใช่เอาอกเอาใจ ต่อกันและกัน
เพราะนั่นแหละ คือ ภาพมายา ต่างหาก
มิตรแท้ย่อมมีการชี้แผลร้าย ทั้งรุนแรง ทั้งอ่อนโยน
มิตรแท้ย่อมพากันสู่ เส้นทางสีขาว
มิตรแท้ย่อมยกจิตวิญญาณ สูงขึ้นสูงขึ้น เสียดฟ้า
ฉุดกระชากลากถูก็ยังทำ !
มิตรดี สหายดี เป็นทั้งหมด ของพรหมจรรย์ จริงแท้หนอ

ใต้ร่มอโศก


 

การคบกัน
การคบกัน
เพื่อเกื้อกูลกัน
มิใช่เอาเปรียบกัน
ผู้ที่เข้ามาหาเรา
ด้วยคิดว่า จะได้ช่วยเรา ด้วยจิตเมตตา
นับเป็นมิตรแท้

ผู้ที่มาหาเรา
ด้วยคิดว่า จะได้รับประโยชน์นี้ นั้นจากเรา
นับเป็นมิตรเทียม
เมื่อมิตรแท้มาหา
ก็ควรต้อนรับ

เมื่อมิตรเทียมมา
ก็ควรต้อนรับ
สิ่งที่พึงให้ต่อมิตรแท้
คือความเป็นมิตรแท้
ซึ่งอยู่ในสภาพเดียวกัน

สิ่งที่พึงให้ต่อมิตรเทียม
คือความเป็นมิตรแท้
ซึ่งต่างสถานภาพกัน
จึงควรทำให้เขารู้จัก ความเป็นมิตรแท้ก่อน
เป็นประการแรก

พี่น้องต้องรักกัน จำให้มั่นนะเนื้อเย็น
เสียสละยามยากเข็ญ อย่างจริงใจและจริงจัง
พี่ต้องเสียสละ น้องนั้นนะต้องเชื่อฟัง
ไม่ลืมพ่อแม่สั่ง สอนสิ่งใด ไม่ดื้อดึง
พ่อแม่ต้องใจเย็น ลำบากเข็ญอย่าบูดบึ้ง
รักลูกต้องคำนึง พึ่งศีลธรรมประจำใจ

หยดน้ำที่รวมตัวกันมากเข้า
ย่อมก่อให้เกิดมหาสมุทร ได้ฉันใด
ด้วยเมตตาธรรมคนเรา
ก็ย่อมก่อให้เกิดมหาสมุทร แห่งมิตรภาพ ได้ฉันนั้น
รูปโฉมของโลก จะเปลี่ยนไปมากทีเดียว
หากเราทุกคนอยู่ร่วมกัน
ด้วยความเสียสละ และความเมตตา

สารอโศก "มิตรดี" ปีที่ 6(9) ฉบับที่ 12 สิงหาคม 2529

***

หน้า ๓๒

เม็ดทราย หน้า 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 |