วิถีชาวอโศก
(๕) เรายังจะพูดถึง"ทุนนิยม" กับ"บุญนิยม" กันต่อไปอีก เพราะมีนัยต่างๆอีกมากมาย ที่เราจะวิเคราะห์ เจาะลึก แยกแยะ ให้รู้ชัดรู้แจ้งกัน และก็คงจะต้อง ขออนุญาต"อวดตัวอวดตน" ประกอบไปด้วย อีกเช่นเคย แนวคิด"ทุนนิยม" นั้นไม่ต้องสาธยายก็คงจะรู้ดีกันอยู่แล้วว่า ผู้มีความรู้ ความสามารถ จะพยายามใช้สมรรถนะ และ ทักษะของตน ล่า.. สะสม.. กอบโกย"ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข" ให้แก่ตนเอง และ เชื่อกันทั่วไปว่า ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี โลกียสุขก็ตาม ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะนำมา ซึ่ง"อำนาจ" หากใครมีลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุขมาก ก็จะมี"อำนาจ" มาก ซึ่งความมีอำนาจ ดังกล่าวนี้ มีสำแดงให้เห็น ปรากฏยืนยัน กันอยู่ดาษดื่น เต็มสังคมโลกีย์สามัญ ชาวทุนนิยมจึงนิยม"อำนาจ" ที่เกิดจากพลังแห่งลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุขกัน และต่างก็ใช้ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุขเป็น"อำนาจ" ไปถ้วนทั่วสังคม สุดท้าย ประชาชนชาวทุนนิยม ก็เป็น"ทาส" ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข กันอย่างโงหัวไม่ขึ้น หรืออย่างที่เขาว่ากันว่า เป็น"ทาสที่ปล่อยไม่ไป" เผินๆ ก็หลงเชื่อกัน เกือบสนิทไปแล้วว่า ไม่มี"อำนาจ" อะไรอีกแล้ว ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า"ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข" ทั้งๆที่..ลึกๆนั้น หากสังคมใดมี"ธรรมะหรือคุณธรรมของคน" เป็น"อำนาจ" นั่นต่างหาก ที่ประเสริฐกว่า เมื่อประชาชนส่วนมาก ยอมให้"ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข" เป็น"อำนาจยิ่งใหญ่" ก็เท่ากับ ประชาชน ยอมรับว่า"ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข" เป็น"อำนาจยิ่งใหญ่" คำว่า"อำนาจยิ่งใหญ่" ก็คือคำว่า"อธิปไตย" ดังนั้น"ประชาธิปไตย" หรือ"อำนาจยิ่งใหญ่ของประชาชน" ในระบบทุนนิยม จึงขึ้นอยู่กับ"ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข" นั่นคือ ประชาชนชาว"ทุนนิยม" ทั้งหลาย ต่างได้หลงผิดสนิทใจไปแล้วว่า ลาภ,ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข เป็น"อำนาจยิ่งใหญ่" จึงเท่ากับ"ประชาธิปไตย" ของชาวทุนนิยม ตกอยู่ในสภาพ"เผด็จการ ผสานศักดินา" ที่มาจากลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุขนั่นเอง ทั้งผู้บริหาร และทั้งประชาชน ชาวทุนนิยม ก็เลยจมอยู่ ในวังวนของ"เผด็จการผสานศักดินา" ที่มาจากลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข ไม่เชื่อ"อำนาจ" ที่มาจากธรรมะ แต่ก็ฉลาดหลอก โดยยังอาศัยธรรมะหรือศาสนา เป็นเครื่องแถม สร้างหนุนเสริม ความรุ่งโรจน์ ของตนๆ ได้อย่างเก่ง ส่วนแนวคิด"บุญนิยม" ก็เข้าใจดีใน"อำนาจ" ที่เกิดจาก"ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข" แต่มีความเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นว่า หากตนและประชาชนมี"ธรรมะหรือคุณธรรม" นั่นต่างหากเป็น"อำนาจ" ที่ประเสริฐกว่า ธรรมะที่ทำให้คนหลุดพ้น ความเป็นทาสลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข ได้แก่"โลกุตรธรรม" ของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องศึกษา ฝึกฝนให้เกิด"ศรัทธา..ศีล..จาคะ..ปัญญา" หรือ"ศรัทธา.. ศีล.. หิริ.. โอตตัปปะ.. พาหุสัจจะ.. จาคะ.. ปัญญา" ชื่อว่า"อาริยทรัพย์" อันประเสริฐกว่า"ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข" ที่ชื่อว่า"โลกียทรัพย์" ดังนั้น ประชาชนชาว"บุญนิยม" ทั้งหลายจึงสะสม"ศรัทธา.. ศีล.. จาคะ.. ปัญญา" หรือ"ศรัทธา.. ศีล.. หิริ.. โอตตัปปะ.. พาหุสัจจะ.. จาคะ.. ปัญญา" อันเป็น"อาริยทรัพย์" ที่เดินเข้าหาความซื่อสัตย์ด้วย"ศีลสัมปทา" เสียสละจริงๆด้วย"จาคสัมปทา" ฉลาดแบบโลกุตระด้วย"ปัญญาสัมปทา" ที่แม้จะไม่ฉลาดแบบโลกียะ และ สร้างบริวารไม่เก่ง แต่ก็มีความเหนียวแน่นด้วย"ศรัทธาสัมปทา" ในสัจธรรม และมี"หิริ.. โอตตัปปะ.. พาหุสัจจะ" อยู่ในเลือด ในวิญญาณของตน อย่างเป็นจริง ชาวอโศกคือกลุ่มคนที่เชื่อมั่นว่า"ธรรมะหรือคุณธรรมของคน" เป็น"อำนาจ" ย่อมประเสริฐกว่า"ลาภ,ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข" เป็น"อำนาจ" ชาวอโศก"ศรัทธา" พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อย่างสนิทใจ เต็มหัวใจ และ เทิดทูน ดังนั้น"วิถีชาวอโศก" จึงมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นหลักสำคัญของชีวิต ทั่วทุกคนที่ชื่อว่า เป็นชาวอโศก แม้แต่เด็กที่เริ่มรู้เดียงสา ก็ต้องสอนต้องฝึกให้เรียนรู้ถือศีลปฏิบัติธรรม เป็นแก่นแกน ของชีวิตทุกคน อย่างต่ำ ต้องประพฤติตน อยู่ในศีล ๕ บางคนที่มีภูมิสูงกว่านั้น ก็ประพฤติตน อยู่ในศีล ๘ ตามฐานานุฐานะ ส่วนนักบวชชาย ที่เป็นสมณะ หรือภิกษุ ก็ประพฤติตนอยู่ในศีล ที่เรียกว่า"จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีล" และ วินัย ๒๒๗ สำหรับนักบวชหญิงของ ชาวอโศก เรียกว่า"สิกขมาตุ" นั้น ประพฤติตนอยู่ในศีล ๑๐ และ สังวรตนตาม"จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีล" ส่วนใหญ่ด้วย เพราะ"จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีล" (หาดูได้ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๙) นี้คือ"ธรรมนูญ" ของศาสนาพุทธทีเดียว ฉบับที่แล้วๆมา ได้คุยไปแล้วว่า ชุมชนชาวอโศกทุกแห่ง เท่าที่มีอยู่ในภาคต่างๆ ของประเทศ ไม่มีคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เป็นสังคม หรือหมู่บ้าน ที่ปลอดอบายมุข ทุกชนิดเด็ดขาด เรื่องหยาบๆ ระดับยาบ้า.. พนันมวย พนันม้า.. แฟชั่นสายเดี่ยว ส้นตึก เป็นต้น ก็ปลอดพ้น ไม่มีจริงๆ ในสังคมชุมชนชาวอโศก อาชญากรรม ข่มขืน ปล้นจี้ ฆ่า หรือ อกุศลอนาจารหยาบๆจึงไม่มีในชุมชน สังคมชาวอโศก เพราะคนในชุมชนมีศีล มีพุทธธรรมจริง เป็น"อำนาจ" เพียงพอ โรงเรียนของชาวอโศกทุกโรงเรียนยืนยันได้ว่า เป็นโรงเรียนที่ไม่มีเด็กติดยา แม้แต่คนเดียว โรงเรียน ของชาวอโศก จะมีชื่อ"สัมมาสิกขา" นำหน้าทุกโรงเรียน ขณะนี้มีทั้งหมด ๕ โรงเรียน และ ๓ สาขา เช่น โรงเรียน สัมมาสิกขา ปฐมอโศก อยู่นครปฐม โรงเรียน สัมมาสิกขา ศีรษะอโศก อยู่ศรีสะเกษ โรงเรียนสัมมาสิกขา สันติอโศก อยู่กรุงเทพฯ เป็นต้น โรงเรียนทั้งหมดของชาวอโศก เป็นโรงเรียนเอกชนการกุศล ตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๕ (๓) ทุกคนเรียนฟรี ครูผู้สอนทุกคนก็สอนฟรี ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ทุกแบบ ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยเลี้ยง บำนาญบำเหน็จ หรืออื่นๆ กินอยู่ใช้สอย จากสวัสดิการ ของโรงเรียน นักเรียนทุกคน ต้องเป็น นักเรียนประจำ ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แม้แต่เสื้อผ้า หนังสือหนังหา ค่ากินอยู่ ทุกอย่าง ทางโรงเรียน จัดหาให้ทั้งสิ้น นักเรียนทุกคน อยู่ในโรงเรียน ห้ามมีเงิน แม้แต่บาทเดียว หากนักเรียน มีความจำเป็น จะต้องซื้ออะไร ก็ให้เบิกเงิน จากโรงเรียน ห้ามพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้เงินส่วนตัวแก่เด็ก ในขณะที่อยู่ในโรงเรียน หรือจะแอบแฝง ฝากเงินไว้กับ คนใดคนหนึ่ง เพื่อให้เด็กไปขอมาใช้ ก็ไม่ได้ |