ก่อนตายต้องสร้างสรร


แล้วคืนวันจะผ่านพ้น แล้วตัวตนจะป่นสลาย
ทุกๆเขาและเรา ล้วนต้องตาย จะงมงายงี่เง่าเอาอะไร?

คำสวยที่กล่าวเบื้องต้นเป็นถ้อยคำเคยบอกตนดังนั้น วันนี้ดีใจจึงอยากนำมาบอกเธอด้วย ที่ว่าดีใจ เพราะรู้ข่าว เธอลาออกจากงานแล้ว และลึกๆของใจ หวังให้เป็นการลาออกครั้งสุดท้าย ไม่อยากเห็นเธอ มีชีวิตในทิศทาง ทุนนิยมสืบไป

ซึ่งเธอพอรู้อยู่...ในเส้นทางทุนนิยม หรือการทำงานด้วยเห็นแก่เงินนั้น ด้อยคุณค่าต่อตน ต่อคนทั่วไป ซ้ำหลายงาน ในเส้นทางทุนนิยม ยังทำลายตน ทำลายคน ทำลายโลกสุนทรีย์ใบนี้ด้วย

สาว...หากเธอจะใช้วันคืนที่เหลืออยู่ ซึ่งกี่วันกี่เดือนกี่ปีไม่ทราบได้ ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม มนุษยชาติ โลกหล้า ฟ้าดิน เราจะปลาบปลื้มประโลมใจมิใช่น้อย และเช่นนั้น จึงเป็นประโยชน์ต่อเธอ ทั้งภพนี้ภพหน้า

คือภพนี้เธอจะมีความดีที่ทำเป็นเครื่องอาศัยเลี้ยงตน พร้อมได้สะสมกุศลให้เป็นเครื่องอาศัย ในภพหน้าสืบไป
ซึ่งเครื่องอาศัยเช่นนี้ คุณค่าสูงส่งกว่าเงินทอง ที่หยิบยื่นให้ โดยนายทุนมากนัก เพราะเป็นเครื่องอาศัย ที่ได้โดยธรรมของตน โดยใจคนซาบซึ้ง ถึงคุณงามความดี ที่เรามีต่อเขา

สาว...เรารู้อยู่เธอเหนื่อย เหนื่อยมาแล้วทั้งกายและใจ ดังนั้นเหมาะแล้ว หากเธอจะพักผ่อน
หรือเว้นวรรค ให้ชีวิตสักช่วง และจะดีมากหากอาศัยช่วงนี้ทบทวนตน ถามไถ่ถึงทางไปกับใจตน หากไม่ได้คำตอบ ที่โปร่งใจ การไปพบผู้รู้หรือสาวกพระพุทธศาสดา เพื่อพูดคุยน่าจะเป็นทางเลือก ที่ดีทางหนึ่ง แต่อยากกำชับ ไว้บ้างว่า การพัก หรือ เว้นวรรคให้ชีวิต ไม่ควรนานเกินไป เพราะจะทำให้ไฟอุตสาหะ มอดดับลง กลายเป็น กลัวงาน เกียจคร้าน เบื่อคน ได้ง่าย...ซึ่งไม่ดี

ชีวิตต้องทำงาน ต้องมีภารกิจ หากไม่มีภารกิจให้ลงมือทำ ต่างอะไรกับไก่กับสุกรเล่า คนเรามิได้เกิดมา กินๆ นอนๆ แล้วกรีดกราย ฉายโฉม...ไม่ใช่!

แน่นอน...การทำงานต้องหนักเหนื่อยบ้าง แต่เป็นไปเพื่อแข็งแรง คึกคักแจ่มใส สติปัญญา ความสามารถ ได้รับการพัฒนา ยิ่งเรารู้ว่า การทำงานที่ดี ควรมีการพัฒนาตนให้เก่ง เพื่อเกื้อกูลคนอื่นได้มากขึ้น พร้อมทำ ความหลุดพ้น ให้เกิดแก่ตน โดยอาศัยผัสสะรอบข้าง จากการงานเป็นโจทย์ สะท้อนใจ เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว เจตนา ทำให้ยิ่งอยู่เสมอ คำว่าเบื่องาน เบื่อหน่ายชีวิต จะไม่มีเลย

ซ้ำยิ่งทำนานไปยิ่งรู้สึกดี รู้สึกว่าเราได้ ได้พัฒนาสติปัญญา
ความสามารถ ให้เพิ่มขึ้น ได้เป็นประโยชน์ต่อเหล่าคน ได้สะสมเมตตาบารมีใส่ตน ซึ่งเหล่านี้ เป็นทรัพย์แท้ติดตัว แม้ในปัจจุบัน ที่มีคนมาชื่นชม เชิดชู เอ็นดูพอใจเรา เพราะความที่เราพัฒนาตน เป็นคนมีประโยชน์ต่อเขา ข้อนี้ก็เป็นความสุข ที่เห็นง่าย ได้แล้วประการหนึ่ง

สรุปคือ เรายินดีมากที่เธอลาออกจากงานเก่า เราเห็นด้วยที่เธอพัก และทบทวนตน และเราอยากชวนเธอ ก้าวเดินตามรอยทาง พระศาสดาร่วมกัน

สำคัญที่เธอ...รักดีจริงไหม? ปรารถนาสะสมกุศลบารมีหรือไม่?

สาว...วัยรุดไปไม่หยุดอยู่ สรรพสิ่งในแหล่งโลกก็เสริมสร้างไม่รู้เสร็จ แม้สุขโลกีย์ที่ชวนเสพสุดท้าย ก็เหลือ แต่รอยร้าวราน มีเพียงทางสายธรรม จึงนำเธอสุขเย็น เป็นประโยชน์ได้ หากเธอพร้อมเมื่อใด เรายินดีเป็นไกด์ ให้เสมอ!

แต่พร้อมหรือไม่....อย่างไรก็อยากย้ำให้รู้ว่า ทางสายนี้เป็นทางสายเดียว ที่ทุกคนจะต้องเดิน และ หากรอจนสูงวัย ก้าวไกลไม่ง่ายแล้ว...

แล้ววันนี้จะกลายเป็นวันวาน ปีนี้จะกลายเป็นปีที่ก้าวผ่าน ดูเถิด...เวลากัดกร่อน กระทั่งตนเอง เปลืองกล่าวไปไย จะไม่กลืนกินมนุษย์...

ทบทวนเถอะ จากเด็กหญิง เป็นนางสาว เป็นภรรยา เป็นมารดาของบุตร หากไม่ด่วนตาย ต้องเป็นคุณยาย คุณย่าสืบต่อ จากวันนั้นถึงวันนี้ จึงได้พบ ใครต่อใครไม่น้อย ทำกิจไว้หลากหลายชนิด ชีวิตได้หยิบยื่น สาระใด ให้แก่ตน และคนที่พบเจอบ้าง?

ในที่สุด...ทุกเขาและเราต้องจากไป พบเจอหรืออยู่ร่วมก็เพียงครู่ และทุกชีวิตถูกบีบคั้นด้วยทุกข์ มากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมเติมทุกข์ใดๆ ให้กันอีก ทั้งไม่ควรเมินเฉยเย็นชา ต่อความทุกข์ของคนอื่น

เพื่อวันคืนและชีวิตที่เหลืออยู่เปี่ยมล้นคุณค่า จงน้อมใจเมตตาในทุกผู้ที่พบเจอ ประคองความปรารถนาดี ที่มีให้ตั้งมั่นอยู่เสมอ และใช้ปัญญาพินิจ ในทุกบทบาท ของชีวิต

เราเป็นอะไรต่ออะไรมามากแล้ว จากนี้ไป จะเป็นคนดีที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นกัลยาณมิตร ให้แก่ทุกชีวิต ที่พบเจอได้ไหม? เราทำอะไรต่ออะไร มามากแล้ว จากนี้ไป เราจะทำ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้คน สังคม โลกหล้า ฟ้าดินบ้าง จะได้ไหม?

เพราะหากมิใช่เช่นนี้...การเกิดมาของเรา วิเศษกว่าการเกิดของ บุญเลิศ ณ บ้านบางระจัน ที่ตรงไหน !

ปรารถนาดีจาก ส.ร้อยดาว
กัลยาณมิตรนิจนิรันดร

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๐ มีนาคม- เมษายน ๒๕๔๕)