วิธีสร้างความคิดเพื่อเป็นมิตรกับตนเอง (๒) ...โอมชานติ


(ต่อจาก ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๐)

จากประสบการณ์ของตนเอง ฝึกสมาธิมา ๑๘ ปี แม้ว่าจะจบจากมหาวิทยาลัย มีการศึกษาสูง มีงานทำ มีรายได้ดี แต่ลึกลงไปแล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี รู้สึกกลัวที่จะพูดกับผู้คน ทันทีที่หยั่งรู้ในตนเองว่า จริงๆ แล้ว ทุกคนเป็น ดวงวิญญาณเหมือนกัน ทุกคนมีศักยภาพ ทัดเทียมกัน ที่จะพัฒนาตนเอง ขึ้นมาได้

บราเดอร์รู้สึกจริงๆ ว่า จำเป็นจะต้องจัดการหรือขจัดความรู้สึกที่เป็นปมด้อยออกไปให้ได้ ขจัดความกลัวออกไป มานั่งเรียน การฝึกสมาธิ แล้วในการนั่งสมาธิ จะสร้างความคิดอะไรบางอย่างขึ้นในจิตใจ แล้วถามว่า ฉันคือใคร แล้วก็จะบอกว่า ฉันไม่ใช่ร่างกายนี้ ฉันเป็นดวงจิต ฉันไม่ใช่เป็นเนื้อหนังมังสา แต่ฉันเป็นผู้ที่มีสภาวะเป็นแสง ฉันเป็นดวงจิต ที่อยู่เป็นอมตะ สิ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อร่างกาย แต่จริงๆ ดวงจิตไม่เคยตาย ร่างกายเท่านั้นที่ตาย เพราะฉะนั้น มีอะไรให้กลัว ความกลัวที่มนุษย์มีมากที่สุด คือ ความกลัวตาย เมื่อหยั่งรู้ถึงความเป็นอมตะ ความกลัว อย่างนั้น ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

เมื่อพูดอย่างนี้กับตนเอง ความกลัวก็เริ่มละลายหายไป แล้วก็เริ่มบอกตนเองว่า ในฐานะเป็นดวงวิญญาณ ฉันคือ ผู้ที่มีความสงบ ฉันเป็นผู้ทรงพลัง ฉันถูกสร้างขึ้นมา ในลักษณะที่ว่า ฉันสามารถจัดการอะไรก็ได้ ในชีวิตตนเอง ก็เฝ้าแต่คิดแบบนี้ เพื่อจะสร้างความคิดที่ดี คงจำได้ ที่พูดตั้งแต่ตอนต้นว่า เราจะเป็นเช่นที่เราคิด

ถ้าเราพัฒนารูปแบบของความคิดเช่นนั้นมาสักระยะเวลาหนึ่ง ความกลัวจะหายไป ปมด้อยทั้งหลายก็จะ หายไปด้วย เราจะเริ่ม สัมผัสกับสภาวะที่สูงส่ง ของดวงจิตเอง และบนพื้นฐานอันสูงส่ง และคุณธรรมทั้งหลาย ของดวงจิต เราไม่จำเป็น ต้องพึ่งสิ่งใดเลย เรานี่แหละ เป็นคลังสมบัติ เพียงแต่เราจะต้องเข้าไป ข้างในของเราลึกๆ แล้วดึงมัน ขึ้นมาให้ได้ ตอนนี้ขอแค่เรียนรู้วิธีใหม่นี้ขึ้นมา แล้วใช้ให้ได้ ในชีวิตประจำวัน

ก็ขอสรุปการพูดนี้ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์บางอย่าง คือ ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดคือจิตใจ แล้วเราจะพบเหมือนกัน อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ ในชีวิตของเราคือ นิสัยของเรา เชื่อไหมว่า ถ้าจะบอกว่า ความสุขหรือความทุกข์ของเรา มาจาก นิสัย ของเราเอง แล้วเราจะเปลี่ยนนิสัยของเราอย่างไร ทุกคนคงไม่ชอบนิสัยที่ไม่ดี และอยากจะเปลี่ยนนิสัย ที่ไม่ดีของเรา นิสัยที่ไม่ดี เป็นต้นเหตุ ของการคิดไม่ดี ด้วยเหตุนี้ ถึงบอกว่า การคิดไม่ดีเป็นนิสัยของเรา จึงเป็น ความรับผิดชอบของเรา อย่าไปโทษคนอื่น แม้กระทั่ง สุขภาพของเราเอง ถ้าเรามีโรคภัยไข้เจ็บ ก็เป็นเพราะ นิสัยของเรา เราอาจจะเป็นโรคเบาหวาน เพราะเป็นนิสัยของเรา ที่ชอบกินน้ำตาล หมอก็บอกว่า อย่ากินน้ำตาล อย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มเหล้า นิสัยของเราทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น พลังของมันแข็งแกร่งมาก วิธีเดียว ที่จะเข้าไป ควบคุมนิสัยของเราได้ คือ ต้องคิดว่า ตนเองมีสภาวะที่เป็นแสง เป็นดวงวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกายนี้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้สึกจะถูกรบกวนจากอะไรบางอย่าง ขอให้รีบพูดกับตนเองว่า ฉันคือดวงวิญญาณ ฉันคือ ดวงวิญญาณที่สงบ ฉันเป็นผู้ที่มีความรัก ฉันเป็นคนที่มีความเมตตา ฉันเป็นคนที่ให้อภัยคนได้ ถ้าเราฝึกอย่างนี้ และคิดให้ทัน แล้วฝึกอย่างนี้ไป สักระยะหนึ่ง เราจะเปลี่ยนนิสัยของเราได้

สรุปว่า ให้ลองไตร่ตรองในสิ่งที่พูดมาทั้งหมด ทุกคนก็จะคิดน้อยลงได้ แต่ทุกวันนี้ ทุกคนมักคิด เกี่ยวกับเรื่อง ทางโลกเยอะ ไปคิดเรื่องการงานเยอะ แต่คิดถึงตัวเองน้อยมาก ชอบคิดเรื่องภายนอก เพราะฉะนั้น ขอให้คิดถึง ตนเอง ให้มากว่า เราก็สามารถ จะพัฒนาตนเอง ไปในทางที่ดีได้ ชีวิตของเรา จะเต็มไปด้วยคุณธรรม แล้วด้วย คุณธรรม ในตัวเรา จึงสามารถชี้หนทางให้ผู้อื่นได้

ขอบพระคุณทุกท่าน ที่อดทนฟัง ใครมีคำถาม เชิญถามได้

คำถาม เราจะเชื่ออย่างไรว่าดวงจิตของเราไม่เคยตาย

เป็นคำถามที่ดี ขอถามพวกเราว่า อะไรคือ ความต่างระหว่างการนอนหลับ และการอยู่ในสมาธิ อะไรคือ ความต่าง ระหว่าง การตายกับการนั่งสมาธิ

เมื่อเรานอนหลับ เราไม่ยักรู้ว่าเรานอนหลับ เพราะตอนที่เรานอนหลับ ดวงวิญญาณได้ละออกจากร่างกาย ประสาท สัมผัส ของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหู จะเป็นตา มันถูกปิดสวิทซ์หมด เพราะดวงวิญญาณ ออกไปแล้ว ดวงวิญญาณ นอนหลับ เมื่อทุกครั้ง ที่ดวงวิญญาณนอนหลับ ร่างกายทำอะไรไม่ได้เลย เพราะร่างกาย จะทำ ตามคำสั่ง ของดวงวิญญาณ ดวงจิตเป็นตัวสั่งให้ทำ เมื่อดวงจิตไม่ทำหน้าที่ของตน ไปนอนหลับ ร่างกายนี้ ก็จะปิดสวิทซ์ หมดเลย เพราะฉะนั้น การนอนหลับ ดวงวิญญาณละออก จากร่างกาย แล้วอยู่ในสภาพ ไม่รู้ตัว

แต่การทำสมาธิ หมายถึง ดวงวิญญาณละจากร่างกายอย่างรู้ตัว เราตื่นอยู่ แล้วเราสัมผัสสภาวะ ที่เป็นดวงวิญญาณ เรารู้ด้วยว่า ละจากร่างกาย นี่คือข้อแตกต่าง เมื่อดวงวิญญาณแยกออกไปจากร่างกาย คนที่นั่งสมาธิ อย่างลึกล้ำ จะสัมผัสกับสภาวะ ของจิตวิญญาณได้ ในขณะที่อยู่ในร่างกาย นั่นหมายถึง ดวงวิญญาณ สามารถเข้าไป สัมผัส กับร่างกาย ในขณะที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเราอยู่ในสมาธิลึกๆ เราจะอยู่ในสภาพของ จิตวิญญาณ เราจะลืม ร่างกาย ไปหมด เหมือนเรารู้จริงๆ ว่า มันแยกกันคนละส่วน ณ จุดนั้น เราจะเริ่มสัมผัสว่า ดวงวิญญาณ อยู่อย่างอมตะ

เพราะฉะนั้น นี่เป็นเรื่องของประสบการณ์ เราจึงต้องฝึกสมาธิ ทำเอง ให้รู้ตัวเอง คนอื่นบอกไม่ได้

คำถาม สมมุติว่าเราตายไปแล้วจริงๆ ดวงวิญญาณออกไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ดวงวิญญาณอยู่ ตลอดเวลา

หลักวิทยาศาสตร์มีอยู่ว่า วัตถุธาตุไม่เคยถูกทำลายได้ ดังนั้น พลังงานก็ไม่เคยถูกทำลายได้ มีการเชื่อมต่อ ระหว่าง พลังงาน กับวัตถุธาตุ เมื่อเราเผาไม้ ไม้จะกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วถ้าเราเผาเถ้าถ่าน เถ้าถ่านจะกลายเป็น วัตถุธาตุ ถ้าเผาต่อไปอีก จะกลายเป็นแก๊ส เปรียบเทียบได้ว่า มันมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เปลี่ยนสภาวะไป ดวงวิญญาณ เป็นพลังงาน เพราะฉะนั้น เมื่อพลังงานไปอยู่ ในจุดที่สูงสุดของมัน เราจะไปเกิดเป็นคน ที่มีนิสัยที่สูงส่ง เมื่อพลังงาน ตกต่ำ เราจะไปเกิดตามนั้น คือ ไม่ดี แต่เราจะไม่เคยสูญหาย

คำถาม เมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างกาย จะไปสัมผัสกับอะไร

คนที่นั่งสมาธิ เมื่อเขาสามารถสัมผัสกับดวงจิตของเขาได้ ในขณะที่มีร่างกายเขาสัมผัสได้ พูดได้ว่า เขาสามารถ เอาจิตของเขา ออกไปจากร่างได้เลย เมื่อเขาตาย เขาจะไปอย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น เขาจะไม่รู้สึกว่า เขาละออกไป จากร่างกาย เพราะเขาฝึกละร่าง อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อไรก็ตาม ที่เราเห็น คนที่ฝึกสมาธิมา นานๆ แล้วเขาเสียชีวิตลง จะเห็นว่าหน้าเขาสงบมาก เพราะเขาไม่เคยกลัวตาย เพราะเขารู้ว่า เขาอยู่ตลอดเวลา เขาสัมผัส กับความสุข แต่ถ้าใครไม่เคยทำสมาธิ แล้วเผชิญหน้ากับความตาย เขาจะเริ่มรู้สึกว่าตายแล้ว ไม่มีร่างกายแล้ว เขาจะเกิด ความสับสนว่า เขาจะไปไหนกัน และจะเกิดความกลัว ความสงสัยมากมาย อย่างน้อยก็สักครู่หนึ่ง แต่เนื่องจาก เขาอยู่นอกตัว นอกร่างกายไปแล้ว เขากลายเป็นตัวแสง ซึ่งเป็นสภาวะดั้งเดิม ของจิตวิญญาณ หลังจากนั้น เขาจะไปสัมผัสกับดวงวิญญาณ

ปกติสิ่งที่เราทำ คือ เมื่อมีใครตาย เรามักจะกล่าวลา และให้เขาอยู่ในความสงบ หรืออาจจะมีบทสวดมนต์ เพื่อจะนำจิตเขา ออกจากร่างด้วยดี

คำถาม อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดฝันร้าย

จริงๆ เป็นสภาวะของการขาดการควบคุมจิตใจ มีใครเคยฝันตอนเราตื่น ฝันกลางวันอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเรากำลัง นอนหลับ คงจำได้ ขณะที่เรานอนหลับ เป็นสภาวะที่หมดสติ ไม่รู้ตัว การควบคุมตัวเอง ก็ต้องไม่มี ดังนั้น ความฝัน ที่โผล่ตัวขึ้นมา มันเกิดจากสภาวะ ที่เรากดข่มมันไว้ มันอาจจะเป็น ความผิดหวัง อาจจะเป็น ความกลัว ความเศร้า สิ่งเหล่านี้ จะปรากฎตัวขึ้นมา เพราะขณะนั้น จิตควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็จะพบว่า ในฝันเราจะทำ ในสิ่งที่เราอยากทำ ซึ่งชีวิตจริง เราทำไม่ได้ เช่น เราอาจจะโบยบิน แล้วไปตบหน้าใครก็ได้ คือ อะไรก็ตาม ที่เราอยากจะทำ แต่เรากดข่มไว้ เราจะไปทำในฝัน แล้วเราจะควบคุมได้อย่างไร วิธีการ คือ ก่อนจะเข้านอน เราต้องนั่งสมาธิ สัมผัสดวงวิญญาณ สัมผัสดวงจิต สภาวะที่ดี แล้วเราก็จะไม่ฝัน จะไม่มีอะไรรบกวนเราได้ ในขณะที่เรานอนหลับ

คำถาม ควรจะนั่งสมาธินานแค่ไหนก่อนนอน

ต้องเป็นไปตามความสามารถของเรา อาจจะ ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ถ้าเราต้องการ จะมีสมาธิที่ดีๆ ก่อนจะเข้านอน เราจะต้องพัฒนานิสัย ในการนั่งสมาธิ ตลอดชีวิต เช่น ตอนเช้า ตอนเย็น หรือ เมื่อไรก็ตาม ที่เรามีเวลา แม้เวลาทำงาน คือทำตลอดเวลา เราจะต้องรู้ว่า การทำสมาธินั้น เป็นการสร้างระเบียบ แก่จิตใจ ถ้าเราปล่อยให้จิตใจ เร่ร่อนไปที่นั่นที่นี่ กลางคืนตอนจะนอน สั่งจิตใจให้นั่งลง มันจะไม่ยอมนั่ง

ตลอดทั้งวัน เราจะต้องตรวจสอบจิตใจของเราว่า มันเร่ร่อนไปไหนหรือเปล่า ต้องควบคุมไม่ให้มันเร่ร่อนมาก เพื่อที่ว่า ตอนกลางคืน ไม่ว่าเราจะนั่ง ๓ นาที ๕ นาที เพื่อจะได้สั่งจิตใจเรา แล้วจะต้อง นั่งสมาธิ ที่เต็มไปด้วย ความรัก แล้วสัมผัส ตัวเองจริงๆ ถ้าทำได้อย่างนั้น ๑ นาที ก็มีพลังมากมาย อย่าไปแกล้งนั่งสมาธิ หรือ นั่งเพราะต้องนั่ง จะไม่ได้ผล

คำถาม ทำอย่างไรเวลานั่งสมาธิแล้วไม่ให้ฟุ้งซ่าน

เหมือนที่เคยพูดว่า ตลอดทั้งวัน เราไม่เคยดูแลจิตใจของเราเลย เราปล่อยให้มันฟุ้งซ่าน จะไปที่ไหน เราก็ปล่อย ให้มันเร่ร่อนไป ไม่เคยตามดู ไม่เคยดึงมันกลับ เหมือนกับลูก หรือเด็กๆ ถ้าเราต้องการอบรมเด็กๆ ถ้าเราสั่งให้นั่ง ก็ต้องนั่ง เราจะต้องฝึกเด็ก ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ถ้าฝึกมานานพอสมควร แล้วบอกให้เด็กนั่ง เด็กก็จะนั่งลง

เพราะฉะนั้น เราจะต้องบอกจิตใจ เหมือนกับบอกลูกด้วยความรัก ต้องระวังวิธีสั่งจิตใจ เหมือนกัน เด็กถ้าเราข่มขู่ สั่งให้นั่ง เด็กก็นั่งถ้าแม่นั่งดู แต่ถ้าแม่ไม่ดู เขาก็ไปแล้ว จิตใจเหมือนเด็ก ถ้าเราต้องการให้อยู่นิ่งๆ สั่งเขาด้วยความรัก วิธีการก็คือ เมื่อไรที่เราตามดู เห็นว่ามันฟุ้งซ่านอีกแล้ว ให้ค่อยๆ บอกเขาว่า อย่าเพิ่งไปไหน กลับมาหน่อย ตอนนี้ จะนั่งสมาธิ บอกเขาด้วยความรัก เราจะรู้สึกว่า สามารถควบคุมจิตใจ ได้มากขึ้น สำหรับพวกเรา การนั่งสมาธิ คือ ขบวนการ เข้าไปสัมผัสกับความรัก ในตนเอง ต้องพูดจากหัวใจ ของเราเลยว่า เรารักตัวเอง ไม่ว่าเรา จะเป็นใคร แล้วจิตใจ จะเชื่อฟัง เราจะควบคุมมัน ได้มากขึ้น

คำถาม อะไรคือรักตนเอง รักร่างกาย หรือรักวิญญาณ

ก่อนอื่นเราบอกว่า เราไม่ใช่ร่างกาย เราเป็นดวงจิต เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะรักดวงจิต ของเราเอง เรื่องนี้ร่างกาย ไม่เกี่ยวเลย เมื่อเรารักดวงวิญญาณเราได้จริงๆ จึงจะไปรักร่างกาย ฉันรักร่างกายนี้ เพราะอะไร เพราะถ้าเรา ไม่มีร่างกาย เราคุยกันไม่ได้ เราต้องดูแลอย่างยิ่ง มันมีค่า ถ้ามันไม่สบาย เราไปหาหมอ กินยา เราต้องรับประทาน อาหารที่ดี เราต้องออกกำลังกาย เราต้องดูแลร่างกายเราอย่างดี เรารักมัน แต่ต้องดูแล ดวงจิตของเราก่อน

การดูแลดวงจิตคืออะไร คือจะต้องมีความรู้สึกที่ดี ดูแลความรู้สึกตลอดทั้งวัน ถ้าเราไม่รักตนเอง เราจะไม่สามารถ หยิบยื่นความรัก ให้ผู้อื่นได้ ถ้าเราโกรธใครบางคน ณ จุดนั้น เราไม่มีความรัก ให้กับตนเองเลย เพราะเรากำลัง หยิบยื่น ความโกรธ ให้ผู้อื่น ดังนั้น จึงเรียนรู้ที่จะรักตนเองก่อน แล้วก็จะเรียนรู้ ที่จะรักตนเอง ด้วยการทำสมาธิ เมื่อก่อนบราเดอร์จะมีปมด้อย กลัวโน่นกลัวนี่ แต่การฝึกสมาธิ ช่วยให้เปลี่ยนแปลง บุคลิกภาพของตนเอง ตอนนี้ บราเดอร์กล้าหาญ ไม่กลัวอะไรเลย เพราะเรียนรู้คุณสมบัติที่ดีในตนเอง ว่าคำถามนี้ ยังจะมีอยู่ ตราบเท่าที่ เราไม่เรียนรู้ ที่รู้จักตนเอง แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เราเข้าไปค้นพบตนเอง เรียนรู้คุณสมบัติที่ดี ในการฝึกสมาธิ เราจะรัก ตนเอง ได้จริงๆ คำถามนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก เราต้องรักจิตวิญญาณเราก่อน แล้วเราจะ รักร่างกาย แล้วเราก็จะรู้จัก วิธีจัดการกับมัน ให้อาหารที่ดีกับมัน

คำถาม เราจะรักคนอื่นแบบเพื่อนร่วมโลกได้อย่างไร

นี่เป็นคำถามที่ดีมากจริงๆ คนทั้งโลกจะพูดว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่าเราควร จะต้องรักกัน เราลองมองโลก ข้างนอกสิว่า เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เพราะแม้กระทั่ง ครอบครัวเดียวกัน ยังทะเลาะกันเลย อยู่ศาสนาเดียวกัน ยังทะเลาะกันเลย เราจะมีความรักได้อย่างไร คำถามนี้ จึงทำให้เราเห็น ในทางปฏิบัติ เพราะว่า คำว่าความรัก คนทั่วไปตอนนี้ก็เข้าใจว่า ความรักคือการหยิบยื่น วัตถุธาตุให้กัน เราคิดว่า ความรักแสดงออก โดยการช่วยเหลือกัน อย่างหยาบๆ ซึ่งจริงๆ ทำไม เพราะถ้าความรักหมายถึง การให้ของ ที่เป็นวัตถุธาตุแก่กัน หรือ การช่วยเหลือกัน อย่างหยาบๆ เราก็ยังไม่สามารถทำได้เลย เป็นไปไม่ได้ ที่ทุกคน จะสามารถหยิบของ ที่เป็นวัตถุธาตุ ให้ได้ตลอดเวลา เราคงไม่มีพละกำลัง ที่จะคอยช่วยเหลือ ผู้อื่นอยู่ทั่วไป แปลว่าน้อยนิด ที่จะทำได้อย่างนั้น ความรัก ที่แท้จริง ที่จะให้คนอื่น คือ การเก็บรักษาเขาไว้ ในหัวใจเรา ความรู้สึกที่ว่า ทุกคนคือพี่น้องเรา เก็บความรู้สึกนี้ไว้ ซึ่งทุกคนทำได้ สร้างความรู้สึกในใจว่า ทุกคนคือพี่น้องเรา

เนื่องจากเราไม่เข้าใจความรัก เราจึงไปหยิบยื่นความรักในเชิงที่หยาบ คล้ายๆ พูดคำว่า ฉันรักเธอ ๆ จริงๆ แล้ว มันหยาบ ความรักที่แท้จริง ต้องสร้างจากภายใน อย่าลืมเรื่องกระแสจิต ถ้าเราแต่ละคน บ่มความรู้สึกว่า เรารักผู้อื่น กระแสนี้ จะไปถึงผู้อื่น แล้วถ้าเราทุกคนทำได้ เราจะเปลี่ยนสังคมได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหยิบยื่น วัตถุ หรือพูดกัน แบบผิวเผิน แต่ไม่เคยสร้างความรัก ที่อยู่ในหัวใจเราจริงๆ แล้วให้เป็นกระแส ที่มีพลังออกไป

คำถาม ถ้าเราพัฒนาตนเองจนไม่มีกิเลสแล้ว เป็นอรหันต์ในเชิงพุทธ เราจะกลับชาติมาเกิดอีกไหม

ถ้าเราอยู่ในฐานะที่สมบูรณ์เช่นนั้น มันคงไม่เป็นไรว่าเราจะไปหรือจะกลับ เพราะเราสมบูรณ์แล้ว ปัญหาเช่นนี้ จะไม่เกิด เพราะอะไร เพราะว่าดวงวิญญาณเช่นนี้ จะต้องสมบูรณ์ด้วยคุณธรรมทั้งหมด ดังนั้น ถ้าจะต้อง กลับมาเกิด เราก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณ ที่พร้อมจะยกระดับของโลก จริงๆ ปัญหานี้ไม่ต้องคิด สิ่งนี้ท้าทาย ให้เราเข้าสู่สภาพ ที่ไร้กิลสกว่าไหม หันความสนใจมาตรงนี้ดีกว่า เพราะอะไรก็ตาม ที่เราเพียร พยายาม ที่จะได้รับผล จากสิ่งนั้น เป็นความท้าทาย อันยิ่งใหญ่ของชีวิต ไปตรงนั้นให้ได้ก่อน เมื่อถึงตรงนั้น จะไม่มีคำถามอะไรเกิดขึ้น เพราะดวงวิญญาณ ที่สมบูรณ์พร้อม ไม่มีข้อสงสัยใดๆ

คำถาม ถ้าพบคนที่นิสัยเอาเปรียบผู้อื่น จะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เพราะคนเช่นนี้ทำลายบรรยากาศของส่วนรวม

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้วเราใช้วิธีคุยก็ได้ เวลาพูด สิ่งที่เราจะต้องทำคือ เราจะต้องเคารพ ต่อดวงวิญญาณ ของคนนั้น ต้องพูดดีๆ ต้องพูดด้วยความรัก ถ้าเขาฟัง เป็นเรื่องที่ดีมาก เขาอาจจะเปลี่ยนนิสัยเขา แต่ถ้าเขาไม่ฟัง อย่างน้อย เราก็รู้สึกว่า เราทำหน้าที่ของเราแล้ว เราพูดกับเขาแล้ว ถ้าเราพูดกับเขาดีแล้ว แต่เขายังไม่เปลี่ยน ไม่มีอะไร เกิดขึ้น เราก็จะบอกตัวเองว่า ไม่มีอะไรเหลือ ให้เราต้องทำ แล้วเราก็ได้เพียง แต่หวังว่า วันหนึ่ง เขาคงจะ เปลี่ยนแปลง ตัวเอง เพราะคนนั้น จะเปลี่ยนนิสัย เพียงเพราะเราบอกเขา หรือ อาจมีคนมากมาย บอกเขาแล้ว หน้าที่ของเรา ก็เพียงแต่เร่ง ด้วยกระแสจิต เราคงความรู้สึก ถึงความปรารถนาดีต่อเขา แล้ววันหนึ่ง เขาจะ เปลี่ยนแปลงตัวเอง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไปคิดว่าคนนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย ถ้าเราคิดอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิด ก็คือ ความรู้สึก ของเรา จะวิ่งไปหาเขา ความรู้สึกที่ว่า เขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วเขาจะไม่เปลี่ยน เพราะความรู้สึกของเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะต้องเข้าใจจัดการกับผู้คน ถ้าเราเป็นคนแข็งแกร่ง เราเป็นคนมีความรัก เราอาจจะพูด กับเขาได้ แต่เมื่อไร เรารู้ตัวว่า เราไม่มีความรัก เรายังโกรธอยู่ ก็อย่าไปพูดกับเขา ให้ส่งแต่ความปรารถนาดีให้เขา ให้มองว่า คนมีทุกประเภท เหมือนใบไม้แต่ละใบ ก็ไม่เหมือนกัน เราก็เป็นใบไม้หนึ่งใบ เขาก็เป็นหนึ่งใบ เขาจะเป็นยังไง ก็เรื่องของเขา ทำไมเราจะต้องไปกำหนด หรือจัดแจงว่า เขาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จงอย่าไปสร้าง บ่วงพันธะกับเขา

คำถาม คนที่ชอบบงการคนนั้นคนนี้ ด่าว่ารุนแรง ชอบใช้อารมณ์ เราจะช่วยได้อย่างไร

ได้พูดตอนต้นว่า นี่คือปัญหาที่เราต้องเจอกันอยู่แล้ว คนที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการ หรือกำหนดผู้อื่น เขามีความยะโส ในตนเอง เขาไม่ค่อยชอบฟังคนอื่น คนประเภทที่ชอบจัดการกับคนอื่น จริงๆ เราช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่สิ่งหนึ่ง ที่จะทำได้ ถ้าเรารู้สึกเจ็บปวด ที่เขามาเจ้ากี้เจ้าการกับเรา ให้เราบอกตนเองว่า ทำไมเราจะต้องเป็นทาสของเขาด้วย เขาอาจจะโกรธ อาจจะตะโกนด่าว่า ฉันจะบอกตัวเองว่า ช่างเป็นไร ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ ฉันมีสิทธิ์ ที่จะมีชีวิต สงบสุขของฉัน แล้วสิทธินี้ ไม่มีใครจะฉกฉวย ไปจากฉันได้ เธอจะไปตะโกนด่าว่าใคร ไปเลย แต่เธอไม่สามารถ จะเอาสิทธิอันนี้ ไปจากฉันได้ ให้พูดกับตนเองอย่างนี้ แล้วเราจะไม่กระทบ จากสิ่งที่เขาทำ เมื่อเราไม่ถูกกระทบ จากสิ่งนั้น เขาเองจะเริ่มได้คิด แล้วเขาจะเริ่ม เปลี่ยนแปลงตนเอง ในทุกสถานการณ์ ที่ต้องเผชิญ ให้เราเปลี่ยน ตนเอง ให้คิดให้ดี แล้วเป็นคนแข็งแกร่งขึ้น อย่าถูกกระทบ เพราะสิ่งที่เขากระทำ ไม่ต้องพูดอะไรเลย ไม่ช้าไม่นาน เขาจะเปลี่ยนเอง นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่ต้องทำอะไร ให้เปลี่ยนปฏิกริยาของเราเอง

คำถาม เราจะแก้ไขความรู้สึกตนเองว่าเราด้อยค่าได้อย่างไร

เวลาที่เรารู้สึกกลัวใครบางคน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ จริงๆ อาจจะเป็นความรู้สึกที่สืบเนื่อง มาจากชาติก่อนๆ มีคนศึกษา การกลับชาติมาเกิด อยู่เรื่องหนึ่ง คือ

มีเด็กอายุ ๗ ขวบ พ่อแม่พาไปว่ายน้ำในทะเล เด็กคนนี้เมื่อพ่อแม่นำไปใกล้ทะเล จะร้องไห้ทันที และร้องไห้ แบบไม่ปกติ ร้องแบบกลัวมาก เลยพาไปรักษา แล้วค้นพบว่า เด็กคนนี้เสียชีวิต เนื่องจากจมน้ำตาย ความรู้สึกนั้น ยังฝังอยู่ในจิตใจ เพราะดวงวิญญาณ จากร่างด้วยความกลัว เพราะฉะนั้น ถ้าเรากลัวอะไรบางอย่าง อาจจะเป็น เมื่อชาติก่อนทำอะไรไว้

วิธีที่จะเอาชนะ คือ ให้เข้าใจว่า โดยตัวดวงจิตเอง สภาวะดวงจิตนั้น ไม่มีความกลัวเลย ฉันคือดวงวิญญาณ ที่ไม่กลัวอะไร ให้เข้าใจสิ่งนี้ แล้วพูด กับตนเองซ้ำๆ แล้วคิดสิว่า ทำไมต้องกลัวคนนั้น ในเมื่อฉันคือ ดวงวิญญาณ ฉันคือตัวพลัง ถ้าเรามีความกล้าหาญ พลังความกล้าหาญ จะเป็นกระแสออกไป เราจะเป็นคนกล้าหาญ มากขึ้นๆ แต่ถ้าเรา มีความกลัว กระแสนี้ จะดึงเข้ามามากขึ้น เหนือไปกว่านั้น เราต้องสัมผัสให้ได้ สภาวะจิตวิญญาณ ของเราเอง

สำหรับบราเดอร์เอง เคยนั่งสมาธิแล้วสัมผัสกับสภาวะของจิตวิญญาณ สิ่งนี้จะล้าง ความกลัวทั้งหมด เราจะพบเลยว่า ในสภาวะของดวงจิตเองจริงๆ ไม่เคยมีความกลัวอยู่ในนั้น เราไม่ได้ถูกสร้างให้กลัว ความกลัว อาจจะมีสาเหตุ อะไรบางอย่าง เกิดขึ้นในชีวิต เพราะว่าความกลัว เป็นการรับกรรมอย่างหนึ่ง ถือว่าเรารับกรรม เพราะฉะนั้น วิธีที่จะสะสางกรรมอันนั้น คือ นั่งสมาธิ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

จบบริบูรณ์

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๑ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๕ ฉบับ จุดเทียนพรรษา)