ปลอบใจเราเอง (๖) - แม่น้ำ ลักขิตะ -

ปลอบใจเราเองเถิด... อย่าทำชีวิตให้ทุกข์ระทมหม่นไหม้ เพราะความคิด ของตัวเองเลย
ในห้องแห่งความทรงจำของเรา ได้เก็บเรื่องราวอันเศร้าระทมขมขื่นไว้มากมาย จากวันคืน ของกาลเวลา ที่ล่วงผ่าน สร้างตำนานแห่งความสุขสันต์ และกรีดแผลใจไว้ก็มิใช่น้อยเช่นกัน

เราจะรู้สึกได้ว่า ประสบการณ์ของความสุขมิติดตรึงดวงใจเรายาวนานสักเท่าใด เพียงกาลผ่านพ้น ก็ลืมเลือน เสมือนหมอกบาง ในยามเช้า โรยตัวปกคลุมแผ่นฟ้า เพียงชั่วคราว แล้วพลันจางหาย ทว่าประสบการณ์ อันแสนทุกข์ระทมขมขื่น ซึ่งเป็นบาดแผลแห่งชีวิต กลับเป็นเหมือน ลิ่มสลัก ที่ตอกตรึง อยู่ในความทรงจำ แม้กาลเวลา สามารถเยียวยารักษาได้ แต่รอยแผลเป็น แห่งความเจ็บปวด ยังคงปรากฏอยู่ ในห้วงแห่งดวงใจเรา เสมอมา

ยามต้องเผชิญเหตุการณ์อันเป็นจุดสะเทือนอารมณ์ ความคิดเราจะประหวัดกลับไป ในอดีต อีกครั้ง กลับเข้าไปสู่ห้วง แห่งความทรงจำ ที่มีแต่ความเศร้าโศกตรม และขื่นขม อดีตที่เจ็บปวด ไม่ให้อะไรแก่เรา นอกจากความรู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวัง สูญเสียพลัง ที่จะก้าวไปข้างหน้า ไปสู่การพัฒนาศักยภาพ ของตนเอง เราจะไม่เห็นสิ่งใด นอกจากดวงใจ ซึ่งสลดหดหู่ และ เส้นทางไปสู่ ความสำเร็จ ในชีวิต ก็ยาวไกลสุดสายตา จะแลเห็น ความรู้สึกเหนื่อยล้า กลุ้มรุม แทบไม่อยากย่างก้าว ไฟแห่งชีวิตริบหรี่ ดุจแสงจากเทียนไข ซึ่งใกล้หมดเล่ม

หากเราจะหยุดครุ่นคิดถึงอดีตที่สุดเศร้า ดวงใจเรายามนี้จะไม่หมองหม่น ทว่าจะ สดใสมีชีวิตชีวา มีพลัง ที่จะก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความสำเร็จ ดังวาดหวัง ไปสู่ความหลุดพ้น จากวังวนชีวิต ที่แสนเศร้า ได้ค้นพบ สิ่งใหม่ๆ บนโลกใบนี้ ได้สัมผัสคืนวัน ที่ดีกว่า และทรงคุณค่ากว่า วันวานอันเก่าก่อน

อย่าขังดวงใจเราไว้ในห้องแห่งความทุกข์ระทม จงปล่อยดวงใจ ให้เป็นอิสระ ติดปีก แล้วบินไป สู่ความงดงาม ของวันพรุ่ง บนท้องฟ้าแห่งความหวัง อันไร้ขอบเขต และความฝัน ที่ไม่มีวันสุดสิ้นของเรา

ปัจจุบันเป็นห้วงเวลาอันล้ำค่าที่เราพึงให้ความสำคัญ อย่าปล่อยให้ความคิดจมอยู่ แต่วันคืนเก่าๆ ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป เก็บไว้เพียง ประสบการณ์ที่เป็นดังครู สอนเราให้รู้จัก สัจจะชีวิตว่า มีสุข และทุกข์ คละเคล้ากันไป ตามกาลเวลา

ในวันนี้และวันต่อๆ ไป ดวงใจเราจะสดใสอยู่เสมอ ยิ้มรับชีวิตใหม่ๆ ให้ผ่านเข้ามา สรรหาสิ่งดีงาม ให้แก่ตัวเราเอง เพราะนรก หรือสวรรค์ในตัวเรา เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น เราพึงให้ความสำคัญ เป็นที่สุด

โลกใบนี้มีสิ่งงดงามให้เราครุ่นคิดถึงมากมาย มีความฝันและความหวังอันประเสริฐรออยู่ ไยเราจึง คำนึงถึงแต่ความเศร้า ให้เสียเวลา... เร่งก้าวไปสู่วันใหม่ที่สดใสมิดีกว่าหรือ? ประโยชน์อันใด กับการจมอยู่ ในศาลาคนเศร้า ก้าวออกมาเถิด ดวงใจเรา สยายปีกแล้วบิน สู่ความอิสระเสรี

ปลอบใจเราเองเถิด...
ว่าเรามิได้ปราชัย แต่กำลังเริ่มต้นสู้ใหม่อีกครั้ง

เพราะโลกนี้มีการแข่งขัน
เราจึงได้สัมผัสอารมณ์สุขอันซาบซ่านจากการมีชัย
และได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดจากการเป็นผู้แพ้

เพราะโลกนี้มีการแข่งขัน
เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของจิตวิญญาณคนที่ต้องการเอาชนะ
ว่าช่างชั่วร้ายกักขฬะ ไร้มิตรไมตรีต่อคนอื่น และขาดศีลธรรม

เพราะโลกนี้มีการแข่งขัน
เราจึงได้เข้าถึงสัจจะชีวิตอีกแง่มุมหนึ่ง
ว่าทุกข์จากความต้องการเอาชนะมันเร่าร้อนเพียงใด

ในการแข่งขันซึ่งกันและกัน
การแข่งทำประโยชน์ให้แก่สังคม นับว่าเป็นการแข่งที่ดี
ด้วยการเสียสละอย่างไม่หวังผลตอบแทน

ในการแข่งขันซึ่งกันและกัน
การแข่งให้ตนหลุดพ้นจากโลกีย์ นับว่าเป็นการแข่งที่ดี
ด้วยการไม่แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ
มาปกปิดแสงสว่างแห่งปัญญา

ในการแข่งขันซึ่งกันและกัน
การแข่งขันเพื่อพัฒนาศักยภาพของเราเอง นับว่าเป็นการแข่งที่ดี
ด้วยการเรียนรู้สรรสร้างชีวิต
ให้พูนเพิ่มความดียิ่งๆ ขึ้น

ในยามที่เราแพ้พ่าย ปลอบดวงใจเราเองเถิด...ว่าเรามิได้ปราชัย
หากแต่เป็นชะงักการเดินทางไว้ชั่วคราว
เพื่อทบทวนตัวเองให้ถ้วนรอบ
ก่อนย่างก้าวไปสู่จุดหมายปลายทาง

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๑ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๕ ฉบับ จุดเทียนพรรษา)