ที่นี่...ไม่มีช่องว่าง - หายโง่ บ้างแล้วนะ

เพื่อนต่างวัย
"น้อย ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว" พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ถามชายผมสั้นสีดอกเลา ที่นั่งฟังธรรมอยู่แถวหน้า "สอง" เขายิ้มอย่างเบิกบาน พร้อมทั้งชูสองนิ้ว ยืนยันคำตอบ

น้อย มาอยู่ละแวกพุทธสถานสันติอโศกตั้งแต่ อายุ ๒๕ ปี เป็นเวลา ๒๓ ปี ที่เขาเดินเข้าออก ในบริเวณนี้ ราวกับที่นั่น คือบ้าน น้อย ยกมือไหว้ทักทายทุกคน ที่สัมผัสได้ว่า มีไมตรีกับเขา บางครั้ง เขายืนอยู่ในแถวของ นักเรียนพุทธธรรม ซึ่งเรียกเขาว่า ลุงน้อย ตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้เจ็บสิบฤดูฝน ซึ่งเป็นอดีต รองนายกรัฐมนตรี คือเพื่อน

น้อย ทักทายพลตรีจำลอง ศรีเมือง ด้วยรอยยิ้มขณะพนมมือ และเรียกชื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า "จำลอง!" น้อย ได้รับการไหว้ตอบ พร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

ไม่ใช่ญาติก็คือญาติ
เมื่อแม่ซึ่งเคยดูแลจากไป น้อย เริ่มซึม ร่างกายอ่อนล้า ระบบขับถ่ายเริ่มรวน ญาติธรรมที่พบเหตุก็ พากันช่วยเหลือ บ่อยครั้งที่น้อยฝากผลงานไว้ ที่ใต้ถุนบริษัทฟ้าอภัย และบริเวณใกล้เคียง ชาวฟ้าอภัย จัดการชำระล้าง ให้เรียบร้อย พี่ทุเรียน เอาภาระเฝ้าดูแล จนถึงวาระสุดท้าย ของชีวิตมาเยือน

๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เวลาประมาณบ่ายโมง ญาตินอกทะเบียนกุลีกุจอจัดการ ร่างไร้วิญญาณของน้อย พ่อท่านฯบัญชาการเอง นับเป็นครั้งแรก ที่โลงทองลายเทพพนมใหม่เอี่ยมใบนี้ ได้ใช้รองรับร่าง ของบุรุษ อารมณ์ดี เทพพงษ์ อักษรศร

เอ็นโดร์ฟิน
ค่ำวันนั้น พ่อท่านฯแสดงธรรมท่ามกลางผู้ฟังหลากหลายวัย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนสัมมาสิกขา ซึ่งจอง แถวหน้า ท่านกล่าวชมว่า น้อย เป็นคนจิตใจดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และสนใจใฝ่ธรรม แม้สมอง จะมีความบกพร่อง แต่จิตวิญญาณของเขานั้น น่าชื่นชม โดยเฉพาะ ความเป็นคนอารมณ์ดี จึงเป็นที่รัก ของผู้พบเห็น

เรื่อง จิตเบิกบาน เป็นประเด็นหนึ่งของการแสดงธรรมในคืนนั้น ท่านกล่าวว่า เมื่อจิตแจ่มใส ร่างกาย จะหลั่งสาร เอ็นโดร์ฟิน (endorphin) ทำให้เกิดความสดชื่น ขณะบรรยายธรรม ท่านจาม ฟิด ฟิด เด็กๆ พากันหัวเราะ จามครั้งหนึ่งเด็กๆ ก็หัวเราะกันครั้งหนึ่ง ท่านถามว่า "ทำไมต้องหัวเราะ เวลาอาตมาจาม" เด็กๆตอบว่า "เรียกเอ็นโดร์ฟิน" บรรยากาศในงาน อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ของเด็กๆ เป็นการแสดงธรรม แบบสาระบันเทิง

ที่จริง ณ สถานที่นั้น มีศพของตำรวจผู้หนึ่งตั้งอยู่ก่อน แต่เวลาสิบโมงเช้า มีการย้ายออกไป ที่วัดใกล้ๆ พุทธสถาน โดยความประสงค์ของเพื่อนๆ ผู้ตาย พ่อท่านฯ กล่าวเชิงเย้าว่า "สงสัยน้อยบอกว่า เธอจงออกไป ฉันจะเข้ามา" เหตุปัจจัยที่ลงตัว ทำให้งานพิธีที่เรียบง่าย เป็นไปอย่างราบรื่น

สลายร่าง
ยามสายของวันที่ ๗ กรกฎาคม พ่อท่านฯ แสดงธรรมตามปกติ ท่านยกเรื่องของน้อย เป็นอุทาหรณ์ ของการพึ่งเจ็บ พึ่งตาย แห่งชาวชุมชนอาริยะ

ราวบ่ายสองโมง ที่ปฐมอโศก พ่อท่านเดินอย่างสงบนำหน้าสมณะและพระ ๑๒ รูป ตามด้วยนักบวช ชาย หญิง พร้อมทั้งญาติธรรม ทั้งจากกรุงเทพฯ และนครปฐม ภาพที่น่าเอ็นดู ชวนให้ประทับใจ ในขบวนนี้ คือ นักเรียนตัวน้อยๆ ในชุดสีน้ำเงิน เดินเท้าเปล่า อย่างสำรวมรอบเมรุ

ก่อนที่ร่างของน้อย จะได้รับการเผา พ่อท่านบรรยายธรรมบนเมรุ ความโดยสรุปว่า ความแตกต่าง ระหว่างคนสมองดี กับคนบกพร่องทางสมองนั้น มีความชัดเจนเป็นธรรมดา แต่ในความแตกต่างนั้น ไม่มีช่องว่าง สำหรับความสัมพันธ์ ณ ดินแดนแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ท่านย้ำเสมอว่า ในที่สุด บุคคลมีกรรม เป็นของของตน

พลตรีจำลอง ศรีเมือง กล่าวท่ามกลางผู้มาร่วมงานว่า "เมื่อทราบข่าว ผมตั้งใจเลยว่า ต้องมาเผาน้อย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเชิญ เขาเป็นเหมือนเพื่อนของผม งานของผู้มีชื่อเสียงต่างๆ บางครั้งผมไปโดยจำเป็น ไม่เต็มใจนัก บางคนไม่มีความดีพอ ที่ผมจะไปร่วมงาน แต่สำหรับน้อย ผมมาด้วยความเต็มใจ..."

มีใครสักเท่าไรในโลกนี้ที่อยู่และตายท่ามกลางความอาทรของหมู่มิตร คนที่รวยล้น หรือฉลาดล้ำ จะสัมผัส ความอบอุ่น อย่างจริงใจ ได้ถึงครึ่งหนึ่งที่น้อย ได้รับไหม?

๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๒ ก.ค. - ส.ค. ๒๕๔๕)