บันทึก / น้ำค้างหยดเดียว
โชคและเคราะห์


เย็นวันที่อากาศดีมาก บนถนนที่ยวดยานไม่หนาแน่นนัก หลังกลับจากเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด ด้วยความสบายใจ ที่เห็นท่านสดชื่น แข็งแรง และมีความสุขตามสมควร ใครเลยจะคาดคิดว่า จะมีภยันตราย จากอุบัติเหตุรออยู่ บนเส้นทางที่อีกไม่กี่กิโลเมตร ก็จะถึงบ้าน

ยังบอกกับเพื่อนผู้ทำหน้าที่ขับรถว่า เราเลือกวันเดินทางได้ดีจริงๆ นะ อากาศไม่ร้อนเลย น้องผู้ชายอีกคน ที่ไปด้วย ก็นอนสบาย อยู่บนเบาะ ที่ปูเต็มกระบะท้าย มีหลังคาคลุมมิดชิด

"โครม !
พริบตานั้น รถกระบะที่เรานั่งมาก็เสยเข้าเต็มๆ กับรถกระบะบรรทุกของเก่า ที่จอดอยู่ ข้างทางใกล้ทางโค้ง เสียงดังสนั่น กระโปรงหน้ารถยับย่น กระจกหน้ารถ แตกละเอียด ด้วยแรงกระแทก ของถุงปุ๋ยขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุของแข็งไว้ภายใน ที่หล่นลงมา จากรถคันหน้า และพุ่งเข้ามา ในตัวรถ

เรารู้สึกว่าใบหน้าด้านซ้ายชาไปทั้งแถบ และเจ็บบริเวณหน้าอก เมื่อเหลือบดูกระจก ก็เห็นว่า หน้าบวมเป่ง ขึ้นมา เป็นสองเท่า จากปกติ ที่หัวตาซ้าย มีบาดแผลเหวอะหวะ จากการถูก กระจกบาด ซึ่งบัดนี้ มีเลือดไหล เป็นทาง และ หยดลงพื้น สะบักขวาเสียวแปลบ จนหันไปดูน้อง ที่นอนเจ็บอยู่ ด้านหลังไม่ได้

สิ่งเดียวที่ได้จริงในภาวะวิกฤต คือ มีสติมั่นคง ไม่ตกใจกลัว บอกตัวเองว่า นี่ไงอุบัติเหตุ ที่ไม่คิด ว่าจะเจอ

โชคดีที่เพื่อนไม่เป็นอะไรมาก ได้ยินเขาโทร.มือถือขอความช่วยเหลือ จากตำรวจว่า เกิดอุบัติเหตุ มีคนบาดเจ็บ 2 คน ต้องรีบส่งโรงพยาบาล สิ่งที่น่าเศร้า คือมีรถแล่น ผ่านเราตลอด แต่ไม่มีคันใด จอดให้ความช่วยเหลือ

กว่าตำรวจจะมารับไปโรงพยาบาล ก็เกือบครึ่งชั่วโมง ถ้าบาดแผลฉกรรจ์ ก็อาจตาย เพราะเสียเลือดได้

กว่าจะถึงโรงพยาบาล กว่าจะผ่านขั้นตอนรักษาที่เชื่องช้ามากก็ระบมไปหมดทั้งตัว ดีว่า ซี่โครงไม่หัก กะโหลกไม่ร้าว อวัยวะยังอยู่ครบ ยกเว้น แผลที่หัวตาซ้ายซึ่งเย็บ ๑๓ เข็ม เจ็บหน้าอก และเสียวแปลบ ที่สะบักขวารุนแรง

ส่วนน้องหลังการรักษา หน้าช้ำเป็นจ้ำๆ สีม่วง ฟันหักหลายซี่ ดั้งจมูกหัก ปากแตก และ มีเลือดไหล จากหางตา ทั้งที่ทำแผล ปิดผ้าก๊อซไว้แล้ว ดูอาการน่าเป็นห่วง กว่าเราเยอะ

นอนโรงพยาบาลที่สระบุรี ๑ คืน วันรุ่งขึ้นทำเรื่องเข้ารักษาต่อที่กรุงเทพฯ แต่เราตัดสินใจ นอนพักที่วัด เพราะมีพยาบาล ทำแผลให้ได้ ส่วนอาการฟกช้ำ และเส้นสาย ที่คลาดเคลื่อน ก็ไม่จำเป็น จะต้องรักษา ในโรงพยาบาล

๒ สัปดาห์ผ่านไป อาการดีขึ้นเป็นลำดับจากการเยียวยาและความช่วยเหลือ ของเพื่อนพ้อง น้องพี่ ญาติธรรม ที่ใกล้ชิด ราวญาติสาโลหิต น้องก็ออกจากโรงพยาบาล ด้วยสุขภาพ ที่แข็งแรง ระดับหนึ่ง

นี่คือการมาเยือนของเทวทูตที่เตือนให้รู้ว่า ความเป็นและความตายอยู่ใกล้กัน แค่พลิกฝ่ามือ พร้อมไหม หากต้อง ลาโลกไป อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่ง ณ วันนี้ กิจน้อยใหญ่ ที่ควรขวนขวาย ก็ยังผัดวัน ประกันพรุ่ง ป่วยการกล่าวถึง การทำที่สุดแห่งทุกข์ อันเป็นเป้าหมาย สูงสุดของชีวิต

บ่ายวันที่ฝนพรำสายมาตั้งแต่เช้า บรรยากาศเศร้าซึม และจิตใจค่อนข้างหดหู่ เพราะยังต้องรอ ความช่วยเหลือ จากผู้อื่น ในบางเรื่อง มองผ่านสายฝน และ แมกไม้เขียวขจี ไปยังศาลาวิหาร ที่หุ้มด้วย แผ่นอิฐสีน้ำตาล เคร่งขรึม ที่ซึ่งบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ อยู่บนเรือนยอด พลันเกิด ความดื่มด่ำ ล้ำลึก ในสภาวะจิต ที่สงบมั่นคง และเยือกเย็น

โชคดีที่ยังได้กลับมาเห็นศาลาวิหาร ได้กลับมาอยู่ร่วมกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

โชคดีที่ไม่พิการ และวิบากบาปไม่ตัดรอน จนหมดหนทางแก้ไข ข้อผิดพลาด บกพร่องที่ผ่านมา

ที่แน่ๆ มีบุญคุณที่ยังไม่ได้ทดแทน มีแค้นที่ยังไม่ให้อภัย มีรักมีชังที่ยังผูกติด ในจิตวิญญาณ โชคดีแค่ไหน ที่มีโอกาส กลับมาแก้เงื่อนปม ไม่ให้ติดค้าง ไปถึงภพหน้า (ที่หวังว่าจะไปสู่สุคติ) เพราะไม่ว่า จะรักหรือชัง ก็ล้วนเป็น ความพยาบาท จองเวรต่อกัน สถานเดียว

 

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๓ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๕)