แม่กุ้งแห้ง กับพ่อตุ้ยนุ้ย
เขียนโดยโฆเซ่ หลุยส โอไลยโซล่า
แปลจากภาษาสเปน โดยรัศมี กฤษณมิษ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : ๒๕๔๔
ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบทราคาเล่มละ ๕๐ บาท (ไม่รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐ ถ.นวมินทร์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร. ๐-๒๓๗๕-๔๕๐๖ สั่งจ่าย ปท.คลองกุ่ม


ตอน ๑

มาเตโอ ชาเมโร เป็นเด็กชายอายุ ๘ ขวบ ผู้ซึ่งอยู่มาวันหนึ่ง ก็พบว่าตัวเอง มีปัญหาหนักอก ที่แก้ไม่ตก ถึง ๓ เรื่อง

เรื่องแรกคือ แม่ของเขาได้ตัดสินแล้วว่า เขาเป็นเด็กชายที่อ้วนมาก และจำเป็นต้อง ลดน้ำหนัก เสียที ซึ่งจะว่าไป คนที่อ้วนมากน่ะ คือแม่ต่างหาก แม่บ่นว่า

"ไม่ได้การแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ทั้งบ้านไม่มีใครคิดอะไรกัน นอกจากเรื่องกิน เพราะยังงี้สิ เรา ๓ คน ถึงได้อ้วนขนาดหนัก"

แม่หมายรวมถึงพ่อของมาเตโอ ซึ่งก็อ้วนตุ๊ต๊ะเช่นกัน แต่ก็ยังน้อยกว่าแม่

"แม่ว่า..." เธอชี้ขาดลงไป "เราต้องเลิกกินพวกสารพัดถั่ว"

ตอนแรกมาเตโอคิดว่า ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะเขาไม่ค่อยจะชอบกิน อาหารต้มๆ ซึ่งต้องใส่ถั่ว เท่าไรอยู่แล้ว แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ แม่ย้ำว่า เราจะกินเฉพาะผัก และปลาจืดๆ ซึ่งไร้รสชาติ หรือถ้าจะดีขึ้นมาหน่อย ก็มีเนื้อย่างชิ้นบางๆ เท่านั้น

"แต่แม่ฮะ..." มาเตโอท้วงอย่างหมดหวัง "ผมไม่เห็นจะสนใจเรื่องอ้วนเลยนี่ฮะ

"แต่แม่สนใจ !" แม่ผู้ทรงพลัง ย้ำหนักแน่น

"ถ้างั้นแม่ก็ลดความอ้วนเสียเองสิฮะ" มาเตโอซึ่งค่อนข้างทะเล้น สวนทันควัน

แม่รู้สึกขำกับทางออกของมาเตโอ จึงชี้แจงให้เด็กชายฟังอย่างเอ็นดู

"แม่หมายความว่า แม่เป็นห่วงที่ลูกอ้วนปุ๊กลุก อย่างนี้ หรือลูกอยากอ้วน อย่างพ่อเมื่อโตขึ้น

"แน่ล่ะฮะ ผมอยากเหมือนพ่อ" มาเตโอตอบ เขารู้สึกภูมิใจในตัวบิดา ผู้เป็นถึงหัวหน้า หน่วยดับเพลิงทีเดียว

"อ้วนขนาดนั้นน่ะนะ" แม่ถามย้ำ

ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่มาเตโอไม่เคยใส่ใจ จริงอยู่หรอกที่เด็กนักเรียนบางคน เรียกเขาว่า เจ้าอ้วนชาเมโร หรือเจ้าคิงคองชาเมโร แต่เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนัก เขาอาจจะวิ่ง ได้น้อยกว่า เด็กอื่นๆ เวลาเล่นฟุตบอล แต่ในทางกลับกัน เด็กหลายคนก็ยำเกรง มาเตโอ เพราะแค่เขาผลัก หรือกระแทกนิดเดียว ก็ทำให้เพื่อนล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น

ปัญหาซึ่งแต่แรกดูเหมือนจะไร้สาระนี้ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และวันไหน ที่แม่ไม่ห้าม ว่ากินนี่อ้วนนั่นอ้วนแล้วล่ะก็ นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดทีเดียว ทั้งๆ ที่แม่เอง ก็มีเพื่อนอ้วนๆ หลายคน ซึ่งต่างก็ให้คำแนะนำแก่กันว่า ไม่ควรกินอะไรบ้าง แย่จริง!

ปัญหาเรื่องที่สอง เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ครอบครัวชาเมโร อาศัยอยู่แถบชานเมือง ที่มีทั้ง คอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรร หนึ่งในบ้านจัดสรร เป็นบ้านของชายสูงอายุ ท่าทางลึกลับ ที่มีสุนัขตัวโต เบ้อเริ่ม ซึ่งจะเห่าอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่เห็น มาเตโอ เดินผ่านหน้าบ้านของมัน

มาเตโอจำเป็นต้องใช้เส้นทางนั้นเดินไปโรงเรียนทุกเช้า อย่างไม่มีทางเลี่ยง แม้ว่าเขาออก จะแข็งแรง อ้วนล่ำปานนั้น ก็ยังนึกกลัวสุนัขเป็นกำลัง จะว่าไปแล้ว เขากลัวสัตว์ แทบทุกชนิด จับใจ เรื่องนี้เด็กชายได้รับการถ่ายทอด ทางพันธุกรรม มาจากแม่ ซึ่งเพียงแค่เห็นจิ้งจก ก็ร้องกรี๊ด จนคนที่ว่าใจเย็นสุดๆ ยังสะดุ้งโหยง ขนหัวลุกเลย

พ่อซึ่งเป็นนักดับเพลิงที่ดีและกล้าหาญให้เหตุผล กับมาเตโอว่า

"แล้วลูกจะไปกลัวจิ้งจกที่ตัวเล็กกว่านิ้วมือเป็นไหนๆ ได้ยังไงกัน เจ้าสัตว์ตัวกระจิ๊ดเดียวนั้น จะทำอะไรลูกได้

"ถ้างั้นทำไมแม่ถึงกลัวมันล่ะฮะ" เด็กชายแย้ง

"นี่แน่ะ..." พ่อผู้รักสงบพยายามอธิบาย "แม่ น่ะเขาเป็นคนดีมากเชียวล่ะ เสียแต่ออกจะ ขี้ตกใจ ประสาทอ่อน ที่นี้พอตกใจเข้าก็"

แม่ซึ่งเข้าอกเข้าใจอะไรง่าย ยอมรับและให้เหตุผลกับพ่อว่า มันน่าขัน ที่คนเรา จะกลัวสัตว์... ยกเว้นสุนัข แล้วแม่ก็เล่าเรื่องสุนัข ที่กัดไม่เลือก แม้กระทั่งเจ้าของ

"แม่ก็" พ่อเริ่มไม่ค่อยพอใจ "นั่นมันเป็นกรณีหนึ่งในล้านเท่านั้นแหละ ก็มีเหมือนกัน ที่หมา มันเป็นบ้า น่ะ แต่ถือเป็นข้อยกเว้น" คำอธิบายของพ่อ ไม่ได้ช่วยให้ มาเตโอ อุ่นใจขึ้น สักเท่าไร เพราะเด็กชายได้ข้อสรุปว่า เจ้าสุนัขดุของเพื่อนบ้าน เป็นหนึ่งในข้อยกเว้น อย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าเรื่องการถูกห้ามกินโน่นกินนี่นับว่าแย่แล้ว เรื่องหมาดุนี่สาหัสกว่าอีก เพราะมีท่าว่า มันจะดุ มากขึ้นทุกวัน ทันทีที่เห็นมาเตโอ เจ้าตัวแสบเป็นต้องเห่ากรรโชก จ้องมองเขา ด้วยดวงตา ลุกโชน พร้อมแยกเขี้ยว อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แถมยังเอาหัว อันใหญ่โตของมัน ขย่มรั้วลวด ตรงสนามหน้าบ้าน จนหย่อนลงทีละน้อยๆ เด็กชายคิดว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง รั้วต้องพัง และเจ้าตัวร้าย คงจะหลุดออกมา ขย้ำเขาเป็นแน่

แม้ว่ามาเตโอจะรู้สึกอายที่กลัวสุนัขตัวนั้นจับใจ แต่เด็กชายก็ตัดสินใจ เล่าให้แม่ฟัง แล้วกล่าว ทิ้งท้ายว่า

"แม่ต้องไปพูดกับเจ้าของมันนะฮะ ถ้าเผื่อวันหนึ่งมันหลุดออกมาได้ล่ะก็...ผมเสร็จแน่ !"

แม่ซึ่งกำลังง่วน ผัดต้นกระเทียมกับน้ำส้มสายชู ที่เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่า จานนี้ล่ะสูตรเด็ด ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น แม้แต่ขีดเดียว พูดกับเขาอย่างไม่สนใจว่า

"แม่ว่ามันไม่หลุดออกมาหรอกน่า"

มาเตโอแสนจะไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเลย สักนิด ดูทีรึ เรื่องน้ำหนักที่เกินไป ไม่เท่าไร ของเขา แม่ช่างเป็นห่วงเสียจริงเชียว แต่กับเรื่องเจ้าหมาป่าเถื่อน จะทำร้ายลูกตัวเอง กลับไม่วิตกเสียนี่

ถึงตอนนี้มาเตโอตัดสินใจว่าต้องปรึกษา อันโตนิโอ รามิเรซ เพื่อนซี้ร่วมชั้นเรียน อันโตนิโอ ให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้มาก เขาบอกมาเตโอว่า

"กันไม่แปลกใจหรอกที่นายจะกังวลเรื่องนี้น่ะ หมาบางตัวก็กัดเด็ก ถึงตายเชียวนะ"

และเพราะอันโตนิโอเป็นคนคิดอะไรฉับไว ในวันเดียวกันนั้นเอง เมื่อถึงชั่วโมงความรู้ เกี่ยวกับ สภาพแวดล้อม เขาจึงถามครูผู้สอนทันที

"คุณครูครับ มาเตโอเล่าว่า แถวบ้านเขามี หมาบ้าอยู่ตัวหนึ่ง จริงมั้ยครับครู ที่หมาจะเป็นบ้าได้"

ก่อนที่ครูจะทันได้ตอบคำถาม พวกเด็กๆ ต่างแย่งกันออกความเห็นให้แซ่ด ฝ่ายที่มีหมา และรักหมา ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของมนุษย์ แต่อีกพวก กลับไม่เห็นด้วย และยกตัวอย่าง กรณีหมานิสัยไม่ดี ที่กัดไม่เลือก ขอเพียงให้อยู่ ตรงหน้ามัน เท่านั้นแหละ

"เอาล่ะๆ เราจะมาว่ากันทีละเรื่อง" คุณครูพยายามรักษาระเบียบในชั้นเรียน

"ในเรื่องของสุนัขนั้นเราต้องระมัดระวัง เจ้าพวก ที่ถูกฝึกมาดีแล้วจะไม่มีปัญหา แต่บางครั้ง เจ้าของ ก็เกิดเบื่อพวกมัน จึงละเลยหรือไม่ให้อาหาร ดังนั้น เจ้าสัตว์ที่น่าสงสาร จึงต้องล่า สัตว์อื่น เพื่อยังชีพ และก็มีบ้าง ที่เจ้าของบางราย ฝึกให้มันดุร้าย เพื่อช่วยอารักขาพวกเขา ตรงนี้แหละ ที่อาจจะเกิดอันตรายได้

"หมายความว่า...ถึงแม้จะถูกฝึกมาดี มันก็อาจจะเป็นบ้าได้ใช่มั้ยครับ" อันโตนิโอ รามิเรซ ถามย้ำ

"ยากมากเลยล่ะจ้ะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้" คุณครูสรุป

ฟังแล้ว มาเตโอจึงยังหวาดวิตกต่อไป จริงๆ แล้ว เขากลัวมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะฆาซินต้า เพื่อนบ้าน ที่เรียนชั้นเดียวกัน และเป็นเพื่อนสนิทมากคนหนึ่งของ มาเตโอ พูดกับเขา ท้ายชั่วโมงว่า

"ฉันรู้แล้วล่ะว่านายพูดถึงหมาของใคร มันเป็นหมาพันธุ์ซเนาเซอร์สีดำ ป้าบอกว่า มันหนี ออกมาล่าแมว ตอนกลางคืนด้วยล่ะ

"ล่าเพื่อจะกินน่ะเหรอ" มาเตโอถามเสียงสั่น อย่างไม่อาจข่ม ความกลัวไว้ได้

"คงงั้นมั้ง" เด็กหญิงตอบ

ก็ถ้ากลางคืนมันหนีได้ กลางวันมันก็คงออกมาได้เหมือนกันน่ะสิ' " มาเตโอให้เหตุผล

"คงงั้นมั้ง" ฆาซินต้าตอบย้ำคำเดิม เนื่องจากบ้านของเธอ อยู่ห่างจากบ้าน ของเจ้าตัวร้ายนั่น

"นี่เธอพูดอย่างอื่นไม่เป็นบ้างหรือไง" มาเตโอชักโมโหที่เด็กหญิงไม่มีทีท่า เป็นห่วง เป็นใย เขาเลย

แต่อันโตนิโอซึ่งป็นคนช่างคิดแนะนำเขาว่า

"สิ่งที่นายต้องทำคือ หาไม้ดีๆ สักอันไว้ขู่มัน เวลาเราไปดูละครสัตว์ ผู้ฝึกจะมีแท่งเหล็กยาว ๆ ที่ใช้ปราบได้ กระทั่งสิงโต เราต้องสั่งสอนมัน แล้วเจ้าพวกนั้น จะกลัวหงอเลยล่ะ

มาเตโอ 'ปิ๊ง' คำแนะนำนี้ และตัดสินใจที่จะทำตาม แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดปัญหา ใหม่ขึ้น

ในชั่วโมงแรกของตอนบ่าย ครูใหญ่เดินเข้ามาในชั้นเรียนพร้อมจูงมือ เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มาด้วย ครูใหญ่ซึ่งเป็นคนเคร่งขรึม เอาการเอางาน ทว่าขณะนั้น กลับมีท่าทีผ่อนคลาย อ่อนโยน กับเด็กคนนั้นมาก นับเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย

"นี่เด็กๆ มีนักเรียนหญิงมาใหม่คนหนึ่ง ครูอยากให้พวกเธอช่วยดูแลเพื่อนใหม่ให้ดีๆ ล่ะ"

ที่โรงเรียน ครูคือผู้ต้องคอยดูแลนักเรียน ดังนั้นเด็กๆ จึงรู้สึกประหลาดใจมาก ที่ครูใหญ่ ขอให้ พวกเขาดูแลเด็กหญิง ท่าทางแปลกๆ คนนั้น ที่ว่าแปลก ก็คือแม้อากาศ จะไม่หนาวเลย แต่เธอก็ยังสวม เสื้อหนาว ค่อนข้างหนา แถมสวมหมวกด้วย

"มาดูกันว่าเราจะให้ อานา เอเชเบรเรีย นั่งตรงไหนดี อ้อ! ครูอยากให้พวกเธอรู้ว่า เด็กผู้หญิง ที่น่ารักคนนี้ชื่อ อานา เอเชเบรเรีย" ครูใหญ่พูดต่อ

ที่เขาพูดไปนั้น ทำให้เด็กๆ ประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะดูๆ แล้วไม่เห็นว่า เด็กหญิงคนนั้น จะน่ารักตรงไหน หรือบางทีเธออาจจะน่ารัก แต่ก็ดูไม่ออก เพราะหัวเอียงๆ กับเจ้าหมวก ที่หลุบลงมา เกือบถึงปลายจมูก ทำให้ไม่รู้ว่า หน้าตาเธอเป็นอย่างไร ใบหน้าที่เห็นได้ เพียงนิดเดียว ดูซีดเชียว และไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย

ครูใหญ่ซึ่งยังคงจับมือเด็กหญิงอยู่ มองกวาดไปรอบๆ ห้องเพื่อหาที่เหมาะๆ ให้เธอนั่ง และแล้ว สายตาของเขา ก็หยุดลงที่ มาเตโอ ชาเมโร

"เออแน่ะ !" ครูใหญ่อุทานอย่างรื่นเริงระคนประหลาดใจ "เรามีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่งข้างๆ มาเตโอ ผู้ยิ่งใหญ่"

แน่นอนอยู่แล้วที่โต๊ะนักเรียนจะมีสองที่นั่ง แต่เพราะความอ้วนของเด็กชาย มาเตโอ จึงนั่ง คนเดียว มาตลอด

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ครูใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่สุด "อานาจะมีความสุขที่ได้นั่งข้างๆ มาเตโอ ซึ่งเหมือนกับ คนอ้วนทั่วๆ ไปที่มักจะรักสงบและเป็นคนดี

มาเตโอยังไม่หายตกใจ เนื่องจากเขาไม่ใช่พวกที่เรียนเก่ง ครูใหญ่จึงไม่มีโอกาส พูดอะไรดีๆ ในทำนองชื่นชม กับเขามากนัก ดังนั้น เขาจึงมีสีหน้าประหลาดใจ แล้วครูใหญ่ ซึ่งกำลัง กึ่งลังเล กึ่งเกรงใจ ก็พูดกับเด็กชาย เชิงออกตัวว่า

"มาเตโอ หนูคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ครูว่าอ้วนน่ะ

"ผมน่ะไม่ว่าหรอกครับ" เด็กชายตอบ "แต่ถ้าเป็นแม่ผมล่ะก็ เป็นเรื่องแน่เลยครับ"

"หนูว่าไงนะ" ครูใหญ่รู้สึกแปลกใจ

"ว่า...แม่ผมสิครับ ที่กังวลมากว่าผมอ้วน และที่ว่า... เอ้อ...แม่ก็อ้วนเหมือนกัน"

ครูใหญ่ซึ่งคงจะถูกอกถูกใจ จึงปล่อยก๊ากออกมา คราวนี้เป็นการหัวเราะจริงๆ เลยพลอย ทำให้เด็กๆ ในชั้นหัวเราะ คิกคักตามไปด้วย มาเตโอ ไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาชอบพูดตลก ให้เพื่อนๆ หัวเราะอยู่แล้ว

สิ่งที่แย่ก็คือ เมื่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น มาเตโอ ก็พบว่า แม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

"นี่ลูกคิดยังไง ถึงได้เที่ยวป่าวประกาศ ให้ใครต่อใครรู้ว่า แม่อ้วนฮึ !"

ในตอนแรก มาเตโอยังไม่เข้าใจ จนมานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในชั้นเรียน

"ผมก็พูดแต่ในห้องเรียนเท่านั้นนี่ฮะแม่" เด็กชายแก้ตัว

"แล้วลูกว่ามันน้อยอยู่เรอะ" แม่ยิ่งทวีความโกรธ

"ไม่เห็นรึว่า แม่รู้จักบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนลูกทุกคน พวกลูกสาวน่ะ เอาไปเล่า ให้แม่ตัวเอง ฟังกันทั้งนั้น"

ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะย่านนั้นไม่ใหญ่โตอะไร เพื่อนบ้านแทบจะรู้จักกันหมด หากแต่มาเตโอ เป็นเด็ก ที่ไม่ค่อยกลัวแม่ จึงเถียงว่า

"ก็แล้วไอ้ความอ้วนนี่ มันไม่ดีตรงไหนฮะ ครูใหญ่ ยังแสดงความยินดีกับผมเลย วันนี้ เพราะผมอ้วน แถมยังบอกอีกว่า พวกคนอ้วนนี่ล่ะ ดีกว่าคนทั่วๆ ไป"

"งั้นก็ไปบอกครูใหญ่ด้วยว่า อย่าเที่ยวยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านเขา" แม่ตอบด้วยความ ไม่สบอารมณ์ เป็นอย่างยิ่ง

"ก็ได้ ก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะไปบอกครูใหญ่ให้" มาเตโอพูดอย่างสงบเสงี่ยม

แต่แม่กลับร้องเสียงหลงห้ามเขาไว้ ถึงตอนนี้พ่อ ซึ่งนั่งอยู่ด้วย ก็ปล่อยก๊าก อย่างสุดกลั้น ทำให้เด็กชาย ยืนยันกับตนเอง อีกครั้งว่า พวกผู้ใหญ่นี่ ช่างเข้าใจยากเสียจริงๆ เรื่องที่ ครูใหญ่ว่าดี แม่กลับว่าไม่ดี และเรื่องที่แม่วิตก ทุกข์ร้อนแทบตาย พ่อกลับ หัวเราะชอบใจ ยุ่งชะมัด !

ข้อดีของแม่ก็คือ แม่โกรธง่ายหายเร็ว ดังนั้น เมื่อกินอาหารเย็นพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แม่จึงถาม มาเตโอ ด้วยน้ำเสียงปกติว่า

"ทำไมถึงต้องพูดเรื่องความอ้วนของแม่ ในห้องเรียนด้วยล่ะจ๊ะ"

"คือว่า วันนี้มีเด็กผู้หญิงแปลกประหลาดมากมาใหม่คนหนึ่งฮะ เด็กคนนี้สิผอมจริงๆ แม่ต้องชอบแน่ๆ แล้วครูใหญ่ก็ให้มานั่งโต๊ะเดียวกับผม"

แม่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเป็นกังวล แล้วถามมาเตโอว่า

"เด็กคนนี้นามสกุล เอเชเบรเรีย หรือเปล่า"

"ใช่ฮะ แม่รู้จักด้วยเหรอ" มาเตโอ แปลกใจ

"เรารู้จักพ่อแม่เธอจ้ะ" พูดพลางพยักเพยิด ไปทางพ่อ "พ่อก็รู้ดีว่าใคร ลูกสาวของ เปโดร กับ ฆวนน่า ไง น่าสงสารจัง ยายหนูนั่น ไม่สบายมาก ต้องอยู่ โรงพยาบาล ตั้งปีกว่าแน่ะ"

"ผมว่าเธอยังป่วยอยู่นะฮะ" มาเตโออธิบาย "เห็นใส่ทั้งหมวก ทั้งเสื้อหนาว หนาบึ้ก ตลอดเวลาเลยฮะ ไม่ถอดเลย แม้ตอนอยู่ในห้องเรียน"

"อืมม์...เธอเป็นโรคเกี่ยวกับเลือดที่แย่เอามากๆ ต้องระวังรักษาสุขภาพ อย่างดีที่สุด ถ้าเกิดเป็นหวัด หรือ ติดเชื้ออะไรล่ะก็ จะเป็นอันตราย ต่อยายหนูอย่างยิ่ง"

พ่อยืนยันสิ่งที่แม่เล่าด้วยท่าทางขึงขัง และเพื่อเป็นการสรุป พ่อแนะนำมาเตโอว่า

"ลูกควรเริ่มดูแล เด็กผู้หญิงคนนั้นได้แล้วนะ"

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๓ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๕)