รักเถอะ.....รักให้รุ่ง
หลงรักคน ตนไม่ได้ดูแลตน
ตนย่ำแย่ย่อยยับ นับว่าไม่รักตน
เมื่อตนยังไม่รักตน คนใดเล่าเขาจะมารัก
จงรักตน เพราะเมื่อรักตน การดูแลตนก็เกิดขึ้น
และตนที่แข็งแรง ผ่อนคลายสบายใจ เป็นรากฐานความยิ่งใหญ่ยืนยง
เยี่ยงนี้นับว่ารักตนโดยแท้
เมื่อตนรักตน คนใดใครเห็นมีหรือจะไม่รัก
เพียงเป็นฝ่ายถูกรัก อกหักเสียใจไม่เกิดขึ้น
มอบเป็นกรรมฐานแด่นักรักฟุ่มเฟือยไปแล้ว
กระนั้นยังอยากบอกพี่น้องอีกมากหลาย
ด้วยสำนวนดังกล่าวเช่นกัน เพราะเห็นอยู่ บ่อยครั้งมนุษย์เราตกต่ำย่ำแย่
เพราะแขวนใจไว้กับใครอื่น ซึ่งบางทีเขาไม่รับรู้ใดๆ ด้วยเลย
แล้วตนก็หวั่นไหว น้อยใจ มากกังวล ไม่รู้แล้วไม่รู้เลิก...ประหลาดนัก!
ท่านเจ้าคุณปัญญานันทะเคยกล่าว มีแต่คนเขลาเท่านั้นที่ไปรักเสาซึ่งไม่มีใจให้
เห็นด้วยจริงๆ
แต่แม้ไปรักคนมีใจให้ ใครว่าไม่ทุกข์ ฟังสิ พระพุทธองค์ท่านตรัสบอกเราแล้ว...
บุคคลผู้มีรักร้อยย่อมทุกข์ร้อย
บุคคลผู้มีรักน้อยย่อมทุกข์น้อย
ส่วนบุคคลใดไร้รัก ทุกข์ภัยโศกเศร้าเสียใจย่อมไม่มีเพราะเหตุนี้
โดยจริงเป็นภาวะที่ประจักษ์กันได้อยู่ รักแล้วห่วงหวงหึง เรียกร้องต้องการร้อยแปดพันเก้า
กระทั่งว่าเขาต้องอยู่ในสายตา เขาต้องเอ่ยออกบอกกล่าวเราทุกเรื่อง
เขาต้องจงรักภักดีเพียงเรา เมื่อเรียกร้องมากปานนี้ คอไม่แหบแห้ง ใจไม่แล้งความสุขได้อย่างไร
รู้เถอะ นักรักสะบักสะบอมทั้งหลาย...
เพราะเขาไม่รู้ว่าเราใจกว้าง
เขาจึงไม่บอกเราทุกอย่าง
เพราะเขาไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ การบอกกันจึงไม่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรล้วนไม่สำคัญ จิตไม่ไหวหวั่นสำคัญกว่า
และแน่นอนต้องจากใจไร้อัตตา อัตนียา (ยึดถือเป็นเรา เป็นของของเรา)
อย่าเลย อย่าได้หลงยึดถือใครๆ แม้ใดๆ เป็นเรา เป็นของของเราเลย
มนุษย์เรานั้นโดดเดี่ยวนิรันดร์
ที่ว่ามีนั่นมีนี่ มีเขาคนนั้นคนนี้
เป็นเพียงอุปาทานบนลานใจเท่านั้นเอง ใจยึดย่อมมีอยู่ ใจปล่อยย่อมหมดไป...
นึกเถอะ ใครพกใดออกมาจากท้องมารดา ใครเกี่ยวก้อยกับใครมาสองคนแต่แรกเกิด
ส่วนใหญ่ไม่มี ที่มีเป็นเพียงคนโชคร้ายบางคู่ ซึ่งในที่สุดล้วนต้องแยกกันไป
ไปอย่างเจ็บปวด เปี่ยมรอยแผล มีบ้างปางตาย มีบ้างถึงตาย
เอาเถอะ หากยังไม่อิ่มในกรณีศึกษา ยังอดไม่ได้ที่จะรัก รักเถอะ
โดยผลักเบนพลังรักมารักรุ่งเรือง รักการงาน เยี่ยงนี้จะดีกว่า
เพราะเป็นรักที่ไม่ต้องขึ้นตรงต่อเขาคนนั้น ไม่เสียเวลาระหองระแหงกัน
และเราจะได้สัมผัสสุขจากการพัฒนาตน เห็นตนเก่ง เห็นตนเติบใหญ่มีความสามารถมากขึ้น
ยิ่งเรารักเกื้อกูล
รักมวลชน รักเยี่ยงนี้ยิ่งดีกว่า รักเยี่ยงนี้จะทำให้เราได้สัมผัสสุขใหม่
เป็นสุขที่กว้างขวาง อบอุ่น แช่มชื่น โปร่งใจ เป็นสุขจากการให้ ซ้ำยิ่งให้ยิ่งเป็นที่รักอีกด้วย
และหากเรารู้จักอุบายคลายใคร่ เราจะเป็นนักรักเวอร์ชันใหม่
คือรักแต่ไม่ใคร่ เมตตาจริงใจโดยไม่เรียกร้องต้องการ ซึ่งมนุษย์ควรรักกันเยี่ยงนี้
เพราะหากไม่ใช่เช่นนี้ เรียกว่ารักไม่เหมาะแล้ว เรียกอเวจีสีชมพูดูเหมาะกว่า.....
บัดนี้เทศกาลแห่งรักมาถึง
สำรวจรักในใจเรากันบ้างดีไหม รักมีระดับใด
และร่วมด้วยช่วยกันทำให้รักเป็นรักแท้ๆ ที่มีแต่ให้ มีแต่นำพากันไปสู่สูงส่งจะดีไหม
เพื่อรักและเบิกบาน ขอบอกพี่น้องผู้แหนงหน่ายทุกข์ระทมว่า...
แม้กับคนที่รักเรา
เรายังต้องตัดใจให้หลุดพ้น
เปลืองกล่าวไปไยถึงคนที่ไม่รักเรา ไม่รู้ค่าการให้จากใจเรา
เราไม่ได้เกิดมาเจ็บปวด ไม่ได้เกิดมาทำใครให้ตกต่ำ
ไม่ได้เกิดมาเพื่อแย่งชิงกากเดนกำหนัดของใครต่อใคร
และใครเล่าจะรักเราเท่าเรารักตัวเราเอง
เมื่อเรารักตัวเราเอง จงเพียรพัฒนาใจให้ถึงพร้อมด้วยเมตตา ปัญญา และบริสุทธิ์เถิด
เพราะเยี่ยงนี้ไม่มีเจ็บปวด ไม่มีน้อยใจไหวหวั่น
ซ้ำยังรุ่งเรืองในหลายๆ เรื่อง ทั้งมากคนรักอีกด้วย
ปรารถนาให้ใจทุกดวงหลุดพ้นจากฐานะขอทานต้องการรัก
และมากรักปักแน่นแก่นกมล
รักช่วยคน รักหลุดพ้น หรือบรรลุถึงสัจจะภาวะสูงสุดทุกใจ
ด้วยปรารถนาดีจาก.....
ส.ร้อยดาว เดือนรัก ปี ๔๖
(ดอกหญ้า
อันดับที่ ๑๐๕ มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)
|