บันทึก/น้ำค้างหยดเดียว
ฉลองหนาว
ปีใหม่ผ่านไปแล้วอีกยี่สิบสี่วัน
คูณยี่สิบสี่ชั่วโมง เท่ากับห้าร้อยเจ็ดสิบหกชั่วโมง นี่ยังไม่คิดเป็นนาที
วินาทีนะ กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง รวมทั้งตัวมันเอง ด้วยประการฉะนี้
ปลายมกรา ท้องฟ้าแจ่มใส ไปฉลองหนาวกับมิตรสหายบนยอดดอยแพงค่าที่เชียงใหม่
ขณะอุณหภูมิ ลดลงเหลือ ๔-๕ องศาเซลเซียส หนาวเข้าไปถึงกระดูกทั้งที่มีเสื้อผ้าอาภรณ์อบอุ่น
ยามนอน แม้มีผ้านวมและถุงนอนก็ยังทรมานเหมือนนอนในตู้เย็น
สังขารช่างอ่อนแอเปราะบาง ต่อดินฟ้ าอากาศ และสิ่งแวดล้อม กระทบร้อนกระทบเย็นล้วน
เป็นเรื่อง ไปเสียทั้งสิ้น
เมื่อนอนไม่เป็นสุข จึงตัดใจลุกไปดู
ทะเลหมอก ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
พอยามดึกเหมือนดังจะดื่มกินได้
ทะเลหมอกงดงามราวภาพวาดของจิตรกรฝีมือเอก ปุยหมอกนุ่มขาวฟูกระจายเต็มอ้อมกอด
อันสลับซับซ้อน ของหุบเขา ห้วยน้ำดัง เหมือนความจริง เหมือนความฝันที่ไขว่คว้าแต่มิอาจจับต้องได้
ซ้ำยังพร้อมจะสลาย เมื่อปะทะแดดกล้า
'พอรุ่งรางก็จางหายไป
รู้แน่แก่ใจ ได้แต่ระทมชีวี'
ไหนยังจะสายลม แสงแดด ไอน้ำ และสรรพสิ่งที่สัมผัสได้แต่ไร้ตัวตนอีกเล่า
นึกถึงถ้อยคำเปรียบเปรย ของนักเขียนผู้คุ้นเคยที่ว่า 'ความรักก็เหมือนผี
ไม่เห็นตัว แต่รู้ว่ามีอยู่' แล้วก็ขำ และอยากต่อให้อีกว่า 'แม้ขณะที่คิดว่ามีอยู่
ก็อาจหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้' อีกเช่นกัน แถม 'หายแล้วหายเลย'
เสียด้วยสิ
นอกจากความรักก็ยังมีความชัง ความกลัว
ความวิตกกังวล และอีกสารพัดความรู้สึก ทั้งที่มีเหตุปัจจัย จากภายนอก
จากอุปาทาน และจากการเสกสรรปั้นแต่ง ขึ้นมาหลอกตัวเอง ที่ส่งผลต่อร่างกาย
และจิตใจ ถึงป่วยไข้ ซึมเศร้า หรือแรงกว่านั้นอาจถึงขั้นประสาทหลอนได้
อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งลวง
เหล่านี้ล้วนคือสิ่งที่ต้องแยกแยะ
ทำความเข้าใจจนล้างอวิชชาได้สิ้นเกลี้ยงในที่สุด ซึ่งยังไม่รู้ว่า
จะต้องใช้ เวลา อีกกี่ภพกี่ชาติ แม้ครูบาอาจารย์จะพร่ำสอนให้รู้ ให้ล้าง
ให้ปลงภาระเก่า และไม่สร้างภาระใหม่ก็ตาม
จากทะเลหมอกถึงทะเลดาว
ฟ้าข้างแรมบนยอดดอย หมู่ดาวทอแสงแข่งกันระยิบระยับชนิดที่คนกรุงไม่มีโอกาสได้เห็น
ใครบางคน พ้อว่า "ดาวเต็มฟ้า แต่ทำไมไม่มีดาวเป็นของเราสักดวง"
นั่นคือมุมมองของคน ที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และ ไม่มีใคร ซึ่งอันที่จริง
แผ่นฟ้า ผืนดิน สายน้ำ ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โลก และ มหาจักรวาล
ล้วนเป็น หนึ่งเดียว กับเรา ตราบที่เราไม่คิด จะครอบครองสิ่งใดเลย
ใช่ ! บางคนอาจเป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สมบัติมหาศาล
แต่เมื่อถึงวันที่ต้องคืนลมหายใจ ให้ธรรมชาติ เขาก็ไม่อาจ เอาอะไ รไปได้เลย
สักละอองธุลี เมื่อเป็นเช่นนี้ การดิ้นรน ไขว่คว้า แย่งชิงสิ่งใด หรือใครไว้
จะมีแก่นสาร อันใดต่อชีวิตบ้างเล่า นอกจากร้อนอกร้อนใจ เพราะต้องหอบหวง
รักษาไว้สุดชีวิต เหน็ดเหนื่อย และ สูญเปล่า
มุนีเอย...เจ้าจะเอาชนะใจคนไปไย
เอาชนะให้ได้อะไรขึ้นมา
ช่วงเวลาที่สง่างาม
ณ วันนี้ ชีวิตมิใช่ความฝันอีกต่อไป
ฤดูกาลที่หมุนเวียนมาหยอกเย้า ทิ้งริ้วรอยต่างๆ ไว้บนผิวหนัง ย้อมเส้นผมเป็นสีเงินโดยไม่ต้องเสียเงิน
กาลเวลาคือเพื่อนผู้ให้ประสบการณ์ตรง ทั้งดีใจ เสียใจ ตื่นเต้นและอ่อนล้ากับความรัก
ความชัง ความหลัง และ ความหวัง ปลอบใจยามทุกข์ร้อน รวมถึงสอนให้รู้เท่าทัน
ทุกความแปรเปลี่ยน ที่แวะเวียน เข้ามาทักทาย
คุณค่าของชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน
มิใช่ไม่ร้อนไม่หนาว แต่สงบใจได้ในทุกสถานการณ์
ความคิดตกผลึก ความฝันตกตะกอน เช่นเดียวกับบาดแผลชีวิตที่ตกสะเก็ดหลุดร่อนไป
ไม่หวัง ไม่ฝัน ไม่ไขว่คว้า แต่อยู่อย่างเข้าใจความจริง และทำทุกวันที่เหลืออยู่นี้ให้ดีที่สุด
(ดอกหญ้า
อันดับที่ ๑๐๕ มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)
|