แม่กุ้งแห้งกับพ่อตุ้ยนุ้ย ตอน ๓



นับแต่วันนั้น มาเตโอก็เริ่มฉงนใจ ถ้าจะว่าไปแล้ว เขาชอบที่จะอยู่กับเด็กหญิงเพื่อนใหม่ ด้วยว่าเธอมัก มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาเล่าให้เขาฟัง แต่ในขณะเดียวกัน ก็อดกลัวที่จะนั่งข้างๆ คนที่อาจจะตายวัน ตายพรุ่งไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันพุธเขาจะรู้สึกแย่มาก เมื่ออานากลับมาตอนกลางวัน มาเตโอ จะคอยดู อย่างเอาใจใส่ ว่าเธอร้องไห้มาหรือเปล่า บางครั้งเขาก็ถามว่า

"เธอเจ็บมากมั้ย"

"นิดหน่อย แต่หลังจากนั้นแม่ก็ให้ฉันกินแพนเค้กราดครีมซึ่งเป็นขนมอย่างเดียวที่ฉันชอบ"

"แหม ! เธอโชคดีจัง" มาเตโอว่า ส่วนหนึ่งเขาพูดเพื่อให้กำลังใจอานา แต่อีกส่วนน่ะ พูดจากใจจริงทีเดียว "ฉันน่ะไม่มีโอกาส ได้กินขนมหวาน กับเขาหรอก แม่ว่าฉันอ้วนมาก แทบจะไม่อนุญาต ให้ฉันกินอะไรเลย ไอ้เรารึ ก็หิวอยู่ตลอดเวลา แย่ชะมัดเลย"

"ฉันสิไม่เคยรู้สึกหิวเลย" เด็กหญิงตอบ "และเขาก็ชอบบังคับ ให้ฉันกินอยู่เรื่อย นี่ต่างหากแย่จริงๆ"
'เรื่องแย่ๆ' ของทั้งสอง แม้จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ทว่ากลับทำให้มิตรภาพ ระหว่างมาเตโอ และ อานา กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ตั้งแต่นั้นมา ช่วงหยุดพัก อานาจะล้วงขนม ไส้ครีมอันใหญ่ออกจากกระเป๋านักเรียน ที่แสนมหัศจรรย์ ยื่นให้มาเตโอ เด็กชายดีใจกับเรื่องวิเศษนี้ยิ่งนัก จนรู้ไปถึงหูฆาซินต้าเข้า

"ไอ้หมูอ้วน" ฆาซินต้าตำหนิมาเตโออย่างโกรธๆ "นายไม่น่าไปแย่งขนมอานากินเลย"

"ก็อานาเขาไม่อยากกินนี่ เขาว่า เขาไม่เคยรู้สึกหิวเลย" มาเตโอแก้ตัว

"หิวไม่หิว อานาก็ต้องกิน นายไม่เห็นเหรอว่า ถ้าอานาไม่พยายามกินอะไรล่ะก็ ไม่มีทางหาย จากโรค ได้หรอก"

มาเตโอรู้สึกเสียใจเพราะนับแล้วเขากินขนม ของอานาไปถึง ๑๕ วัน เพียงแค่คิดว่า อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น กับอานา เพราะความเห็นแก่กินของเขา ก็ทำให้หายอยาก ไปเลยทีเดียว บ่ายวันนั้น มาเตโอ บอกอานา อย่างเคืองๆ ว่า

"เธอต้องกินขนมให้หมด อย่าให้เหลือเศษแม้แต่นิดเดียวนะ"

เด็กหญิงน้ำตาคลอ แต่ก็เริ่มพยายามกินขนมช้าๆ ขนมซึ่งเมื่ออานากัดแล้วได้กลายเป็น ก้อนกลมๆ อยู่ในปาก ราวกับว่า เธอกลืนไม่ลง มาเตโอรู้สึก เหมือนมีก้อนสะอื้น จุกอยู่ที่คอ เขาคิดว่า การไม่อยาก กินอะไรนี่ แย่กว่าการหิว จนตาลาย อย่างที่เขารู้สึกเป็นไหนๆ

วันรุ่งขึ้น อานาไม่มาโรงเรียน และมาเตโอก็กระวนกระวายใจมาก จนกระทั่งฆาซินต้าอธิบายว่า

ที่อานาไม่มาเพราะอากาศหนาวมาก และเธออาจจะเป็นหวัดได้

เวลาผ่านไปสามวัน จนถึงวันที่สี่ พระอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้า อานาจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และเกิดเรื่อง ที่น่าแปลกใจ ขึ้นสองเรื่อง

เรื่องแรก ตอนช่วงพัก อานาเปิดกระเป๋านักเรียน ที่แสนจะเป็นระเบียบ แอบยิ้ม อย่างมีเลศนัย พร้อมกับหยิบ ขนมออกมาสองชิ้น

"เอ้า! คนละอัน" เด็กหญิงบอกพลางยื่นขนมให้มาเตโอ

"ไม่เอาหรอก" เด็กชายกลัวฆาซินต้าจะรู้เข้าแล้วมาดุเขาอีก

"อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย" เด็กหญิงว่า นับเป็นเรื่องแปลกที่บางครั้งเธอก็พูดอะไร ที่ไม่ค่อยจะน่าฟัง ไม่เห็น หรือไงว่า ที่บ้านน่ะ ฉันอยากกินอะไร ก็ได้กินทุกอย่าง ก็ถ้าขนมอันนึง ยังกินไม่หมด แล้วฉันจะมีปัญญา กินเข้าไปได้ไง ตั้งสองอัน"

มาเตโอรู้สึกว่าฟังดูมีเหตุผลดี อีกอย่างขนม ไส้ครีมก็แสนอร่อย เขาจึงวางมาด เหมือนผู้ใหญ่ พูดเป็นการ เป็นงานว่า

"ก็ได้ ฉันจะกินอันนึง แต่เธอต้องสัญญานะว่า เธอจะกินอีกอัน"

"ตกลง" อีกฝ่ายรับคำ

และนับแต่บ่ายวันนั้น ทั้งสองก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ถือขนมคนละอัน ถ้าจะกินให้อร่อย อย่างใจล่ะก็ มาเตโอ กัดขนมคำโตๆ แค่สองสามครั้ง ก็หมดแล้ว แต่เขาจะค่อยๆ ละเลียดกิน เป็นเพื่อนอานา และ หากเธอทำท่า จะกินไม่ลง มาเตโอ ก็ขู่ว่า จะไม่ยอมกินเช่นกัน

"โชคดีจริงนะเพื่อน" ฆาซินต้าพูดกระทบกระเทียบเมื่อรู้เข้า

"ฉันจะบอกให้นะ" มาเตโอชี้แจง "ฉันพยายามกินเพื่อว่า อานาก็จะได้กินของเขาเหมือนกัน"

"เชอะ ! หน้าไม่อายจริงๆ เลยนายน่ะ" ฆาซินต้า หัวเราะ

เรื่องที่สองที่น่าแปลกใจก็คือ อานาขอให้เขาอธิบายบทเรียนในวันที่เธอไม่ได้มา แต่เนื่องจาก มาเตโอ เรียนแค่พอใช้ได้ เขาจึงจำอะไรๆ ไม่ได้มาก แถมยังไม่ค่อยดีเสียด้วย ดังนั้น คนที่แปลกใจ จึงกลายเป็นอานา

"เธอก็มาโรงเรียนทุกวัน ทำไมถึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลยล่ะ สงสัยจะโง่มากเลยเธอน่ะ"

แม้ว่ามาเตโอจะคุ้นเคยรู้จักนิสัยใจคออานาดี แต่ครั้งนี้ เขาอดเคืองไม่ได้ และแย้งว่า

"ใครว่า! ก็แค่ฉันไม่สนใจ และไม่ชอบโรงเรียน ก็เท่านั้นแหละ"

"เธอไม่ชอบโรงเรียนเหรอ" เด็กหญิงถามอย่างพิศวง "ฉันสิชอบโรงเรียนที่สุดเลย"

"แน่ล่ะสิ ! ก็เธอเล่นมาไม่กี่วันเท่านั้นนี่นา" มาเตโอโต้

"แล้วเธอคิดว่าฉันไม่อยากมาโรงเรียนทุกวันงั้นสิ" อานาโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด จนมาเตโอฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ นับแต่วันนั้นมา หากอานาขาดเรียน มาเตโอ จะพยายามตั้งใจฟังครูสอน เพื่อจะได้ไม่ถูก เด็กหญิงว่าโง่อีก

อย่างไรก็ตาม อานายังคงรบเร้าให้เขาไปสืบว่าเจ้าตัวร้ายนั่นชื่ออะไร แต่ดูจะไม่เป็นผล เพราะเจ้าของมัน คือชายชราลึกลับ ที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก

"น่าเสียดายจัง!" อานาครวญ "นี่ถ้าเธอรู้จักชื่อแล้วเรียกมัน รับรองว่า มันจะหยุดเห่าทันที"

อานาเป็นคนรักสัตว์มากโดยเฉพาะหมาและแมว แม้กระทั่งจิ้งจกที่ออกมาผึ่งแดด ในสนามของโรงเรียน เธอก็ยังสนใจเลย แต่น่าเสียดายว่า เธอไม่ได้รับอนุญาต ให้เลี้ยง หรือแม้แต่เข้าใกล้ สัตว์ต่างๆ เพราะมันอาจ นำเชื้อโรค มาติดเธอได้

"พ่อสัญญาว่า ถ้าฉันหายดีพ่อจะให้หมาเป็นของขวัญตัวหนึ่ง นี่ล่ะเป็นสิ่งที่ฉันอยากได้จริงๆ เลย"

เธอพูดเหมือนกับว่าที่อยากหายป่วยนั้นก็เพียงเพื่อจะได้เป็นเจ้าของหมา กับเขาสักตัว ในทางกลับกัน มาเตโอ ไม่มีหมา และไม่เคยอยากได้เลย สักตัวเดียว

เป็นปีแรกที่มาเตโอรู้สึกถึงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ เขาตั้งตาคอยฤดูร้อน ด้วยใจจดจ่อ เพราะจะได้ หยุดเทอม และไปชายทะเล นอกนั้นเขาไม่สนใจเลยว่า ฝนจะตก แดดจะออก จะเป็นฤดูหนาว หรือฤดู ใบไม้ร่วง

แต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมในปีนั้น วันหนึ่งอานาก็ปรากฏตัวขึ้นโดยปราศจาก เสื้อหนาว เธอสวมชุด แสนสวย ตามที่บรรดาเด็กผู้หญิงชื่นชม ดูงดงาม น่ารักมาก หมวกที่สวม ก็มีขนาดเล็กลง และทำด้วยผ้าเนื้อ ไม่หนานัก แตกต่างไปจากทุกวัน ตรงหน้าผาก มีปอยผมบางๆ ระลงมา ราวกับว่า ผมของเธอ กำลังขึ้นใหม่ อย่างนั้นแหละ ในวันนั้น มาเตโอ จึงได้รู้ว่า อานามีผมสีทอง ครูใหญ่ อาจจะพูดถูก ที่เคยบอกว่า อานาเป็นเด็กน่ารัก !

"ฉันเกลียดมัน" อานาพูดกับมาเตโอ หน้าแดงเล็กน้อยเมื่อตอนเพื่อนๆ ชมว่าเธอสวย

"เธอเกลียดอะไร"

"เสื้อหนาวไง ฉันดูแย่จะตายเวลาต้องใส่มัน เธอหยุดคิด ก่อนจะพูดต่อ ด้วยท่าทีเคลิ้มฝัน "ฤดูใบไม้ผลินี่ วิเศษจริงๆ เธอชอบมั้ย"

"ก็ไม่เลว แล้วแต่นะ" มาเตโอพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จริงจังอะไร

อานาจึงเริ่มพรรณนาถึงความหลากหลายของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ในฤดูใบไม้ผลิ อันเกี่ยวข้องกับนก ดอกไม้ ใบหญ้า ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มาเตโอรู้สึกอาย ที่จะสารภาพว่า เขาไม่เคยสังเกตเห็น สิ่งที่อานา เล่ามาก่อนเลย

"ตอนฉันอยู่โรงพยาบาลในห้องเล็กๆ ที่หันหน้าไปทางถนนมืดๆ ฉันฝันถึงแต่ฤดูใบไม้ผลิ หมอยังบอกอีกว่า ถ้าฉันกินอาหารได้มาก และกินยา ตามที่สั่งแล้วล่ะก็ พอถึงฤดูใบไม้ผลิ ฉันอาจจะได้ไปโรงเรียน และเล่น กลางแจ้งได้"

"อยู่ในโรงพยาบาลนี่มันแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ" มาเตโอถามอย่างสนใจ อดจะชื่นชม กับความรู้สึก อันละเอียดอ่อน ของอานามิได้

"เอ่อ..." เธอหยุดคิดดวงตาเป็นประกายแล้วกล่าวต่อ

"แต่หมอของฉันน่ะชั้นหนึ่งเลย โตขึ้นฉันก็จะเป็นหมอเหมือนกัน"

"จริงเหรอ ถ้างั้นเธอก็ต้องอยู่โรงพยาบาลไปตลอดชีวิตเลยสิ"

"ก็จะเป็นไรไป ฉันว่าการเป็นหมอนี่วิเศษที่สุดในโลกเลยล่ะ"

"แต่ถ้าจะเป็นหมอ เธอก็ต้องเรียนหนักมากเลยนะ"

"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้าจะต้องเรียนหนักน่ะ"

ซึ่งก็จริงเพราะในชั้นเรียน อานาจะตั้งอกตั้งใจฟังครูและเข้าใจที่ครูสอนทุกเรื่อง

"กันไม่เข้าใจเลยว่า นายกับอานาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ไง ในเมื่อนายกับเธอ ไม่มีอะไร เหมือนกันเลย" อันโตนิโอ พูดขึ้นในวันหนึ่ง

"ก็จริง" มาเตโอยอมรับ "อานาเป็นคนแปลกๆ นายคิดดูสิ สิ่งที่อานาชอบมากที่สุด คือโรงเรียน สัตว์ต่างๆ ดอกไม้ อะไรทำนองนี้แหละ"

"ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่แปลก" ฆาซินต้า ผู้ซึ่งเข้าข้างอานาเสมอแย้งขึ้น

"เรื่องของเรื่องก็คือ" อันโตนิโอสรุปอย่างตรึกตรอง

"หลังจากที่ต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลทั้งปี อานาเลยรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนอกโรงพยาบาลน่ะ ดีวิเศษ ไปหมด แม้กระทั่งโรงเรียน"

แล้วฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนทุกคน แต่สำหรับแม่ของมาเตโอนับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ที่พิเศษกว่าใคร เพราะเธอ สามารถ ลดน้ำหนักได้ถึง ๑๕ กิโลกรัม

ความจริงก็คือ เธอผอมลงไปเยอะเลย ทำให้ดูสาวและสวยขึ้นผิดตา ดูก็รู้ว่าเธอภูมิใจ ในผลงาน ชิ้นโบว์แดงนี้มาก

"ต้องฉลองกันหน่อยล่ะ" เธอตัดสินใจในวันที่เข็มตาชั่งแจ้งข่าวดี เธอปรายตาดูสามีและลูกชาย พูดเปรยๆ ขึ้นว่า "แม่ไม่รู้ว่าทั้งพ่อและลูกจัดการกับตัวเองยังไง น้ำหนักถึงได้ลดแค่นิดเดียว" มาเตโอ กับพ่อ ตีหน้าตาย เพื่อที่แม่จะได้ไม่รู้ความลับ ก็เพราะแม่เป็นกังวล อยู่แต่เรื่องความอ้วน นี่แหละ เด็กชาย จึงได้รู้ว่า การมีความลับ ร่วมกับพ่อ เป็นเรื่องที่สนุกพิลึก

จากวันจันทร์ถึงศุกร์เขาได้กินขนมที่อานาเอามาฝาก ก็พอจะลืมเจ้าความหิว ไปได้บ้าง แต่พอถึงวันเสาร์ และอาทิตย์ เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้อง แอบไปที่ร้านขนมเค้ก ในละแวกนั้นต่อ หลังจาก กินอาหารว่าง ของแม่ ซึ่งมักจะมีแค่ชา กับขนมปังกรอบ สองสามแผ่นเท่านั้น

บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง มาเตโอบังเอิญไปจ๊ะเอ๋กับพ่อ ซึ่งแอบไปปฏิบัติการลับเฉพาะ เช่นเดียวกับเขา ด้วยการกิน ขนมไส้ครีม อันเบ้อเริ่ม ในบรรดาขนม ที่มีขนาดใหญ่พิเศษ อยู่พอดี มาเตโอ อ้าปากหวอ ส่วน พ่อก็หน้าแดง จรดใบหู จากนั้นทั้งคู่ ก็ระเบิดเสียง หัวเราะดังลั่น

"พ่อก็ด้วยเหรอ" มาเตโอพูดอย่างเป็นต่อ ดีใจที่จับผิดพ่อได้

"ก็เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นแหละน่า"

"แน่ล่ะฮะ วันธรรมดาพ่อก็กินเสียอิ่มแปล้จากที่ทำงานแล้ว"

"นี่ๆ ให้มันรู้มั่งว่าฉันน่ะพ่อแกนะเว้ย" หัวหน้าหน่วยดับเพลิงทำเสียงดุ

แต่แล้วพ่อก็ชวนมาเตโอกินขนมอีกอัน และทำสัญญาลูกผู้ชายระหว่างกันว่าจะปิดเป็นความลับ สุดยอด ไม่ให้แม่รู้

"พ่อว่าก็อย่าให้มันเกินไปนัก แม่เขาก็มีเหตุผลอยู่หรอก เราสองคนกินกันเยอะไป ถึงต้อง ลดความอ้วน"

จากนั้นมา สองคนพ่อลูกก็มักจะมีเรื่องกระซิบกระซาบกันบ่อยๆ และในบางครั้ง เมื่อแม่เข้มงวด ให้ทุกคน กินแต่ผัก เพียงอย่างเดียว พ่อก็แอบเอาช็อกโกแลตหรือขนมอื่นที่คล้ายๆ กันให้มาเตโอกิน

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็ลดน้ำหนักลงได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ แม่จึงตัดสินใจ ประกาศว่า จะต้อง มีการฉลอง กันหน่อย

(อ่านต่อฉบับหน้า)


เขียนโดยโฆเซ่ หลุยส โอไลยโซล่า
แปลจากภาษาสเปน โดยรัศมี กฤษณมิษ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : ๒๕๔๔
ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบท ราคาเล่มละ ๕๐ บาท (ไม่รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่
ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐ ถ.นวมินทร์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร. ๐-๒๓๗๕-๔๕๐๖
สั่งจ่าย ปท.คลองกุ่ม

(ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๕ มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)