แม่กุ้งแห้ง กับ พ่อตุ้ยนุ้ย ตอน ๔

"เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไปเลย" พ่อว่า "เราไปฉลองใหญ่กิน 'ปาเอญ่า'1 กันที่ภัตตาคารชั้นนำ ดีกว่า"

"อย่าหวังไปเลยจ้ะ ไอ้อาหารประเภทที่ทำให้อ้วนน่ะ" แม่ค้าน "กว่าเราจะลดความอ้วนกันได้ก็แทบตาย แม่ว่าจะให้ ของขวัญดีๆ พ่อกับลูกคนละชิ้น จากเงินที่แม่เก็บออมไว้ ว่าแต่ว่าพ่อลูกคู่นี้ต้องการอะไรกันล่ะ"

มาเตโอคิด แล้วไปถามความเห็นเพื่อนๆ อันโตนิโอแนะนำว่า

"ไม่ต้องคิดนานเลยเพื่อน ก็เต็นท์ไงล่ะ" เพราะการไปสร้างกระท่อมแถวๆ โรงเรียนในฤดูใบไม้ผลินั้น เป็นเรื่อง ยอดนิยมมาก ข้อดีของบริเวณ ซึ่งอยู่แถบชานเมืองคือ นอกจาก จะไม่ค่อยมี สิ่งปลูกสร้างแล้ว ยังอุดม ไปด้วยต้นไม้ ที่เหมาะ จะสร้างกระท่อมจากไม้ ผ้า หรือ กระดาษแข็งหนาๆ

"แต่เต็นท์น่ะยอดกว่าอีก ตอนกลางคืนเราเข้าไปนอนในนั้นได้" อันโตนิโอยืนยันหนักแน่น แล้วหน้าร้อน เวลาเดินทาง เราก็เอาเต็นท์ ไปด้วยได้ "ว่าแต่พ่อแม่นาย จะซื้อให้แน่เหรอ"

แล้วพ่อกับแม่ก็ซื้อเต็นท์ให้เด็กชาย แม่บ่น กระปอดกระแปดว่าแพงไปหน่อย แต่ก็เป็นโอกาสเหมาะแล้ว

ในวันเสาร์นั้นเอง ด้วยความช่วยเหลือของอันโตนิโอ มาเตโอก็สามารถกางเต็นท์ในป่าละเมาะใกล้ โรงเรียนได้ ทั้งสอง ปลาบปลื้ม ในความสำเร็จยิ่งนัก อันโตนิโอ เอาเตาแก๊สมาด้วย พวกเขาทอดไส้กรอกกิน และรู้สึกเอร็ดอร่อย ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่วิเศษกว่านั้น คือ ฝนเริ่มตก ดังนั้น จึงสบโอกาส ที่พวกเขา จะได้พิสูจน์ว่า เต็นท์ใหม่นี้ ปลอดภัยแค่ไหน

เด็กชายรู้สึกว่าเต็นท์มีประโยชน์หลายอย่าง พวกเขาคิดจะสร้างเพิงไม้ ไว้เก็บจักรยานด้วย

"มันเข้าท่าดีกว่าบ้านเสียอีก" ทั้งสองสรุป "และที่สำคัญไม่ต้องมีพ่อแม่มาคอยวุ่นวายในเต็นท์ของเรา"

วันถัดมาซึ่งเป็นวันจันทร์ พอฆาซินต้ารู้เรื่องเข้าประโยคแรกที่เธอพูดคือ

"แย่มาก พวกนายเป็นเพื่อนประสาอะไร ไม่เห็นมีใครบอกฉันสักคำ"

"ก็แค่ลองดูเท่านั้นแหละ" มาเตโอออกตัว "วันเสาร์หน้าถึงจะเอาจริง จะมีที่เก็บจักรยานและทุกอย่าง พร้อมเลย แถมอาหารว่าง มื้อใหญ่ยักษ์สุดพิเศษ อีกต่างหาก"

อานาจ้องหน้าและฟังพวกเขาอย่างใจจดจ่อทุกคำพูด มาเตโอ บอก อานา อย่างมีน้ำใจว่า "ถ้าเธออยากไปร่วมสนุกกับพวกเราก็ได้นะ เต็นท์มีที่เหลือเฟือ เธออยากไปมั้ยล่ะ"

"มากที่สุดในโลกเลยล่ะ แต่พ่อกับแม่คงไม่ยอมหรอก"

เด็กๆ รู้ดีว่าอานาไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้เธอเหงื่อออก หรือ อาจเป็นหวัดได้ ดังนั้น จึงรู้สึก หมดสนุกไปพอแรง

"เอาเหอะ" ฆาซินต้าพูดให้กำลังใจ "ในเต็นท์ ก็ไม่เห็นจะต้องเหงื่อออกนี่ แล้วอากาศก็ไม่หนาว แล้วด้วย"

"ถ้าเป็นหลังมิถุนาก็ดีหรอก" อานาพึมพำเศร้าๆ

"หลังมิถุนาแล้วจะมีอะไรเหรอ" มาเตโอถาม

หลังมิถุนาแล้ว จะเกิดสิ่งที่แสนวิเศษคือ อานาไม่ต้องไปฉีดยา ที่เธอแสนจะเกลียด ทุกวันพุธ ที่โรงพยาบาล อีกแล้ว

"ยอดไปเลย" เพื่อนทั้งสามตะโกนขึ้น เกือบจะพร้อมกัน

"อีกอย่าง ผมเธอก็เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยใช่ไหม" มาเตโอ พูดให้กำลังใจอานา

"ก็ใช่ แต่นิดเดียวเอง" เด็กหญิงรับอายๆ

"ผมเธอสีทองด้วยล่ะ" เด็กชายยืนยัน

อานาพยักหน้ารับแก้เก้อ ด้วยการดึงหมวกต่ำ ลงมาจนถึงคิ้ว

"ถ้าเธอไม่ไป ฉันก็ไม่ไป" ฆาซินต้าพูดหนักแน่น

ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจว่าต้องไปพบพ่อแม่ของอานาเพื่อขออนุญาต

แม่บอกว่าไม่ได้ แต่พ่อว่าได้ ถึงขนาดทะเลาะกันต่อหน้าเด็กๆ

"ยายหนูไม่จำเป็นต้องอยู่แต่บ้านตลอดวันเพียงเพราะเรากลัวไปเสียทุกอย่าง" พ่อว่า

แล้วถ้าลูกเกิดเป็นหวัดหรือเกิดอะไรขึ้นล่ะ" แม่ครˆำครวญ

แล้วทำไมจะต้องเป็นหวัดด้วยล่ะ นี่ก็ไม่ใช่หน้าหนาวแล้ว อากาศหรือก็แสนจะดี" พ่อพยายามให้เหตุผล "นอกจากนั้น พ่อยังเชื่อว่า พวกเพื่อนๆ จะ ดูแลยายหนูเป็นอย่างดี จริงมั้ย"

ทั้งสามตอบรับ และฆาซินต้าซึ่งเป็นคนที่กล้าตัดสินใจ พูดแทนทุกคนว่า

"แค่แป๊บเดียวเองค่ะ ถ้าเห็นว่าอากาศเริ่มไม่ดีหรือฝนตก เราจะรีบพาอานากลับบ้าน"

แม่เลยยอมจำนน แต่ไม่วายมีเงื่อนไขสารพัด ซึ่งในจำนวนนั้นมีว่า ต้องไปในวันที่อากาศดีจริงๆ ห้ามถอด รองเท้า หมวก และอื่นๆ อีกมากมาย

พ่อเดินไปกับเด็กๆ จนถึงประตู ก่อนจะแยกจากกันพ่อพูดขึ้นว่า

"สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือให้อานาสนุก" เมื่อเด็กๆ ออกมายืนบนถนนแล้ว พ่อเสริมว่า "หนูไม่รู้หรอกว่า ลุงขอบใจ พวกหนูมาก ขนาดไหน ที่เป็นห่วงยายหนูของลุง พวกหนูเป็นเด็กน่ารักมาก"

เด็กๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะไม่ค่อยชินกับการที่พ่อแม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจกับเรื่องไร้สาระ แบบนี้ ถึงขนาด ต้องขอบอก ขอบใจพวกเขา

การเตรียมงานรื่นเริงวันเสาร์เป็นที่สนุกสนานยิ่งนักตลอดสัปดาห์นั้น อานาพูดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่เบื่อ ที่จะคอยถามว่า เราจะทำอะไรบ้าง จะกางเต็นท์กลางแจ้ง หรือใต้ร่มไม้ แถวนั้นมีแม่น้ำบ้าง หรือเปล่า ซึ่งคำถาม เหล่านี้ เป็นเรื่องที่มาเตโอ ไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อเทียบกับเรื่องอาหารว่าง มื้อใหญ่ยักษ์สุดพิเศษ ที่เขา คิดจะจัดขึ้น ดังนั้น เขาจึงพูดกับอานา เชิงออกคำสั่งกลายๆ ว่า

"ถ้าเธอจะไปกับเราล่ะก็ ต้องกินของอร่อยๆ ที่เราทำให้หมดนะ อย่ามาทำเป็นกินไม่ลง เหมือนที่แล้วๆ มา เข้าใจมั้ย"

"เข้าใจแล้วค่ะ หัวหน้า ฉันสัญญา" อานาตอบพลางยื่นหน้า ไปจูบข้างหู ของมาเตโอ

เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อ เพราะไม่เคยมีธรรมเนียม นี้ในหมู่พวกเขา มาเตโอจึงไปถามความเห็น เพื่อนทั้งสอง ถึงเรื่อง แปลกๆ ของอานา ฆาซินต้า เถียงเข้าข้าง อานา อย่างเคย

"คือว่า อานาคงดีใจจนแทบคลั่งน่ะ นายอย่าลืมสิว่านี่เป็นครั้งแรก ในรอบสองปี ที่อานาจะได้ทำอะไรพิเศษ นอกเหนือ จากการไปโรงเรียน หรือไปโรงพยาบาล ว่าแต่นายอย่าเผลอ ไปจูบอานาเข้าก็แล้วกัน" เธอกล่าวเสริม "เดี๋ยวจะเอาเชื้ออะไร ไปติดอานาเข้า"

ฆาซินต้าพูดอย่างนั้น เพราะมาเตโอไม่ค่อยสนใจ จะอาบน้ำนัก

"ไม่ต้องห่วง" เขาตอบด้วยท่าทางเหยียดๆ "ฉันจะจูบก็เฉพาะแม่เท่านั้น เวลาฉัน ไม่มีทางเลือกน่ะ"

ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง เพราะมาเตโอนับว่าเป็นเด็กที่นิสัยดีและอ่อนโยนคนหนึ่ง ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เขาเคยขู่ ฆ่าซินต้าว่า ถ้าเธอทำอะไรโง่ๆ ล่ะก็จะไม่ให้เข้าเต็นท์ แต่แล้วเขาก็ลืม ยิ่งไปกว่านั้น คืนนั้น เด็กชาย ยังอาบน้ำ โดยแม่ไม่ต้องบังคับ บางทีฆาซินต้า อาจพูดถูกก็ได้ ที่ว่าเขาอาจจะนำเชื้อโรค ไปติดอานาได้ เพราะเขา ไม่สะอาดพอ

วันศุกร์เริ่มขึ้นด้วยท้องฟ้ามืดครื้ม อานามาถึงโรงเรียนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ประโยคแรก ที่เธอพูดกับ มาเตโอ คือ

"สวดมนต์เข้านะ เพื่อพรุ่งนี้อากาศจะได้ดีๆ"

"เราสวดมนต์ขอให้อากาศดีได้ด้วยเหรอ" เด็กชายรู้สึกแปลกใจ

"ที่บ้านฉันสวดมนต์ขอทุกอย่างแหละ เอ้อ..." อานาอธิบายเสริม "ก็ตั้งแต่ฉันไม่สบายน่ะ"

"งั้นฉันอยากจะสวดมนต์ขอให้ผมเธอขึ้นเร็วๆ มากกว่า" เป็นคำพูดของเด็กชาย เพื่อตอบแทน ที่อานา จูบข้างหูเขา

อานาหัวเราะชอบใจ แล้วมาเตโอ ก็รีบเดินหนี กันไม่ให้อานามาจูบข้างหู อีกข้างของเขา

ไหนๆ ก็จะต้องสวดมนต์ มาเตโอจึงตัดสินใจว่าจะสวดภาวนาให้เจ้าตัวร้าย หายไปจากสายตา เขาด้วย เพราะใน วันศุกร์ นั้นเอง เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็แทบจะเป็นลม เมื่อพบชาย ท่าทางเป็นชาวต่างชาติ ยืนคุยกับแม่ ที่ประตู เขาเป็นเจ้าของ หมาตัวนั้น และ กำลังตามหามัน เพราะเจ้าตัวร้าย หนีออกจากบ้านไป

ความสัมพันธ์ระหว่างมาเตโอกับหมาตัวนั้น ไม่ได้ดีขึ้นเลย ที่ผ่านมา เด็กชาย พยายามย่องผ่าน หน้าบ้าน หลังนั้น อย่างเงียบกริบ ราวกับอินเดียนแดง เขาแทบจะคลานไป ตามพื้นดินก็ว่าได้ วันใดที่ทำให้ เจ้าตัวร้าย ไม่เห็นเขาได้ เด็กชาย จะมีความสุข กับวีรกรรม นี้ยิ่งนัก

แต่ถ้ามันเห็นเขาล่ะก็ สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าเดิมสักร้อยเท่า เจ้าตัวร้าย จะเห่าอย่างบ้าคลั่ง เสียงดัง จนมาเตโอ แก้วหูแทบแตก เรื่องมันถึงขนาดว่า มาเตโอ ขว้างก้อนหิน จากระยะห่าง ที่ตนคิดว่าปลอดภัย ใส่มัน มากกว่าหนึ่งครั้ง มีอยู่หน ที่เขาขว้างหินก้อนใหญ่ ไปโดนมันเข้าอย่างจัง จนมันร้องโหยหวน ด้วยความเจ็บปวด แล้วเผ่นลับไป จากสายตา

"ผมคิดว่า" ชายชาวต่างประเทศอธิบายให้แม่ฟัง "สุนัขของผม คงถูกขโมย เพราะมันเป็นสุนัขตระกูลดี มีระดับ ทีเดียวครับ"

แล้วเขาก็ขออนุญาตติดประกาศที่เสาไฟตรงข้าม บ้านมาเตโอ ความว่า
"สุนัขพันธุ์ดีชื่อ "ซอสก้า" หาย ผู้ใดพบ จะมีรางวัลสมนาคุณ"

"ในที่สุดก็ยังไม่สายเกินไป ที่ฉันจะได้รู้ชื่อเจ้า ตัวร้ายนั่น" คิดแล้วเด็กชาย ก็เริ่มสวดมนต์ อธิษฐาน ขอให้มีคน ขโมยสุนัข ของชายที่น่าสงสารนี้ไปจริงๆ และอย่าให้มัน กลับมาแถวนี้ได้อีก

แต่ไม่นานนักเด็กชายก็เริ่มวิตกกังวล ถ้าเผื่อหมามันเกิดหนีออกมาเพ่นพ่าน แถวนั้นล่ะ เขาจำได้ว่า ในชั่วโมง ความรู้ เกี่ยวกับ สภาพแวดล้อม ครูผู้สอนอธิบายว่า พวกสัตว์มีความจำดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่เคย ทำร้ายมัน ครูเล่าเรื่องช้าง ที่พังหมู่บ้าน ชนพื้นเมืองเพื่อแก้แค้น คนที่ไปยิงมัน ด้วยธนูเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

ก็ถ้าไอ้ตัวร้ายซอสก้า เกิดจำเหตุการณ์ ตอนที่มาเตโอ ขว้างหินก้อนใหญ่ใส่มัน แล้วอาฆาตหนีมา แก้แค้น เขาล่ะก็ บรื๋อ ! คิดถึง ตรงนี้ เขาเลยสวดมนต์หนักขึ้น เป็นสองเท่า

(อ่านต่อฉบับหน้า)


1 อาหารเลื่องชื่อจานหนึ่งของสเปน ประกอบด้วย ข้าว เนื้อไก่ ไส้กรอกหมู อาหารทะเล เป็นต้น ทำและเสิร์ฟมา ในกระทะ คนไทย อาจเรียก ข้าวผัดสเปน

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๖ มีนา - เมษา ๒๕๔๖)