สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจการอ่านของคนไทยพบว่า
โดยเฉลี่ยคนไทยแต่ละคน อ่านหนังสือวันละไม่ถึง ๓ นาที
ข่าวไม่ได้บอกว่า คนไทยกี่คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือเลย
เดาได้ว่าต้องเป็นจำนวนมหาศาล
และมีคนเพียงหยิบมือเดียวที่อ่านหนังสือวันละมากกว่า ๑ ชั่วโมง
ทั้ง ๆ ที่เรามีครูนับแสนคน มีพระนับแสนรูป
ถ้าท่านเหล่านี้อ่านหนังสือมากกว่าที่เป็นอยู่ (สำหรับผู้ที่อ่านอยู่บ้างในปัจจุบัน)
หรือแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองบ้าง
(สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่านหนังสือเลยในปัจจุบัน)
ท่านก็จะเป็นผู้นำสังคมที่มีคุณภาพสูงยิ่ง
ปีนี้กระทรวงศึกษาธิการชักชวนให้คนไทยทุกคน
วางทุกงาน อ่านทุกวัน วันละ ๑๕ นาที แค่ ๑๕ นาที
น้อยเหลือเกิน
ใจจริงอยากชวนทุกท่านให้อ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาและเงินทอง
ที่เราทุ่มเทไปกับการให้อาหาร และการดูแลสุขภาพกายมานับสิบ ๆ ปี
จะเห็นชัดเลยว่า เราละเลยสมองและจิตวิญญาณไปมากและนาน
มากและนานจนน่าใจหาย
ความคิดและจิตวิญญาณมีความสำคัญควบคู่กับความประพฤติ
นั่นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
บ้านเมืองเรายังขาดแคลนคนเก่งที่แสนดี และคนดีที่เก่งกาจ
คนเก่งมักปฏิเสธศีลธรรม คิดว่าคนดีมักจะโง่
คนดีก็มักปฏิเสธวิชาความรู้
เหมาว่าคนเก่งมักจะเห็นแก่ตัว (หรือเลวนั่นแหละ)
แถมปรากฏการณ์ในสังคมก็ยังเป็นปริศนาที่แปลกมาก
เพราะทั้งคนดีและคนเก่งมักจะเป็นอยู่ไม่ผาสุกในเมืองไทย
คนส่วนมากก็เลยทำตัวครึ่ง ๆ กลาง ๆ
จะเป็นคนดีนักก็ไม่กล้า จะเป็นคนเก่งจริงก็ไม่เอา
เราก็เลยมีแต่คนเหลาะแหละ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ
ไม่อยากใช้คำว่า ถึงเวลาแล้ว น่าจะเลยเวลาแล้วมากกว่า
ถ้าเริ่มวันนี้ก็ช้าไปแล้วที่จะสนับสนุนลูกหลานไทย
ให้เป็นทั้งคนดี คนเก่ง และมีความสุข
ช้า เพราะเรามีไม้แก่เต็มบ้านเต็มเมือง
ที่ดัดมาไม่ได้รูป จึงคด ๆ งอ ๆ ขวาง ๆ รี ๆ อยู่
แต่ถ้าช้ากว่านี้ ไม้ที่ยังอ่อนอยู่ ก็จะกลายเป็นแก่เกินจะดัดได้
จึงต้องรีบร่วมมือกันส่งเสริมการศึกษาด้วยการอ่านหนังสือดี ๆ ทุกวัน
วันละ ๑๕ นาที อ่านเอง แล้วก็ส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้อ่านด้วย
ในเมื่อนายกรัฐมนตรีของเราไม่หยุดยั้งการอ่าน
ถ้าเราไม่อ่าน ท่านพาบ้านเมืองไปทางไหน
ตามท่านไม่ทัน จะโทษใคร

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๗ พ.ค. - มิ.ย. ๒๕๔๖)