คิดตามหนัง
' ตระกูลหยาง [email protected]
เปิดปากแผล
THE
DOCTOR
แจ๊คที่รัก
คุณเล่าเรื่องแอน
ไม่รู้จะดึงเธอกลับมาอย่างไร ไม่รู้แม้วิธีดึงคนอื่นเข้ามาใกล้
ฉันนึกถึง เรื่องหนึ่ง ที่อยากเล่า ให้คุณฟัง
ชาวนาคนหนึ่งมีไร่นากว้างใหญ่
เขาใช้กับดักและแร้วกันนกและสัตว์อื่นๆ ให้ห่างไกล จากพืช ผลผลิต
งอกงาม แต่เขาเปล่าเปลี่ยว
วันหนึ่ง
เขาจึงยืนอยู่กลางทุ่งนา ต้อนรับเหล่าสรรพสัตว์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เขาอ้าแขน รอพวกมัน แต่ไม่มี สัตว์ตัวไหนมา ไม่มีแม้แต่เงา พวกมันกลัว
กลัวหุ่นไล่กา ตัวใหม่ ของชาวนา
แจ๊คที่รัก
เพียงแต่ลดแขนลงมา แล้วเราจะไปหาคุณ
|
ข้อความนี้เป็นจดหมายที่จูน เอลลิส
คนไข้โรคมะเร็ง เขียนถึงนายแพทย์แจ๊ค แมคคี ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต
หมอแมคคี ไปหาจูนที่บ้าน คืนก่อนที่เขาจะต้องผ่าตัดเนื้องอกที่กล่องเสียง
เขาบอกเธอว่า จะต้องผ่าตัด วันรุ่งขึ้น และเล่าถึงแอน ผู้เป็นภรรยาว่า
"ผมกันเธอไว้ตรงนั้นนานมาแล้ว ผมดึงเธอกลับมาไม่ได้"
"THE DOCTOR"
เป็นหนังที่สะท้อนความผิดพลาดบางประการ ของการจัดการศึกษา ส่งผลให้คน
อันเป็น ผลผลิต ของระบบการศึกษา แทนที่จะมีความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
กลับต้องประสบทุกข์ เฉพาะตน ทั้งยังสร้างผลกระทบ ไปถึงครอบครัว และสังคมโดยรวมด้วย
หมอแมคคีเป็นหมอผ่าตัดและเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล
เป็นหมอที่อารมณ์ดี ชอบพูดตลกๆ อย่างเช่น มีคนไข้รายหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุร่วงตกจากตึก
๕ ชั้น หมอบอก ว่า "คราวหน้า ถ้าอยากทรมาน
ตัวเองหนักๆ เล่นกอล์ฟสิ ทรมานที่สุดแล้ว" หมอพูดเล่นใครได้ยินก็ขำกันทั้งนั้น
แต่ในสภาพเช่นนั้น ไม่รู้ว่า คนไข้ จะรู้สึกอย่างไร
หมอแมคคีเป็นหมอที่เก่งมาก และทำงานหนักมาก
นอกเวลางานก็ยังมีโทรศัพท์ติดต่อเรื่องงาน จนกระทั่ง เขาลืมวันที่จะต้องไปประชุมผู้ปกครองนักเรียน
ที่โรงเรียนของลูก เป็นอย่างนี้ทุกปี โชคดีที่ภรรยา ของหมอ เข้าใจ
เธอก็เป็นคนอารมณ์ดีเหมือนกัน ชอบพูดเล่น ตอนที่สามีไปรับที่งานประชุมผู้ปกครอง
ซึ่งเธอ เป็นคนบรรยาย คนหนึ่งในงานด้วย หมอถามว่า พูดเป็นไงบ้าง เธอตอบยิ้ม
ๆ ว่า "ดี แค่เป็นลมไปครั้งเดียว"
แต่ก็เหมือนหมอทั่วไป หมอแมคคีไม่สนใจความรู้สึกของคนไข้
เขาสอนนักศึกษาแพทย์ว่า "เปิดปากแผล รักษา แล้วเย็บซะ" เหมือนกับช่างรื้อของที่เสียออกมาซ่อม
แล้วก็ประกอบเข้าไปใหม่อย่างนั้นแหละ
เขาสอนนักศึกษาแพทย์ว่า
"กังวลกับคนไข้มากไป มันไม่ดี การผ่าคือการตัดสิน ต้องไม่อคติ"
เมื่อนักศึกษาแพทย์ ถามว่า "การไม่กังวลกับคนไข้ไม่ผิดปกติหรือครับ"
เขาตอบว่า "การผ่าตัดไม่ใช่เรื่องปกติ ชำแหละคนน่ะปกติเหรอ วันหนึ่งคุณจะได้จับหัวใจคนจริงๆ
ขณะที่มันกำลังเต้น แล้วคิดว่าไม่น่าเลยฉัน" นักศึกษาก็ยังคงห่วงคนไข้อยู่
"งั้นก็ควรห่วงความรู้สึกคนไข้มากกว่า" หมอแมคคีบอกว่า "คนไข้รู้สึกป่วย
งานของผมคือผ่า คุณมีโอกาสเดียว ผ่าแล้วซ่อม แล้วก็เย็บ การห่วงใยต้องอาศัยเวลา
ถ้ามีเวลา ๓๐ วิ ก่อนที่คนไข้จะตกเลือดตาย ผมอยากให้คุณผ่าก่อน ห่วงทีหลัง"
แล้วหมอก็ไม่มีเวลาห่วงคนไข้หรอก
จนกระทั่ง วันหนึ่ง เขาต้องกลายเป็นคนป่วย
ไอมาก จนมีเลือดออกมากับเสมหะ เพื่อนหมอแนะนำ ให้ไปหา หมอบลูมฟิลด์
ซึ่งมีสถิติการผ่าตัดคนไข้ตายน้อยที่สุด แต่เขาปฏิเสธ อาจเป็นเพราะพื้นฐานแนวคิด
ไม่เหมือนกัน หมอบลูมฟิลด์ สนใจความรู้สึกของคนไข้ และเชื่อว่า คนไข้ได้ยินหมอพูด
แม้จะหมดสติ อยู่ก็ตาม วันหนึ่งเขาเชิญหมอแมคคี มาดูคนไข้ผ่าตัดของเขา
หมอแมคคีถามคนไข้ ซึ่งหมอให้ดมยาสลบ แล้วว่า "เป็นไง เซิร์จ แต่ถ้าคุณได้ยิน
ต้องไล่หมอดมยาออกแล้ว" หมอบลูมฟิลด์บอกคนไข้ของเขาว่า "หมอแมคคี
ชอบพูดตลก แต่เขาเป็นหมอที่เก่งมาก"
หมอบลูมฟิลด์เขียน หนังสือชื่อ 'สนทนากับคนไข้หมดสติ'
ด้วย
หมอแมคคีไปหาหมอที่เก่งที่สุดในด้านการรักษาคอ
ชื่อ เลสลี่ แอบบอท ตอนที่แสดงบทบาท ของหมอ เขาเข้มแข็ง มั่นใจ และเป็นคนสั่งคนอื่น
ตลอดเวลา ครั้นต้องมาเป็นคนไข้ กลับกลายเป็น คนรับคำสั่ง ตั้งแต่ รอเขียนประวัติคนไข้
ต้องนั่งรอเฉยๆ อยู่ครึ่งชั่วโมง ถึงได้รับแบบกรอกประวัติ หลังจาก
ตรวจอาการแล้ว พบว่าเป็นเนื้องอก ที่กล่องเสียง หมอแนะนำให้ฉายรังสี
โดยมีหมอรี้ด รับผิดชอบ ขั้นตอน การฉายแสง วันแรกกับวันที่สอง ไม่เหมือนกัน
คนไข้ก็ไม่รู้ว่า ทำไมไม่เหมือนกัน แถมบางวัน หมอก็ไม่มา ทั้งๆ ที่บอกคนไข้ไว้ว่า
จะต้องฉายแสงทุกวัน ปัญหาเหล่านี้ คนไข้ในโรงพยาบาล แห่งสยามประเทศ
ก็ล้วนประสบ พบเห็น กันทั่วหน้านั่นแหละ จริงไหม
ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้หมอแมคคี
เริ่มรู้ซึ้งถึงความรู้สึก ของคนไข้ นอกเหนือจากช่วงเวลา ที่เป็นคนไข้
เขาก็ยังคงทำหน้าที่แพทย์ แต่ทีท่าที่ปฏิบัติต่อคนไข้เปลี่ยนไป รู้จักให้กำลังใจคนไข้
ถามความรู้สึก ของคนไข้ และ รักษาสิทธิ ของผู้ป่วย
ในช่วงที่เป็นคนป่วยนั้นเอง หมอแมคคีได้รู้จักกับจูน
เอลลิส ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เธอทำให้หมอแมคคี จิตใจ อ่อนโยนขึ้น ในขณะเดียวกัน
ก็เข้มแข็งที่จะต่อสู้กับโรคร้าย จูนสังเกตเห็นสีหน้าเศร้า กังวลของเขา
จึงพาขึ้นไป ที่ดาดฟ้า ของโรงพยาบาล เธอเล่าว่า เมื่อแรกป่วย เธอยอมรับไม่ได้
จึงขึ้นมาที่ดาดฟ้า ของโรงพยาบาล กรีดร้องสุดเสียง แต่แล้วก็ได้เห็นนกตัวหนึ่ง
มองเธออยู่ เหมือนกับจะถามว่า "นี่เธอ! มีปัญหาอะไรหรือจ๊ะ"
สายตาของนก ทำให้เธอได้คิดว่า ตัวเองโง่เสียจริง เธอแนะนำ ให้หมอแมคคี
ตะโกนอะไร ออกมาก็ได้ ไม่มีใครได้ยินหรอก
ไม่อยากตะโกน
เธอจึงแนะนำให้กระโดดลงไป
ก็ไม่อยากกระโดด
ถ้างั้นก็ต้องสู้
หลังจากฉายแสงครบกำหนดแล้ว นอกจากเนื้องอกจะไม่เล็กลงแล้ว
ยังใหญ่ขึ้นด้วย ทำให้หมอแมคคี กังวลมาก หมอเลสลี แนะนำให้ผ่าตัด แล้วก็กำหนดวันผ่าตัด
ในตอนบ่ายวันหนึ่ง โดยไม่ได้ถาม ความพร้อม ของคนไข้เลย หมอแมคคีรีบปฏิเสธว่า
ไม่ต้องการผ่าตัดตอนบ่าย เพราะหมอ ทำงานเหนื่อย มาแล้ว ตลอดช่วงเช้า
แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ "คุณเป็นคนไข้ ฉันเป็นหมอ ฉันเป็นคนกำหนดว่า
พร้อมจะผ่าตัดเมื่อไร"
หมอแมคคีกลับไปขอให้หมอบลูมฟิลด์ผ่าตัดให้
พร้อมกับขอโทษที่เคยดูถูก หมอบลูมฟิลด์ รับปากผ่าตัด ให้ทันที ในวันรุ่งขึ้น
แม้เป็นหมอฝีมือดี ที่ผ่าตัดผู้ป่วย มานับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลาตัวเองจะต้อง
ถูกผ่าตัดบ้าง หมอแมคคี ก็ยังกลัว ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องเผชิญหน้า
กับความจริงของชีวิตครอบครัว ที่ห่างเหินกัน มานานนัก
วันนั้น แอนมาหาหมอแมคคีที่โรงพยาบาล
เพราะได้ข่าวการผ่าตัดจากเลขาของหมอแมคคี ปกติ แอน ควบคุมอารมณ์ ได้ดีมาก
เมื่อแรกรู้ว่า สามีป่วย เธอไม่ได้คร่ำครวญ เพียงแต่แอบหลั่งน้ำตา
อยู่คนเดียว ด้วยความเป็นห่วงสามี และเธอก็คาดหวังว่า จะเป็นเพื่อนคอยดูแล
ระหว่างที่เขาป่วย เมื่อทราบว่า สามีเลือกจูน เป็นเพื่อนปรับทุกข์
ในขณะที่ในใจเธอมีแต่เขา เธอจึงเปิดเผยความรู้สึกว่า ตลอดเวลา ที่ผ่านมา
ทั้งสองสื่อสารกัน ผ่านเลขาของหมอแมคคี หรือฝากข้อความ ทางโทรศัพท์
ไม่ว่าจะเป็น การนัดกินข้าว หรือ เมื่อมีปัญหา เธอบอกว่า "ตื่นขึ้นมาทุกเช้า
ฉันเกิดความรู้สึก ที่ไม่รู้ว่า คืออะไร ฉันหิว หรือว่าเหนื่อย เสียใจ
แต่แล้วก็รู้ซึ้งว่า ฉันแค่เหงา"
ความห่างเหินของครอบครัวเห็นได้ชัดจากวันหนึ่งที่หมอแมคคีป่วย
และกลับบ้าน เร็วกว่าปกติ แอน เรียกลูกชาย มาหาพ่อ เจ้าหนูน้อย รีบวิ่งมาที่โทรศัพท์
และพูดทักทาย กับพ่อด้วยความดีใจ แต่เมื่อเห็นพ่อ ปรากฏตัวจริงๆ ในบ้าน
ก็ยิ่งดีใจ ทวีคูณ
เห็นภาพนี้แล้วสะท้อนใจนัก ทำไมเมื่อร่างกายแข็งแรงดี
มีความสุข เราไม่อยู่ กับครอบครัว ทำไมเราถึง
กลับมาหา คนที่รักเราที่สุด เฉพาะในเวลาป่วย หรือเป็นทุกข์
คืนวันนั้น วันที่รู้ว่าจะต้องผ่าตัดวันรุ่งขึ้น
และรู้ความรู้สึกของภรรยา หมอแมคคี ไปหาจูนที่บ้าน บอกให้ เธอทราบ
ทั้งสองเรื่อง เรื่องแอน หมอแมคคีบอกว่า "ผมกันเธอไว้ตรงนั้น
นานมาแล้ว ผมดึงเธอ กลับมาไม่ได้" หลังจากที่หมอแมคคีไปแล้ว จูนยังคงเขียนหนังสือ
ตอนแรก ก็ไม่รู้ว่า เธอเขียนอะไร จนกระทั่ง ถึงตอนจบของเรื่อง และวันรุ่งขึ้น
เธอก็เสียชีวิต ที่โรงพยาบาล
หลังการผ่าตัดและหายเป็นปกติแล้ว
วันหนึ่ง หมอแมคคีเรียกนักศึกษาแพทย์ทั้งหมดมาพร้อมกัน บอกว่า "คุณใช้เวลานาน
ในการศึกษาชื่อโรค เป็นภาษาละติน คราวนี้ถึงเวลาศึกษา สิ่งที่ง่ายกว่าชื่อโรค
คนไข้ทุกคน มีชื่อของตน พวกเขาหวาดวิตก อาย และเปราะบาง พวกเขารู้สึกไม่สบาย
ซึ่งส่วนใหญ่ ก็อยากหาย นั่นเป็นเพราะ เขาฝากชีวิต ไว้กับพวกคุณ ผมอธิบายความหมาย
ให้คุณฟังปาวๆ ก็ได้ แต่มันไม่มีประโยชน์ เพราะมันเกิดขึ้น กับตัวผมแล้ว
งั้น ๗๒ ชั่วโมงนับจากนี้ พวกคุณทุกคน จะป่วยคนละโรค นอนเตียง โรงพยาบาล
กินอาหารโรงพยาบาล ได้รับการตรวจ ตามความเหมาะสม การตรวจที่วันหนึ่ง
พวกคุณต้องทำ คุณไม่ใช่หมอ แต่เป็นคนไข้"
หลังจากมอบหมายบทบาทให้นักศึกษาแพทย์แล้ว
หมอแมคคีก็ออกไปอ่านบันทึก ที่มีผู้ฝากไว้ให้ ปรากฏว่า เป็นจดหมายจากจูน
(ดอกหญ้า
อันดับที่ ๑๐๗ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๖)
|