พวกเขาทำงาน กันง่วน นานๆ ครั้ง มาเตโอ จะถาม
อันโตนิโอ ทีหนึ่งว่า
" นายว่าอานา จะชอบมั้ย"
" ชอบเหรอ" อีกฝ่ายว่า " กันว่าต้องกรี๊ดเลยล่ะ"
จริงดังว่า หลังอาหารกลางวัน อานาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมจูงมือพ่อไว้
พ่อชะโงกหน้าเข้าไป ดูในเต็นท์ ผิวปากวิ้ว ! แล้วชมเปาะ
" พวกหนูต้องสนุกกันสุดเหวี่ยงแน่"
พ่อพูดแค่นั้น
เขาจูบลูกสาวและจากไปโดยไม่ได้สั่งอานาว่าจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง
พ่อเดินไปได้สักสองสามเมตร ก็หันมา พูดกับอานาว่า
" สนุกให้เต็มที่เลยนะยายหนู"
แล้วอานาก็ส่งจูบให้พ่อ
" ทำอะไรพิลึกนะ นายว่ามั้ย" มาเตโออดค่อนขอดกับอันโตนิโอไม่ได้
" อย่างนายน่ะจะไปรู้อะไรกับเรื่องพรรค์นี้"
อันโตนิโอพูดหมิ่นๆ
ไม่นานนัก ฆาซินต้าก็มาถึง สิ่งแรกที่ทำคือ
ชื่มชมเต็นท์และต่อด้วยการชมอานาว่า ใส่ชุดสวยจริงๆ
เด็กๆ เล่นทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้ แต่ต้องไม่เกี่ยวกับการวิ่งหรือเกมที่ทำให้เหงื่อออก
และพวกเขา ก็สนุกกัน สุดเหวี่ยงจริงๆ
อานามีความสุขมากเพราะเห็นชัดว่าเพื่อนทั้งสามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเธอ
ถึงขนาดยอมลงทุน เฝ้ามอง ขบวนมด ตัวเล็กๆ ขนของเป็นเวลานานนับชั่วโมง
เธอตะลึงมอง ต้นไม้ ใบหญ้าสีเขียวขจีและดอกป๊อปปี้ที่ขึ้นอยู่ตามเนินลาดชัน
ตอน บ่ายแก่ๆ อานา ก็พูดขึ้น ด้วยน้ำเสียง ซาบซึ้งเปี่ยมด้วยความสุขว่า
" พวกเธอสังเกตหรือเปล่าว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันหอมชื่นใจขนาดไหน"
" หอมมากเลยล่ะ" ฆาซินต้าสนองและอันโตนิโอ
ก็เออออตาม แต่มาเตโอกลับพูด ไปอีกทางว่า
" จะหอมกว่านี้แน่ ตอนเราทอดไส้กรอกน่ะ"
" คนอะไร" ฆาซินต้าซึ่งวางมาดผู้ดีตำหนิ
" ในหัวมีแต่เรื่องกิน"
" ฉันก็ชักหิวเหมือนกันนะ"
คนที่พูดคืออานา ทำเอาเพื่อนๆ ทั้งสามตื่นเต้น
ดีใจแทบช็อก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมายัง ไม่เคยได้ยินสักหนว่า เธอจะรู้สึกหิวอะไร
เหมือนกับคนอื่น เขา
พวกเขาลงมือทำอาหารอย่างขมีขมัน ขณะกำลังทอดไส้กรอกและเตรียมต้มช็อกโก
แลตอยู่นั้น ก็เกิดสิ่งที่ ไม่คาดฝันขึ้น เด็กๆ ได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่ไกลๆ
เสียงนั้นอาจจะฟังดูไกลสำหรับคนอื่น แต่สำหรับมาเตโอ
ซึ่งคุ้นกับเสียงเห่านั้น เป็นอย่างดี รู้สึกว่า มันอยู่ใกล้มาก
" เจ้าหมาตัวนั้นแน่เลย" มาเตโออุทานขึ้น
พลางรู้สึกหวิวๆ เหมือนหัวใจ จะหยุดเต้น
" หมาตัวไหนเหรอ" เพื่อนทั้งสามซึ่งลืมปัญหาของมาเตโอไปแล้ว
ถามขึ้นพร้อมกัน
" จะตัวไหนล่ะ" เด็กชายตะโกน พลางโผล่หัวออกมาจากเต็นท์
เด็กๆ ทั้งสามจึงมองตามไป และเห็นหมาตัวใหญ่
กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง มาทางพวกเขา เหตุการณ์เลวร้าย ที่เกิดตามมา
เป็นความผิดของ ฆาซินต้า ที่บอกว่า เหมือนจะเห็น น้ำลายเป็นฟองฟอด
ที่ปากของมัน เลยร้อง ตะโกนดังลั่นว่า
" มันเป็นหมาบ้า"
เท่านั้นก็ได้เรื่อง พวกเขาวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
ห้อแน่บจนเกือบถึงประตูโรงเรียน และขณะที่พากันยืน หอบฮักๆ อยู่ที่นั่นเอง
ก็นึกขึ้นได้ว่า อานาไม่ได้วิ่งตามมาด้วย
" แย่แล้ว อานากำลังตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเจ้าหมาบ้า
แค่มองมันก็ติดเชื้อบ้าแล้วล่ะ !"
พวกเขาวิ่งเร็วจี๋ กลับไปที่เต็นท์เหมือนขามา
ไปถึงในจังหวะที่เจ้าตัวร้าย เกือบจะเข้าถึงตัวอานา
เด็กหญิงคุมสติไว้มั่น มีเก้าอี้อยู่ในมือเพื่อป้องกันตัว
แล้วมาเตโอ ซึ่งกำลังสับสน คิดอะไรไม่ออก นอกจาก ลงคลานสี่เท้า เห่าเจ้าตัวร้าย
อย่างดุเดือด สุดความสามารถ
เรื่องนี้เขาเคยอ่านพบในการ์ตูนที่แนะวิธีทำให้หมาตกใจ
แล้วคิดว่า มันไม่ได้เรื่องที่สุด และไม่เคยคิด จะทำตาม จนกระทั่ง
ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ จึงลองเสี่ยงดู
เจ้าตัวร้ายแปลกใจ หยุดเห่า มาเตโอรู้สึกกลัวแต่ก็ใจมาเป็นกอง
เพราะหมาไม่เห่าแล้ว เขาจึงตะเบ็งเสียง ดังขึ้นอีก เป็นสองเท่า เจ้าหมาถอยกรูด
ไปสองสามก้าว แต่แล้วเปลี่ยนใจ เข้ามาใกล้มาเตโอ ซึ่งทำให้เด็กชายกลัวมาก
จนคอแห้งผาก และเห่าไม่ออก
เหมือนกับว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเงียบกริบลงทันใด
นานจนมาเตโอรู้สึกว่า เวลาผ่านไป ราวศตวรรษ เจ้าตัวร้าย ทำจมูกฟุดฟิด
ดมตัวเด็กชายขึ้นๆ ลงๆ แถมเลียรองเท้า ข้างหนึ่งของเขา แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ
พุ่งเข้าใส่ไส้กรอก ซึ่งอันโตนิโอ เพิ่งทอดเสร็จ
มาเตโอลุกขึ้น จูงมืออานาและพากันเดินช้าๆ
ไปยังโรงเรียน ตอนแรก เด็กหญิงตัวสั่น หัวใจเต้นตึกๆ แม้เธอจะบอกว่า
เป็นเพราะตื่นเต้น สำหรับอานาแล้ว เธอไม่เคยเจอ เรื่องที่ประดังเข้ามา
ในวันเดียวกัน แบบนี้มาก่อน เด็กๆ โทรศัพท์จากโรงเรียนไปบ้าน มาเตโอ
และเพียงชั่วครู่ เจ้าของซอสก้า ก็มาถึง ขณะที่มันกำลัง แลบลิ้น เลียริมฝีปากแผลบๆ
นายของซอสก้าซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสดีใจเหลือล้นที่พบหมาของเขา
เขาเป็นสุภาพบุรุษมาก และได้ขอโทษ ขอโพยใหญ่หลวง พร้อมทั้งอธิบาย เพิ่มเติมว่า
ซอสก้าเป็นเพียงลูกหมา อายุไม่กี่เดือน จึงซุกซน และชอบ เล่นมาก
" ไม่ตัวใหญ่ไปหน่อยหรือฮะ ที่ว่าเป็นลูกหมาน่ะ"
มาเตโอพูดพลางชำเลืองมองเจ้า ตัวร้าย อย่างหวาดๆ แม้เจ้าของ จะใส่ปลอกคอ
และจับมันไว้
" เป็นลูกหมาแน่นอน" ชายชาวฝรั่งเศสยืนยัน
" ต่อไปมันจะโตกว่านี้อีก"
" แล้วจะเห่ามากกว่านี้มั้ยฮะ"
มาเตโอ ยังรู้สึกเกรงๆ อยู่
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า !" เขาหัวเราะ "
ไม่หรอก ตอนนี้มันเห่ามาก เพราะอยากเล่น แต่พอโต กว่านี้ก็จะเห่าน้อยลง"
เขาขอโทษขอโพยอีกหลายครั้ง อธิบายว่า ที่มันเห่ามากขนาดนี้
ก็เป็นความผิดของเขาเองด้วย ที่ขังมันไว้ ทั้งวัน เป็นเหตุให้มันหนี
" ตั้งแต่พรุ่งนี้ ลุงจะพามันไปเดินเล่น"
" ถ้าอย่างนั้น นายก็เป็นคนขี้ขลาดไม่เข้าเรื่อง
กลัวกระทั่งลูกหมา นายไม่อายหรือไง" ฆาซินต้า ต่อว่า มาเตโอ เมื่อชาวฝรั่งเศส
กลับไปแล้ว
และคนที่เป็นเดือดเป็นแค้นแทนคือ อานา
" ขี้ขลาดเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย พวกเราทุกคนคิดว่า
มันเป็นหมาบ้า มีแต่มาเตโอคนเดียวแหละ ที่กล้า เผชิญหน้ากับมัน"
มาเตโอหัวใจพองโต รู้สึกภูมิใจมาก ที่อานาออกรับแทนเขา
และความที่ไม่อยากเถียงกับ ฆาซินต้า มาเตโอ จึงพูดว่า
" อย่ามัวเถียงกันเลย พรุ่งนี้เรามากันใหม่ดีกว่า
นอกจากกระทะแล้ว คราว นี้เราต้องเอาเครื่องทำ แพนเค้ก ราดครีม มาด้วย"
และแล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปซ้ำแบบเดิมทุกประการ
แม้กระทั่งการผจญภัย ของซอสก้า ที่ปรากฏตัวขึ้น เพราะกลิ่นหอม ของไส้กรอกทอด
แต่คราวนี้ มันมาพร้อม กับเจ้าของ ซึ่งสร้างความประหลาดใจ ให้เด็กๆ
มาก
" เอ้าเด็กๆ ลุงให้รางวัลสมนาคุณ หนึ่งหมื่น
เปเซต้า" ๒
เด็กๆ คิดว่าชาวฝรั่งเศสคงล้อเล่น แต่เขาอธิบายว่า
" ลุงได้ติดประกาศไว้ว่า จะให้รางวัลสมนาคุณ
แก่คนที่พบซอสก้า พวกหนูพบมัน เงินจึงเป็นของพวกหนู"
" มันไม่มากไปหน่อยหรือฮะคุณลุง"
อันโตนิโอถาม
" ไม่หรอก เพราะหมานี่แพงมาก ราคามันน่ะอย่างน้อยก็แสนเปเซต้าเชียวนะ
ลุงให้พวกหนู สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ยุติธรรมดีแล้ว"
" งั้นก็ได้ฮะ" อันโตนิโอยอมรับ
แล้วหันไปถามเพื่อนๆ ว่ามันมากพอจะซื้อเต็นท์ ได้อีกหลังหรือไม่
แล้วเด็กๆ ก็เริ่มวางแผนจะทำโน่นทำนี่ หากพวกเขามีเต็นท์สองหลัง
ซอสก้ายังคงเห่ามาเตโอ เวลาเดินผ่านหน้าบ้านมัน
แต่คราวนี้ เป็นการเห่าด้วย ความยินดี เพราะแทนที่ เด็กชาย จะขว้างก้อนหินใส่มัน
เขากลับยื่นไส้กรอก หรือเนื้อชิ้นเล็กๆ ให้
" เธอโชคดีจังเลย ที่มีหมาตัวสวยเป็นเพื่อน"
อานาพูดขึ้นวันหนึ่ง
" ไว้เดือนมิถุนามาถึงและเธอหายดีแล้ว
ก็จะเล่นกับมันได้เหมือนกัน" มาเตโอ พูดให้กำลังใจอานา
และโดยไม่ทันได้ขออนุญาต มาเตโอก็ดึงหมวกของอานาออก
เพราะตอนนี้ ผมสีทอง ที่มีปอยผม เหลือบน้ำตาล ของเธอ ยาวจนปรกใบหูแล้ว
(จบบริบูรณ์)
(ดอกหญ้า
อันดับที่ ๑๐๗ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๖)