โสเภณี
- สิริมา ศรสุวรรณ -
แม่นางผู้เลอโฉม
สุภ แปลว่า ดีงาม + อิน แปลว่า ผู้มี คำว่า อิน เป็นปัจจัยที่ทำให้คำว่า
สุภ กลายเป็นคำนามซึ่งแผลง 'อุ' เป็น 'โอ' = โสภิน แปลว่า ผู้มีความดีงาม
แต่เนื่องจากเป็นผู้หญิง จึงลงท้ายด้วย 'สระอี' โสภิณี แผลง 'อิ' เป็น
'เอ' 'น' เป็น 'ณ' คำว่า โสเภณี, แม่นางผู้มีความดีงาม มีเหง้าศัพท์และความหมาย
ตามหลักการ ของภาษา อินเดียโบราณ ที่นำมาใช้ในภาษาไทย ดังผู้รู้ทางด้านภาษาศาสตร์
ได้อธิบายตามความ ดังกล่าวข้างต้น
คุณสมบัติของโสเภณีในอดีตกาล
ในสมัยพุทธกาล
น้องหญิงของหมอชีวก โกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า
เธอมีชื่อว่า'นางสิริมา' ความงามและความฉลาดรอบรู้ของเธอ มีมากเกินกว่าที่จะเป็นสมบัติ
ของชายใดในชมพูทวีป เธอจึงเป็นของกลางแห่งแผ่นดิน มีหน้าที่ปรนนิบัติบำเรอเศรษฐีและกษัตริย์ชั่วขณะ
ด้วยค่าตอบแทนที่บุรุษสามัญมิอาจมีปัญญาหาเงินมาใช้บริการจากนางได้
ความที่เธอได้มีโอกาส ฟังธรรมของ พระพุทธองค์ จึงสามารถบรรลุโลกุตรธรรมระดับ
โสดาบัน และสุดท้ายซากชีวิตของเธอ ยังเป็นเครื่องมือแห่งการบรรลุอรหัตผลของพุทธสาวกผู้มีศักดิ์เป็นน้อง
ของพระองค์อีกโสดหนึ่ง
ด้วยบริบทพุทธประวัตินี้
วิเคราะห์ได้ว่า ผู้ที่จะเป็นโสเภณีได้จะต้องได้รับการยอมรับโดยสาธารณะ
ว่าจะต้องมีความสวย เพียบพูนด้วยเสน่ห์ ฉลาด ส่วนจะแสนดีหรือไม่นั้นไม่น่าจะอยู่ในเงื่อนไข
ความที่โสเภณียุคนั้นเป็นสาธารณสมบัติ คนไทย จึงเรียกแบบไทยๆ ว่า
หญิงงามเมือง
โสเภณีไทยสมัยก่อน
เมื่อราวสี่สิบปีที่ผ่านมา
ท้องถิ่นที่ผู้เขียนเติบโตขึ้นตั้งแต่จำความได้ สมัยเรียนชั้นประถม
มัธยม จนถึงขั้นเตรียมอุดมศึกษา อำเภอเล็กๆ ห่างจากกรุงเทพฯไปทางใต้ประมาณแปดสิบกิโลเมตรแห่งนี้
เลื่องลือกันในระดับประเทศว่า เป็นย่านโสเภณีที่มีชื่อเสียง บ้านของผู้เขียนแวดล้อมด้วยโรงแรมระดับไร้ดาว
และอยู่ติดกับโรงภาพยนต์ที่บรรดา'หญิงงามเมือง' จะมาดูหนังรอบกลางวันกันทุกวัน
มีศัพท์เรียกพวกเธอ ว่า 'หญิงหากิน', 'หญิงหาเงิน' สตรีที่ประกอบอาชีพอื่น
เลี่ยงที่จะไม่ไปดูหนังในรอบกลางวัน เพราะเกรงจะถูกเข้าใจผิด
มารดาของผู้เขียนเปิดร้านอาหารและเครื่องดื่มเล็กๆ
อยู่บริเวณนั้นโดยผู้เขียนเป็นพนักงานเสิร์ฟ พวกเธอทั้งหลายแม้จะหัวร่อต่อกระซิกกันเมื่อรวมกลุ่ม
แต่เธอเหล่านั้นมีสัมมาคารวะ รู้เล็กรู้โต สังเกตจาก เวลาเธอมาสั่งน้ำแข็งใสจากมารดาของผู้เขียน
พวกเธอ มีทีท่าที่สุภาพ
วิธีการดูว่าหญิงใด
คือโสเภณี จะสังเกตจากการแต่งกาย คือ ทาเล็บแดง ปากแดง และใส่โสร่งปาเต๊ะ
หรือลายดอกไม้สีสดๆ ดังนั้นหญิงอื่นจะมิแต่งกายเช่นนี้ เพื่อจะได้ไม่เกิดการซ้ำซ้อน
หรือลอกเลียน ไม่จำเป็นต้องแหวะอก ถกถัน แค่แต่งสีสดฉูดฉาด ก็แจ้งให้ทราบถึงลักษณะอาชีพของเธอแล้ว
เมื่อได้เงินมา พวกเธอจะแบ่งส่วนหนึ่ง สำหรับส่งไปยังบ้านเกิด เพื่อให้พ่อแม่และครอบครัว
ส่วนหนึ่งเก็บไว้เมื่อรู้ว่า ถึงเวลาหมดสภาพ ความที่พวกเธอรักสวยรักงาม
เธอจึงถนัดเปิดร้านเสริมสวย เมื่อปลดระวาง จากอาชีพเดิม แต่งงานกับชายที่เธอรักและเข้าใจเธอ
โสเภณีไม่มีแล้ว?
กาลเวลาผ่านไปจวบจนปัจจุบัน หญิงสาวนุ่ง โสร่งสีจัด ทาปากแดง เล็บแดงไม่มีแล้ว
เห็นแต่ สาวน้อย ใส่เสื้อหลุดไหล่ ชายเสื้อเหนือสะดือ ขอบกระโปรงหรือกางเกงที่รัดติ้วต่ำลงตามระดับจิตใจของผู้สวมใส่
พวกเธอเป็นใครกัน?? หญิงงามเมือง ตามหลักการโสเภณีแบบดั้งเดิมหรือ
มิน่าจะใช่ เพราะเมื่ออยู่ใกล้ๆ เธอไม่นานก็ค้นพบได้ว่า กิริยาอาการน่าจะส่อไปในทางไร้สมอง
หากสาวน้อยคนใดย้อนมาว่า 'ป้าอิจฉาพวกหนูละซิ' 'หามิได้เลย หลานรัก
ป้ารู้สึกสมเพชเวทนาพวกหนูอย่างสุดซึ้งจากใจจริง'
เหยื่อ
'พวกหนู' มิได้รวมถึงเธอทั้งหลายที่มุ่งมั่นและหนาทน ชัดเจนในแนวทางแห่งการใช้เรือนร่าง
เป็นไปเพื่อ การยังชีพของเธอ ซึ่งในที่นี้มิอาจเรียกว่า 'โสเภณี' เพราะคำนี้สูงเกินกว่ามาตรฐานชีวิตของพวกเธอ
'พวกหนู' คือ เยาวสตรีในวัยสดใสที่อยู่ในความดูแลของพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่รู้ไม่เท่าถึงการณ์ว่า
ลูกหลานของตน เป็นประดุจลูกกวาง ที่เยื้องย่างล่อตา หมาป่าผู้กระหาย
'พวกหนู' อาจไม่ได้ตั้งใจ ยั่วยวนใคร แต่ 'พวกหนู' ขาดวิจารณญาณในการใช้ชีวิต
ปล่อยให้กระแสสังคมอันทราม พัดพา 'พวกหนู' ไปสู่หายนะ
'พวกหนู' รู้ไหมว่า
ผู้ชายดีๆนั้นเลือกหญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกเขาอย่างไร มีฝรั่งปากจัดคนหนึ่งวิพากษ์
'พวกหนู' ว่า หญิงเอเซียที่แต่งตัวและทำท่าเลียนแบบฝรั่งนั้น ดูพิลึก
เหมือนหุ่นไล่กา
เยาวสตรีเอ๋ย การห่มอาภรณ์ที่ปกปิดส่วนอันไม่พึงเปิดเผยของร่างกายตามวัฒนธรรมอันดีงามของบรรพบุรุษ
การมีกิริยา สุภาพอ่อนโยน การมีน้ำใจงดงาม เป็นเสน่ห์อันยิ่งยวดที่จะมัดใจใครก็ตาม
ที่ได้พบ และปะทะสัมพันธ์ด้วย ลืมตาขึ้นมาหาคุณค่าที่ แท้จริงของชีวิตให้พบ
จะได้ไม่ถูกปรามาสว่า มีค่า ต่ำกว่า 'โสเภณี'
-ดอกหญ้าอันดับที่
๑๐๙ กันยา-ตุลา ๒๕๔๖-
|