พ่อครับ ทำไมพ่อต้องกินเหล้า ?
เกร็ดชีวิตของ คุณศรายุทธ อมฤตวาจา เจ้าหน้าที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย เล่าไว้ที่สถาบันฝึกอบรมผู้นำ มูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมือง จ.กาญจนบุรี

ผมมีพี่น้อง ๗ คน เป็นลูกชาวสวน อ.โกรก-พระ จ.นครสวรรค์ ที่บ้านทำสวนละมุด ผมมักจะพูดด้วย ความภาคภูมิใจเสมอว่า ละมุดที่บ้านผมอร่อยมาก อร่อยที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้

พ่อผมเป็นครูใหญ่ แต่ผมไม่อยากบอกใคร ๆ ว่าพ่อเป็นครูใหญ่ เพราะภาพแรกที่ผมจำได้ เกี่ยวกับพ่อคือ ผมนั่งอยู่บนตักแม่ เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าโต๊ะกินข้าว แล้วเขาก็ปัด สำรับกับข้าว ทั้งหมดร่วงลงพื้น ระเนนระนาด แก้วชามมีเท่าไร ปลิวว่อนเป็นจานบิน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมยังเด็กมาก จำอายุ ไม่ได้แน่นอน และภาพแรกที่ผมจำได้ เกี่ยวกับแม่คือ ผมอ้อนแม่ร้องไห้จะกินขนม แม่กำลังเย็บผ้าอยู่ แม่เย็บผ้าจนเสร็จ เอาไปส่งลูกค้า กลับมาพร้อมกับเงินและซื้อขนมมาให้ ผมก็หยุดร้องไห้

มีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่โกลาหลที่สุดของครอบครัว พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเก่าๆ ไปรับเงินเดือน จนมืดค่ำ พ่อก็ยังไม่กลับ มีคนมาส่งข่าวว่า พ่อขี่รถไปชนหมา แล้วต้องไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งแม่และพี่ๆ ต่างต้องวุ่นวายกับอุบัติเหตุของพ่อในครั้งนี้ แล้วเมื่อพ่อออกจากโรงพยาบาล พ่อโพกผ้าพันแผลที่หัว คุยกับผมไม่รู้เรื่อง เรียกข้าวเป็นน้ำ เรียกไม้คานเป็นรถ พ่อจำอะไรไม่ได้เลย การรับรู้ทุกอย่างของพ่อเพี้ยนไป หมด เป็นอย่างนี้อยู่นานหลายเดือน

ภาพต่อมาเกี่ยวกับแม่ก็คือ ผมร้องไห้กลิ้งอยู่บนพื้นดินจนฝุ่นเปื้อนตัวไปหมด แต่คราวนี้ แม่ไม่ใจอ่อน ปล่อยให้ผม กลิ้งอยู่อย่างนั้น จนผมพอใจหยุดร้องไปเอง แม่ก็ไล่ไปซื้อขนมมาให้ แม่ได้สอนบทเรียนแก่ผม ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่เคยทำอย่างนั้นอีกเลย

เมื่อโตขึ้น สิ่งดีๆ ที่ผมพอจะนึกถึงพ่อได้ก็คือ พ่อหารองเท้าให้ใส่และพาซ้อนท้ายจักรยาน ไปโรงเรียน ในตอนเช้า แต่พอตอนเย็นนี่สิครับ จนค่ำแล้วพ่อก็ยังไม่กลับ ผมต้องไปนั่งคอยพ่อ แม้ว่าพ่อจะซื้อขนม นมเย็น สารพัดมาให้กิน ผมก็มีความสุขอยู่แค่ช่วงกินเท่านั้นละครับ หลังจากนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาคอย ว่าเมื่อไร พ่อจะกลับบ้าน คอยๆ ๆ จนค่ำมืด เมาได้ที่แล้ว พ่อก็ขี่จักรยานกลับ เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ที่สุด เมื่ออยู่ใกล้พ่อในตอนนั้น เพราะพ่อขี่รถจักรยานเซไปเซมาแบบคนเมา และก็ไม่รู้ว่า เป็นเพราะขี้เกียจ จะขี่ หรือไม่ไหวแล้ว พอเจอแคร่ข้างถนน พ่อก็ถลาเข้าไป เบรคพรืด จักรยานล้มโครมลง

ผมกลัวมากแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่นั่งเฝ้า แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ มีชาวบ้าน เดินผ่านมา พอเห็นเขาก็ถามว่า ครูใหญ่เป็นอะไร ผมอาย อายมากที่จะบอกว่าพ่อเป็นอะไร พ่อผมเป็น ครูใหญ่ แต่มานอนข้างถนน มันทำให้ผมอยากจะหนีไปจากตรงนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายชาวบ้าน ที่ผ่านมาเขาก็ช่วยพยุง แล้วพาครูใหญ่กลับบ้าน พ่อทำอย่างนี้เรื่อยมา โดยมีชาวบ้านบางคนสนับสนุน บางทีเขาหากุ้ง หอย ปู ปลา เหี้ย ตะกวด นก หนู แล้วก็มาหา ครูใหญ่ บอกว่า "เอ้า! ครูใหญ่ออกน้ำนะ พวกผมออกเนื้อ" พ่อก็จะเตรียมเหล้าไว้ขวดหรือครึ่งขวด พ่อทำอย่างนี้ประจำทุกวันๆ จนผมเริ่มชินตา กับภาพนั้น แต่สิ่งที่เจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือ เมื่อเพื่อนบ้านกลับหมดแล้วซึ่งก็เป็นเวลาที่พ่อเมาได้ที่ พ่อก็จะเริ่มอาละวาด ทุบหม้อไห กะโหลกกะลา ด่าทอ แม่ต่างๆ นานา ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มโตก็รู้สึกไม่ชอบ สิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกห่างเหิน กับพ่อมากขึ้น จากที่เคยเล่นหรือพูดคุยด้วย ก็กลายเป็น เลิกเล่น และ ไม่คุยด้วย แล้วผมก็คอยสังเกตเฝ้าดูว่า ถ้าพ่อทำร้ายแม่เมื่อไร เมื่อนั้นพ่อกับผม ก็ต้องเจอกัน ถึงแม้ผมจะยังเป็นเด็กก็ตาม

ผมไม่เคยรู้เลยว่า แม่นอนตอนไหนและตื่นเมื่อไร เพราะพอผมตื่นขึ้นมาก็เห็นแม่ทำงานอยู่ พอผมนอน ก็ไม่เคยเห็นว่าแม่นอนตอนไหน มันทำให้ผมรู้สึกว่า แม่คือสิ่งเดียวที่ผมยึดถือ ฮีโร่ในใจ คือแม่ ไม่ใช่พ่อ พ่อไม่ใช่คนที่ผมจะยึดเอาแบบอย่างหรือพึ่งพิงได้

ยิ่งโต ผมก็ยิ่งห่างจากพ่อมากขึ้นๆ จบ ป.6 ผมเข้าเรียนในอำเภอ แม้พ่อจะเป็นครูใหญ่ แต่ผมก็ไม่มีเงิน แม้แต่ค่ารถจะไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด เงินเพียง 5 บาทเท่านั้นเอง เราก็ไม่มี แม่เลยบอกให้ผมไปสอบที่โรงเรียนประจำอำเภอ ผมเรียนสอบได้ที่ 1 ถึงที่ 3 มาตลอด จนถึง ม.3 เกรดสูงสุดที่ผมได้คือ 3.7 ผมนึกไม่ออกเลยว่า ช่วงมัธยมต้นผมได้คุยกับพ่อ หรือ เจอหน้าพ่อบ้างหรือเปล่า เพราะสิ่งที่ผมตั้งใจทำ อยู่เพียงอย่างเดียวคือ ตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อแม่ ผมรู้เพียงว่าพ่อป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ จนสุดท้าย หมอบอกถ้าเลิกเหล้าไม่ได้ ไม่ต้องมาโรงพยาบาล ไม่รับรักษาอีกแล้ว หมอไม่ยอมบอกว่า พ่อเป็นโรคอะไร

นอกจากพ่อจะกินเหล้าแล้ว ยังสูบบุหรี่อีกด้วย สูบเกร็ดทองไม่มีก้นกรอง วันละ 2 ซอง และพกยา แก้ปวด คือยาตราไก่ (คล้ายๆ ยาทัมใจ) พ่อกินเป็นประจำ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แล้วพ่อเจ็บปวดอะไร นักหนา เพราะตอนกินเหล้า ก็เห็นมีความสุขดี นอกจากยาแก้ปวดแล้ว พ่อยังใช้หัวค้อน มากดที่ท้องทุกเช้า หรือ ก่อนนอน ผมก็ไม่เข้าใจว่าพ่อทำอย่างนั้นทำไม

ผมเข้าเรียนเทคนิคต่อเพราะได้โควต้า เข้าโดยไม่ต้องสอบ ช่วงนี้ผมไม่ได้คุยกับพ่อเลย พ่อนอนป่วย อยู่บ้าน โดยมีแม่และพี่น้องผมดูแล ผมไม่ได้รังเกียจพ่อ รู้สึกเฉยๆ ไม่คิดว่าต้องทำอะไรเพื่อพ่อ ไม่คิดว่า ต้องพูดคุยอะไรกับพ่อ ผมไปเรียนหนังสือทุกวัน กลับบ้านทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น

มีอยู่วันหนึ่ง ตอนอายุ ๑๗ ผมกำลังจะกลับบ้าน นั่งคุยกับเพื่อนอยู่บนรถ รอรถออก เพื่อนคนหนึ่ง ก็มาบอกว่า พ่อผมเสียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้ รู้หรือยัง ผมก็เพียงแต่ตอบไปว่า "เหรอ" แล้วก็คุย กับเพื่อนต่อ เหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น เพียงรับรู้ว่าพ่อจากไปแล้วเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือคิดว่า ต้องรีบกลับบ้าน แต่อย่างใด จนเมื่อถึงปากทางเข้าบ้าน มีชาวบ้านที่มาช่วย งานศพพ่อ เดินสวนมา เขาก็ถามผมว่า จะบวชหน้าไฟ ให้พ่อหรือเปล่า ไปโกนหัวได้เลย ผมก็เฉยๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของผม ผมไม่ได้บวช หรือทำอะไร ให้พ่อทั้งสิ้น มีแต่ลูกศิษย์ของพ่อที่บวชให้

ความเฉยชาที่ผมมีต่อพ่อค่อยๆ ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ เด็กเรื่อยมา ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวพ่อเหม็นบุหรี่ เหม็นเหล้า เหม็นจน ผมทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่ใกล้หรือพูดคุยด้วย รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ของพ่อ ทำให้ผมยิ่งเหินห่าง มากขึ้น เพราะผมโตแล้วรับรู้ได้ว่าอะไรดีไม่ดี

สำหรับแม่นั้น มีอยู่วันหนึ่ง ผมหนีแม่ไปแข่งฟุตบอลที่ต่างอำเภอ ตั้งแต่เช้ากลับมามืดค่ำ ฝนตก ผมเปียก มะลอกมะแลก คิดว่ายังไงถึงบ้านต้องโดนแม่ตีแน่ๆ แต่พอมาถึงแม่เห็นหน้าผม แม่ไม่พูดอะไรสักคำ หาผ้าเช็ดตัวมาให้ พาไปอาบน้ำ หายามาให้ทาน ถึงตรงนี้ผมรู้สึกว่าผมทำผิด รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่มี แม่ทำให้ผมมาก จนต่อมา ผมไม่กล้าทำผิดอะไรกับแม่อีกเลย ตอนไปเรียน เทคนิค เพื่อนผมก็ชวนไปเที่ยว ดื่มเหล้า เข้าซ่อง สูบบุหรี่ ผมก็ไม่ไป ไม่เอา สิ่งที่ผมนึกถึง และยึดถือ อยู่อย่างเดียวคือแม่ ผมไม่อยาก ให้แม่เดือดร้อน ผมเลยไม่ทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเพื่อนจะเยาะเย้ยถากถางอย่างไรก็ตาม

วิถีชีวิตของพ่อและแม่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พ่อเสียชีวิตอายุ 58 ปี พ่อลาออกก่อนเกษียณ เพราะคิดว่า จะมีอายุอีกนาน และรับเงินบำนาญ แต่อยู่ได้เพียงปีกว่าก็ตาย เงินที่ได้ก็น้อยมาก ถ้าเป็นบำเหน็จ ก้อนเดียว จะได้หลายแสน พอจะปลูกบ้านได้ พ่อเป็นครูใหญ่ จนเกษียณ ไม่มีเงินปลูกบ้าน ไม่มีบ้านจะอยู่ จนพ่อตาย ได้เงินมาเล็กน้อย แม่จึงเอาไปสร้างบ้านหลังเล็กๆ โดยมีพี่ชายมาช่วย เราจึงได้มีบ้านอยู่กัน

ขณะนี้แม่ผมอายุ ๖๘ ปีแล้ว นับว่าแม่เป็นคนที่มีความสุขในหมู่บ้านเลยทีเดียว ลูกๆ ดูแล เอาใจใส่ดี สุขภาพแข็งแรง เคยทำงานหนักอย่างไร ก็ยังทำอยู่อย่างนั้น ผมรู้สึกว่าชีวิตหนหลัง ของแม่ลำบากมาก ต้องอดทน เหน็ดเหนื่อยสารพัด จักรยานก็ขี่ไม่เป็น ว่ายน้ำก็ไม่เป็น ไปเที่ยวไหนก็ไม่เคย ชีวิตทั้งชีวิต มีแต่ดูแลลูกๆ และสามี แต่เบื้องหลังความอดทน จากบัดนั้น มาถึงบัดนี้ ก็คือความสุขที่ท่านได้รับ


-ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๙ กันยา-ตุลา ๒๕๔๖-