เมื่อมหันตภัยใหญ่รุกราน
น้ำใจหยดน้อยๆรวบรวมพลังสู้
ร่วมกันต้านภัยด้วยน้ำใจกล้าแกร่ง
เสียสละได้แม้ชีวิตเพื่อ...เพื่อนรัก


ร่วมด้วยช่วยกันพ้นทุกข์ (กุรุงคมิคชาดก)

คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงสดับถึงข่าวที่พระเทวทัตพยายามจะปลงพระชนม์พระองค์ ก็ได้ตรัสแก่เหล่าภิกษุที่แวดล้อมอยู่ว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตพยายามจะปลงชีวิตของเรา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้กาลก่อนก็เคยพยายามมาแล้ว"

แล้วทรงนำเรื่องเก่าก่อนมาตรัสเล่า
......................................

ในอดีตกาลนานแล้ว มีสัตว์สามสหายเป็นเพื่อนรักกัน กวางอาศัยอยู่ที่ป่าละเมาะ ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง ในป่าใหญ่ ส่วนนกสตปัตตะทำรังอยู่ที่ยอดต้นไม้ริมสระนั้น และเต่าเติบโตหากินอยู่ในสระน้ำนั้น สหายรัก ทั้งสามพบปะคบคุ้นกันด้วยมิตรไมตรี มีปกติเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ

อยู่มาวันหนึ่ง มีนายพรานเนื้อคนหนึ่งซึ่งก็อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ด้วย เขาเที่ยวป่ามาจนถึงสระน้ำนั้น ได้พบรอย เท้ากวางที่เหยียบย่ำลงไปดื่มน้ำในสระ ก็นึกดีใจ รีบวางบ่วงเชือกหนังแข็งแรงดักไว้ แล้วกลับไปสู่ที่พัก ของตน

เย็นวันต่อมา....เมื่อกวางกระหายน้ำ ก็เดินลงไปดื่มน้ำในสระตามเส้นทางปกติของตน โดยไม่ทันได้สังเกต ไม่นึกเฉลียวใจใดๆว่า ภัยกำลังจะมาถึงตัว ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ่วง บ่วงก็กระตุกรัดเท้าไว้แน่น ยิ่งดิ้นรนมากเท่าใด บ่วงก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดกวางก็หมดเรี่ยวแรง ล้มลงนอนคาบ่วง อยู่ริมสระน้ำ

เมื่อสิ้นหนทางที่จะช่วยเหลือตัวเอง กวางจึงรวบรวมกำลังเท่าที่มีอยู่ ร้องเรียกสุดเสียงให้เพื่อนทั้งสองได้รู้ว่า ตนติดบ่วงนายพรานแล้ว

นกสตปัตตะที่อยู่บนยอดไม้ ได้ยินเสียงของกวางก่อน พอมองลงมาเห็นกวางติดบ่วงอยู่ จึงบินไปหาเต่า ในสระ เรียกให้เต่าขึ้นจากน้ำ แล้วออกอุบายช่วยเหลือทันที โดยบอกกับเต่าว่า

เต่าเอ๋ย ท่านมีฟันที่แข็งแรงดี จงไปกัดแทะบ่วงให้ขาด ก่อนที่นายพรานจะมา ส่วนเราจะไปดักนายพรานไว้ ไม่ให้นายพรานมาถึงที่นี่เร็วนัก ด้วยความพยายามของเราทั้งสองนี้ เพื่อนรักของเราจึงจะรอดชีวิตได้ รีบไปกันเดี๋ยวนี้เถิด

เต่ารับคำแล้วรีบไปหากวาง เร่งใช้ปากกัดแทะเชือกหนังทันที ส่วนนกสตปัตตะก็บินไปยังบ้านของนายพราน เกาะอยู่ที่ต้นไม้ เฝ้าดูนายพรานตลอดทั้งคืนนั้น

ครั้นถึงเวลาเช้ามืดของวันใหม่ ตะวันยังไม่ทันโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แต่นายพรานได้ตื่นนอนแล้ว ตระ-เตรียมถือหอกและหน้าไม้ ก้าวออกจากประตูหน้าบ้าน เพื่อจะไปตรวจดูกับดักของตน แต่พอก้าวพ้นประตู ไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น นกสตปัตตะก็ถลาโฉบจิกตีนายพรานทันที

คาดไม่ถึงและไม่ทันตั้งตัว ทำเอานายพรานสะดุ้งตกใจ แม้ไม่เจ็บอะไรนักแต่ก็ตื่นตระหนก อารมณ์เสีย เห็นว่าเป็นลางไม่ดี จึงร้องด่าออกไป

"ไอ้นกจัญไร อย่าให้ข้าเจออีกนะ"

แล้วก็กลับเข้าบ้านอีกครั้ง รอเวลาให้ลางร้ายผ่านไปสักพักใหญ่ ค่อยออกจากบ้านใหม่อีกหน แต่คราวนี้เพื่อให้เกิดความโชคดีแก่ตน นายพรานจึงคิดว่า

"เมื่อครู่เราออกทางประตูหน้า โดนนกจัญไรจิกตีเอา ลางไม่ดีเลย คราวนี้เราจะออกทางประตูหลัง เห็นทีจะดีแน่"

จึงเปิดประตูหลังบ้าน พอเพิ่งย่างเท้าออกไปเท่านั้น นกสตปัตตะก็ตรงรี่เข้าจิกตีอีกครั้ง แล้วรีบบินหนีจากไป ทำให้นายพรานทั้งโกรธทั้งขวัญเสีย ส่งเสียงร้องด่าอย่างหยาบคาย แต่ก็ไม่กล้าไล่ตามนกไป เพราะคิดว่า

"เราโดนนกจัญไรตัวนี้จิกตีถึงสองครั้ง ช่างเป็นลางร้ายจริงๆ เรื่องอย่างนี้ไม่เคยเกิดกับเรามาก่อน เห็นทีอย่าเพิ่ง ออกจากบ้านตอนนี้เลย รอเวลาสายๆ ฟ้าสว่างดีแล้วค่อยไปเถอะ"

แล้วกลับเข้าบ้านไปนอนรอ จนกระทั่งดวงตะวันสาดแสงจ้าแล้วนั่นแหละ จึงถือหอก สะพายหน้าไม้ มุ่งไปที่กับดัก ริมสระน้ำนั้น นกสตปัตตะที่คอยเฝ้าดูอยู่ รีบบินกลับคืนมาโดยเร็ว แล้วบอกกวาง และเต่า ให้รู้ว่า

"สหายเอ๋ย เร็วเถิด นายพรานกำลังตรงมาทางนี้แล้ว"

ในขณะนั้นเอง เต่ากัดเชือกหนังจนจวนจะขาดหมดแล้ว แต่หมดเรี่ยวแรงเสียก่อน เพราะต้องกัดแทะตลอด ทั้งคืนยันเช้า ฟันเริ่มรวนเรสั่นคลอนราวกับจะหลุดออก ปากถูกเชือกบาดเป็นแผลมากมาย มีเลือดกลบ อยู่เต็มปาก ไม่สามารถที่จะกัดแทะเชือกต่อไปได้อีกแล้ว ต้องนอนซมอยู่ที่ตรงนั้นเอง

กวางก็เริ่มเห็นตัวนายพรานเดินมาแต่ไกลๆ ต้องเร่งตัดสินใจใช้ปากและฟันของตัวเอง รีบกัดเคี้ยวเชือกหนัง จนขาดออกจากกัน แล้วไม่รอช้า ผุดลุกขึ้นยืนทันที กระโดดเผ่นหนีเข้าป่าละเมาะไป

นายพรานมาถึงบ่วงที่ดักไว้ เห็นกวางวิ่งหนีหายไปต่อหน้า เหลือแต่บ่วงเชือกหนังขาดกระจุยกระจาย กับเต่านอนบอบช้ำ มีเศษเชือกหนังคาปากอยู่ ก็นึกรู้ว่าเต่าช่วยกวางให้หนีไป ดังนั้นด้วยความเจ็บใจ ที่เสียเหยื่อ จึงจับเต่ายัดใส่กระสอบ เอาแขวนไว้ที่ตอไม้เตี้ยบริเวณนั้น แล้วออกแกะรอย ออกติดตามหากวาง ต่อไป

ส่วนกวางหนีเข้าป่าละเมาะถิ่นของตนแล้ว ก็ย้อนกลับมาแอบซุ่มดูนายพรานอยู่ พอเห็นเต่าถูกจับแขวนไว้ อย่างนั้น ก็คิดในใจว่า

"เราจะต้องช่วยชีวิตสหายของเราให้จงได้"

จึงแสร้งเขย่าต้นไม้ไหว ให้นายพรานพบเห็น แล้วทำเป็นหมดกำลังวังชา เดินกะโผลกกะเผลกอยู่ หลอกล่อให้นายพรานติดตามไป จนกระทั่งไปไกลมากพอแล้ว ก็แกล้งทำรอยเท้าลวงไว้ ให้นายพรานหลงแกะรอยตามไปทางอื่น

ส่วนกวางเองก็รีบแวะไปที่ริมสระน้ำ ใช้เขาของตนสอยยกกระสอบวางลงที่พื้นดิน จากนั้นก็ใช้ทั้งฟันกัดบ้าง เขาขวิดเอาบ้าง จนถุงกระสอบฉีกขาด นำเต่าออกมาได้

นกสตปัตตะก็บินมาร่วมสมทบด้วย สหายรักทั้งสามได้อยู่เป็นสุขพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ด้วยการเสียสละช่วยเหลือแก่กันและกัน จากเหตุการณ์ที่เพิ่งรอดตายมาหมาดๆนี้เอง กวางจึงได้เอ่ยเตือนเพื่อนๆของตนว่า

"เราได้รอดชีวิตมา ก็เพราะอาศัยเพื่อนทั้งสองช่วยไว้ ภารกิจที่ควรทำแก่เพื่อน ท่านทั้งสองได้ทำให้แก่เราแล้ว แต่สถานที่นี้คงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะนายพรานนั้นคงต้องหวนกลับมา เพื่อจับพวกเราอีกแน่ เพราะฉะนั้นสตปัตตะสหายรัก ท่านจงพาลูกๆของท่านไปอยู่ที่อื่นเถิด ส่วนเต่าสหายรัก แม้ท่านก็จงลงน้ำไปหากินในที่ใหม่ แล้วเราก็จะเข้าป่าลึก ไปอยู่ในที่ห่างไกลให้ปลอดภัยด้วยเช่นกัน"

สัตว์สามสหายร่ำลากันแล้ว ก็แยกย้ายกันไป แม้ตัวจะอยู่ห่างไกลกัน แต่ใจมิได้ตัดไมตรีแห่งความสนิทสนม ต่อกันเลย ตราบจนกระทั่งตลอดชีวิต

ฝ่ายนายพรานเมื่อตามไม่พบกวาง ในที่สุดก็กลับมาที่ริมสระนั้น แต่ไม่พบสัตว์ใดๆเลย แม้เต่าที่จับไว้ เขาได้หยิบ กระสอบขาดขึ้นมาดู แล้วก็เสียใจในความอับโชคของตน ต้องเดินคอตกกลับบ้านไป
......................................
พระศาสดาทรงนำชาดกนี้มาเล่าแล้ว ก็ตรัสว่า
นายพรานในครั้งนั้นมาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นกสตปัตตะได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ เต่าได้มาเป็นพระโมคคัลลานะในบัดนี้ ส่วนกวางก็คือเราตถาคตนี้เอง

ณวมพุทธ
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๒๖๑
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๓๐๐)


พระพุทธองค์ตรัส
ธรรมอันเราตถาคตแสดงไว้แล้ว
ชนเหล่าใดสำคัญตาม จะรู้ตาม
จะบันเทิงตามซึ่งคำที่เรากล่าวดีแล้ว
จะเจรจาดีแล้วแก่กันและกัน
ชนเหล่านั้นพึงหวังได้คือ
จะพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน
มองกันและกันด้วยดวงตาอันเปี่ยมด้วยความรักอยู่
(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ "ปัญจภังคสูตร" ข้อ ๔๑๒)

-ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๙ กันยา-ตุลา ๒๕๔๖-