สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต - ฆวาลา -
เรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยทำ คือ การสอบเอ็นทรานซ์เรียนในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เพราะฉันต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ สละความสุขส่วนตัว ทุกๆ อย่างเป็นเวลาถึง ๓ ปี

ฉันเริ่มเรียนกวดวิชาตั้งแต่ปิดเทอมก่อนขึ้น ม.๔ ตามคำชวนของเพื่อน ในตอนนั้น ฉันไม่ได้จริงจัง มากนัก เนื่องจากเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกนาน กว่าจะสอบเอ็นทรานซ์ แต่เมื่อเปิดเทอม อาจารย์ที่โรงเรียน เกือบทุกท่าน คอยพูดกระตุ้นเรื่องสอบเอ็นทรานซ์อยู่เสมอ ฉันจึงไปสมัครเรียน กวดวิชาที่หาดใหญ่ ทั้งวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคม และ ภาษาไทย ซึ่งค่าเรียนในแต่ละวิชา ล้วนแต่หลักพันขึ้นไปทั้งสิ้น ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า ต้องไม่ให้แม่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งพ่อของฉันก็เคยพูดไว้ว่าอยากจะให้ลูก ได้เรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างจุฬาฯ หรือ ธรรมศาสตร์ เพราะสมัยก่อน พ่อไม่มีโอกาส ได้เรียนในมหาวิทยาลัย เนื่องจากย่าไม่สามารถส่งเสียได้ ฉันซึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง จึงเหมือนเป็นความหวังสุดท้ายที่จะทำให้ฝัน ของพ่อเป็นจริง ฉันจึงตั้งใจเรียนมาก

นอกจากจะเรียนพิเศษที่หาดใหญ่วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย ฉันเลิกเรียน ที่โรงเรียนตอน ๔ โมงครึ่ง ต้องไปเรียนพิเศษต่อถึงทุ่มครึ่ง กลับบ้านดึกทุกวัน วันเสาร์-อาทิตย์ ต้องตื่นตี ๕ เพื่อนั่งรถไปเรียนที่หาดใหญ่ให้ทัน ๗ โมงครึ่ง บ่อยครั้ง ที่ไม่มีที่นั่งบนรถเมล์ ฉันก็ ต้องยืน ตลอด ๑ ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น บางวันที่ยืนแทบไม่มี เพราะคนอัดกันแน่น ยิ่งกว่า ปลากระป๋อง ฉันเรียนที่หาดใหญ่ตั้งแต่ ๗ โมงครึ่ง ถึง ๒ ทุ่มครึ่งจึงนั่งรถกลับบ้าน บางครั้ง ฉันรู้สึกปวดหัว เพราะเรียนคณิตศาสตร์ ๔ ชั่วโมงติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็เรียนภาษาอังกฤษ มาแล้ว ๓ ชั่วโมง แต่ฉันก็พยายามเรียนต่อไปเพื่ออนาคต และอีกเหตุผลหนึ่งคือ สงสารแม่ ที่ต้องทำงานหนัก เพื่อให้ฉันได้เรียนพิเศษเหมือนคนอื่น

ตารางเรียนที่แน่นเอี้ยดทำให้ฉันอดดูทีวี อดออกไปซื้อของหรือเดินเล่นกับแม่อย่างที่ฉันชอบทำ แต่การอ่านหนังสือทุกวันทำให้เกรดตอน ม.๕ ของฉันดีมาก จนมีอาจารย์หลายท่านพูดกับฉันว่า "เอาจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์" ทำให้ ฉันรู้สึกกังวล เพราะจุฬาฯ ธรรมศาสตร์เป็นความหวัง ที่ห่างไกลมาก สำหรับฉัน แต่มหาวิทยาลัยแถวบ้านของฉันก็มักจะเดินทางสายวิทย์ ฉันเชื่อว่า ถ้าจะเรียน ด้านภาษาก็ควรจะเข้าจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์

จึงเริ่มจริงจังกับการสอบเอ็นทรานซ์มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว

ฉันอ่านหนังสือทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นระหว่างนั่งรถไปยังที่ต่างๆ เช่น โรงเรียน ที่เรียนพิเศษ หรือ ระหว่างที่เพื่อนๆ นั่งคุยกัน ฉันก็นั่งท่องศัพท์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูรีบร้อนไปหมด จนตอนแรก เพื่อนในห้อง ก็มองฉันแปลกๆ เอาเรื่องความขยันของฉันไปนินทา ฉันรู้สึก ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่เลิกล้ม ความตั้งใจ เพราะสัญญากับตนเองไว้แล้วว่า จะต้องขยันที่สุด เท่าที่จะทำได้ ฉันไม่สนใจคำพูด หรือท่าทางของใครทั้งสิ้น จนเมื่อขึ้น ม.๕ ความขยันของฉัน ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเพื่อนๆ บางคน จากที่เคยนินทาก็หันมาชื่นชม และถามถึง วิธีอ่านหนังสือของฉัน ฉันรู้สึกดีใจ ที่ได้ทำสำเร็จแล้ว ในระดับหนึ่ง

ผลการสอบเอ็นทรานซ์ครั้งแรกนั้น คะแนนของฉันอยู่เกณฑ์ดีทีเดียว ฉันจึงเริ่มเบนเข็มมุ่งมั่น เข้าอักษรจุฬาฯ ในการสอบครั้งที่ ๒ ฉันขยันมากขึ้นอีก ๒ เท่า ในวันธรรมดาหลังเลิกเรียนพิเศษ กลังถึงบ้าน ประมาณ ๒ ทุ่ม ก็รีบเข้าห้องอ่านหนังสือ ฉันอ่านหนังสือแทบทุกสำนักพิมพ์ ในแต่ละวิชา บ่อยครั้งที่แม่และพี่ๆ กำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์ แล้วหัวเราะกัน อย่างสนุกสนาน นอกห้อง ฉันต้องบังคับใจตนเอง ให้อ่านหนังสือต่อไป (ทั้งที่อยากเข้าไปร่วมวงด้วยมากๆ) ฉันอ่านหนังสือ จนหลับคาโต๊ะทุกวัน แล้วตื่นนอนตอนตี ๔ เพื่อดูรายการติวเอ็นทรานซ์ ทางช่อง ๓ บางวัน ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก จนไม่อยากตื่น บ่อยครั้งที่ตื่น แล้วอยากหลับต่อ แต่ฉันก็พยายาม ทำให้ตัวเองตื่น ด้วยการอาบน้ำ ตอนตี ๔ ดูรายการถึงตี ๕ แล้วนอนต่อถึง ๖ โมง เพื่อตื่นมาอ่านหนังสือ อีกครั้ง ก่อนไปโรงเรียน กิจวัตรประจำวันของฉัน เป็นเช่นนี้ อยู่ตลอดช่วงสอบเอ็นทรานซ์

เมื่อประกาศผลสอบ ฉัน แม่ พี่ๆ และญาติต่างดีใจมาก ยังจำภาพในวันนั้นได้ดี ฉันภูมิใจ ที่สามารถ ทำได้สำเร็จจริงๆ และมีความสุขที่เห็นว่าแม่ของฉันมีความสุข และภูมิใจในตัวฉัน แม่พูดกับฉันว่า แม่ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่ส่งให้ฉันเรียนพิเศษ หรือเงินค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ แม้แต่น้อย เพราะฉันได้ให้สิ่งตอบแทนคือ ความปลื้มใจแก่แม่ การฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้สึก ชนะใจตนเอง และมีความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งคุ้มค่าสำหรับ ความมุมานะ พยายามของฉัน
*** นางสาวสติมา โรจนวงศ์ชัย


 

เรื่องที่ยากที่สุดของข้าพเจ้าที่ผ่านมาก็คือ การวางตัวเป็นคนกลาง ประนีประนอม ปัญหาของห้อง ระหว่างนักเรียนกับครูสอนสังคม เรื่องมีอยู่ว่า ครูสอนสังคมตอนมัธยมปีที่ ๕ ของข้าพเจ้า ชอบว่านักเรียน ด้วยคำพูดหยาบคาย ข้าพเจ้าเคยโดนครั้งหนึ่งในวันเปิดเทอม ครูประจำชั้น ให้ไปถามครู คนดังกล่าวว่าเอากาแฟมั้ย ข้าพเจ้าไปที่ห้องของครูสังคม ซึ่งขณะนั้น กำลังคุยกับ ลูกศิษย์อีกคน ข้าพเจ้ายืนรออยู่ห่างๆ จนครูคุยธุระเสร็จ จึงเดินเข้าไป นั่งกับพื้น แล้วถามว่า ครูประจำชั้น ให้มาถามว่า จะรับกาแฟมั้ย ครูคนนั้นบอกว่าไม่เอา พร้อมกับด่า ว่าข้าพเจ้ายืนบิดไปมาอยู่ได้ ไม่มีมารยาท ข้าพเจ้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ติดใจอะไร เรื่องเกิดรุนแรงเมื่อ โสภาคย์ เพื่อนในห้อง ที่พ่อเป็นอัยการโดนว่า ในขณะเรียน ครูท่านนั้น อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เพราะทะเลาะ กับห้องอื่น ขณะที่สอนอยู่

ท่านว่าโสภาคย์หลับ ไม่ตั้งใจฟังทั้งๆ ที่โสภาคย์ไม่ได้หลับ และว่าชาตินี้เธอคงเหมือน พ่อเธอ ไม่ได้หรอก และอีกมากมาย แต่ที่แรงสุด คงเป็นประโยคที่ว่า "พวกเธอคงไม่เกิดจาก ความเสี้ยน ของพ่อแม่หรอกใช่มั้ย" ทุกคนในห้องเริ่มร้องไห้ ครูยังพูดอีกว่า "ร้องทำไม เธอเป็นญาติ กับเค้าเหรอ" จากนั้นก็ไม่เข้าสอน จนครูใหญ่เรียกไปคุย

ข้าพเจ้าในฐานะหัวหน้าห้อง ต้องไปพูดกับครูใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้นครูท่านนั้น เรียกข้าพเจ้า ไปคุยว่า ครอบครัวลำบาก ต้องส่งลูก (ที่ครูบอกว่าฉลาดกว่าพวกเรามาก เพราะอยู่เตรียมอุดม) ด้วยตัวคนเดียว และขอร้องว่า อย่าพูดแรงกับครูใหญ่ เวลานั้นรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเอง เป็นนกสองหัว เพราะช่วงนั้น ครูสังคมเรียกเข้าไปคุยบ่อยมาก ขณะเดียวกันต้องสอนสังคม ให้เพื่อนแทนครู และประนีประนอมว่าอย่า ให้เรื่องบานปลาย รู้สึกลำบากใจไปหมด จนวันที่ ไปพบครูใหญ่ ข้าพเจ้าตัดสินใจ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ครูใหญ่ฟัง แต่ขอร้องครูใหญ่ว่า ทุกคน ในห้องของข้าพเจ้า ไม่อยากให้ลงโทษถึงขั้นไล่ออก เพราะข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมเพื่อนว่า สงสาร ครูท่านนั้น เรื่องมันผ่านไปแล้ว และเป็นครั้งแรก ที่สำคัญ ถ้าครูโดนไล่ออก จะไม่มี ครูสอน ซึ่งกระเทือนทั้งชั้น ขณะนั้นต้องเตรียมตัว entrance ซึ่งครูใหญ่บอกว่า จะรับไว้พิจารณา เพราะมีผู้ปกครอง มาฟ้องหลายรายแล้ว ครูท่านนั้นโดนปลดจากตำแหน่งครูประจำชั้น แต่ยังสอนอยู่ พอหมดปีลาออก

ช่วงเวลานั้นรู้สึกสับสน เพราะทั้งสงสารเพื่อนและเห็นใจครู มันเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้สองฝ่าย ยอมประนีประนอม แต่เหตุการณ์ก็จบลงด้วยดี
*** ศุภมาศ สุวรรณภาศรี


 

การได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในคณะที่ตนชื่นชอบ เป็นความใฝ่ฝันของนักเรียน ที่เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เกือบทุกคน และในตอนนี้ ฉันได้เรียนต่อ ในสาขาวิชาที่ตนชอบ คืออักษรศาสตร์ ฉันภูมิใจและดีใจมากที่ได้รู้ว่า ตัวเองเอ็นทรานซ์ติด เพราะก่อนที่จะประกาศ ผลสอบนั้น ฉันไม่แน่ใจเลยว่า จะได้คณะนี้ เนื่องจากคะแนนที่ยื่นไปนั้น อยู่ในช่วงที่เสี่ยงว่า จะไม่ได้ อีกทั้งคณะนี้ คะแนน ยังสูงขึ้นทุกปีๆ แต่ในที่สุดผลออกมา อย่างที่ฉันอยากจะให้เป็น ฉันดีใจมาก และคิดว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโชคช่วยด้วย ที่คะแนนไม่ขึ้นสูง ในปีที่ฉัน เอ็นทรานซ์

ความจริงแล้วยังมีเรื่อง ที่ฉันตั้งใจและอยากทำ แต่ยังทำไม่ได้อีกหลายเรื่อง เช่น การกินอาหาร มังสวิรัติ ซึ่งตอนนี้ ก็กำลังพยายามอยู่ แม้จะได้เพียงบางมื้อ ฉันยอมรับว่า ตนเอง ยังอดไม่ได้ทุกอย่าง ยังมีกิเลส อยากกินอะไรอร่อยๆ ที่ทำจากเนื้อสัตว์ ฉันรู้สึกว่า มันยากมากพอๆ กับการอ่านหนังสือสอบ ก่อนเอ็นทรานซ์ เพราะการที่เราจะเลิกกินอะไร ที่ชอบมากนั้น ต้องฝืนใจอย่างยิ่ง กว่าจะอด หรือไม่กินได้ เหมือนเราต้องขาดอะไรบางอย่างไป ยิ่งฉันเป็นคนที่ชอบกิน เนื้อสัตว์มาก โดยเฉพาะ เนื้อวัว และเนื้อสัตว์สีแดง มันเหมือนทำให้ ยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายมากขึ้น ฉันมีความรู้สึกว่า น่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ ทุกประเภทได้ ยกเว้นเนื้อวัว

อย่างไรก็ตามฉันคิดว่าคงจะพยายามต่อไป ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็จะพยายามไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มั่นใจว่า จะสำเร็จ เหมือนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่
*** ปิยลักษณ์


 

เรื่องที่ยากที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยทำ (ได้) คือ การได้รับรางวัลในการแข่งขัน ตอบปัญหา ทางวัฒนธรรม ในงานเซนต์จอห์น เท้าความไปเมื่อสมัยมัธยมตอนปลาย ข้าพเจ้าจัดว่า เป็นเด็กเรียนดี อันดับต้นๆ ของสายศิลป์-ฝรั่งเศส ประกอบกับความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียนในห้อง และทบทวนบทเรียนทุกวัน ทำให้คะแนนสอบ ออกมาดีและน่าพอใจมาก ดังนั้น อาจารย์จึงเลือกข้าพเจ้า เป็นตัวแทนของโรงเรียน เพื่อสอบชิงทุนของสมาคมครูฝรั่งเศส

ตอนนั้นข้าพเจ้าเรียน ม.๔ ก่อนที่จะไปสอบนั้น ข้าพเจ้าต้องไปนั่งอ่านหนังสือและติว ที่โรงเรียนทุกวัน ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงปิดเทอม ข้าพเจ้าต้องทำอย่างนี้อยู่ประมาณ ๑ เดือน ขณะนั้นข้าพเจ้าค่อนข้าง ไม่คาดหวังกับผล ที่จะออกมา เนื่องจากรุ่นพี่เคยได้รับคัดเลือก ให้ได้ทุนนี้ เมื่อปีที่แล้ว ประกอบกับ ทัศนคติของข้าพเจ้าที่เห็นว่า โรงเรียนเอกชนมักเสียเปรียบ โรงเรียนรัฐบาล ตรงที่คณะกรรมการ มักคิดว่าเด็กที่มาจาก โรงเรียนเอกชน มีกำลังทรัพย์ มากกว่า แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า มันเป็นเรื่องของ ความภูมิใจมากกว่า ที่จะมาตัดสินกันแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ในการสอบแข่งขันครั้งนั้น ข้าพเจ้าสามารถ ทำได้เพียงแค่ตัวสำรองเท่านั้น แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่ก็รู้สึกเสียใจ และเสียดาย เนื่องจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรืออาจารย์ก็ล้วนแล้วแต่ ฝากความหวัง ไว้กับข้าพเจ้าทั้งนั้น

ต่อมาเมื่ออยู่ชั้น ม.๕ ข้าพเจ้าได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งอ่านกลอนฝรั่งเศสที่งาน เซนต์จอห์น ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ ประจำปีภาษาฝรั่งเศส เพราะจะมีนักเรียนมาจากทั่วประเทศ ข้าพเจ้าฝึกซ้อม อย่างหนักเช่นเคย แต่ผลที่ได้ กลับไม่เป็นดังหวัง ครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก เนื่องจากรู้สึกว่า ตนเองด้อยความสามารถ เพราะข้าพเจ้าได้รับ การหยิบยื่นโอกาสให้บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยทำ สำเร็จสักครั้ง ผิดกับเพื่อน ที่ลงแข่งอ่าน-เขียน หรือฟัง-พูด เพียงครั้งแรก ก็ได้รางวัลที่ ๑

ต่อมาเมื่ออยู่ชั้น ม.๖ อาจารย์ก็ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าอีก ครั้งนี้ข้าพเจ้าปฏิเสธ แต่อาจารย์ สอนข้าพเจ้าว่า โอกาสไม่ได้มาง่ายๆ ถ้ามีแล้วก็จงทำให้ดีที่สุด ถึงจะไม่ได้รางวัล แต่ก็ได้ ความรู้ติดตัว ข้าพเจ้าจึงตอบตกลง การแข่งขันครั้งนี้ ต่างจากครั้งก่อนหลายประการ เช่น ต้องกระทบ การอ่านหนังสือสอบเอ็นทรานซ์ อีกประการหนึ่งคือ ทัศนคติที่เปลี่ยนไป เดิมข้าพเจ้า เคยคาดหวัง บ้างมากน้อยตามสถานการณ์ แต่ครั้งนี้ ไม่คาดหวังใดๆ เลย คิดเพียงแต่ว่า ทำให้ดีที่สุด เท่านั้น เมื่อวันแข่งขันมาถึง ข้าพเจ้าเกิดท้องเสีย ทำให้กำลังใจ หดลงไปอีก แต่ในใจ คิดว่า ต้องทำให้ดีที่สุด ครั้งนี้ข้าพเจ้าทำสำเร็จ แม้จะไม่ใช่รางวัลชนะเลิศ แต่ข้าพเจ้าก็ภูมิใจ และดีใจมาก อาจารย์พูดกับข้าพเจ้าว่า "เห็นไหมล่ะ วันของเรา มาถึงแล้ว" ช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่ดีที่สุด ช่วงหนึ่ง ในชีวิตข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเมื่อคะแนนสอบ เอ็นทรานซ์ออกมา ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก และเมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสเป็นตัวแทน มาแข่งในงาน เปิดโลก อักษรศาสตร์ ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ คณะในฝันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้รางวัล ชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม ความภูมิใจที่ได้รับ จากการรับพระราชทาน เกียรติบัตร จากสมเด็จพระพี่นางฯ จะเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืม เพราะข้าพเจ้าได้มันมา จากความเหนื่อยยากจริงๆ ไม่ใช่ดวงหรือโชคช่วยแต่อย่างใด
*** นุชเนตร


 

คนแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกันไป จึงมีเรื่องที่ยากที่สุดต่างกัน สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องที่ยากที่สุด ในชีวิตที่เคยทำได้คือ การช่วยชีวิตคนจมน้ำ

ขณะเรียน ม.๖ ข้าพเจ้าไปเที่ยว จ.ระยอง กับป้าและเพื่อนๆ ของป้าอีก ๔ คน คือ ป้าดาว ป้าวัช ป้าบูอิก และป้าลิลลี่ วันสุดท้ายที่อยู่ระยอง ตอนเช้าก่อนกลับ พวกเราไปเล่นน้ำทะเลกัน ป้าดาวกับป้าของข้าพเจ้า อยู่ริมหาด ส่วนข้าพเจ้ากับป้าที่เหลือลงเล่นน้ำ ตอนแรก น้ำลึกแค่อก แต่สักพัก ข้าพเจ้ารู้สึกว่า น้ำมันลึกถึงคอและเริ่มยืนไม่ถึง แล้วทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียง ป้าบูอิก ร้องให้ข้าพเจ้าช่วย เพราะเป็นตะคริว ข้าพเจ้าจึงรีบว่ายไปหา ครั้นว่ายไปถึง ป้าบูอิก ก็ได้ยินเสียง ป้าวัชร้องให้ช่วยอีก เพราะตกใจที่ยืนไม่ถึง แต่เนื่องจากป้าวัช อยู่ห่างจาก ข้าพเจ้ามาก และป้าลิลลี่ อยู่ใกล้กว่า ป้าลิลลี่จึงบอกให้ข้าพเจ้าพาป้าบูอิก เข้าฝั่งไปก่อน

ขณะพยุงป้าบูอิกว่ายทวนคลื่น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าฝั่งช่างอยู่ไกลเหลือเกิน เพราะวันนั้น คลื่นลมแรงมาก ข้าพเจ้าพยายามว่ายสุดแรงเกิด และสวดมนต์ไปด้วยในใจ จนในที่สุดก็ถึงฝั่ง เมื่อมองกลับ ไปหาป้าลิลลี่กับป้าวัช ก็ไม่เห็นใคร เนื่องจากคลื่นสูงมากจึงบังมิด ข้าพเจ้ารีบวิ่ง ไปขอความช่วยเหลือ จากชาวประมง เขาก็รีบออกไปช่วย จนในที่สุด ป้าทั้งสองก็ปลอดภัย นี่เป็นประสบการณ์ ที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะให้บทเรียนกับข้าพเจ้าว่า สติ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และ ทำให้ข้าพเจ้า ระมัดระวังในการเล่นน้ำทะเล ครั้งต่อๆ ไปด้วย
*** ปาริชาติ สุธรรมวงศ์


 

ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดที่มนุษย์จะทำได้นั้น คือการฝืนใจตนเอง สิ่งที่ คนหนึ่งคิดว่ายากนั้น อาจจะเป็น สิ่งที่ง่ายมาก สำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้ ในชีวิตของผม สิ่งที่ยากที่สุด ที่ผมได้ทำ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอยู่ ๒ เรื่อง

เรื่องแรกคือการเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ที่ผมว่ายากนั้นไม่ใช่เพราะต้องฝึกหนัก แต่เพราะเป็น สิ่งที่ผมไม่อยากทำ ผมคิดว่าการเป็นนักศึกษาวิชาทหารค่อนข้างเสียเวลา ต้องไปเรียน สัปดาห์ละ หนึ่งวัน แต่คุณแม่ของผมอยากให้เรียน เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารเมื่ออายุ ๒๐ ปี ผมจึงต้องเป็น นักศึกษาวิชาทหารถึง ๓ ปี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็พบว่า การเป็นนักศึกษา วิชาทหารนั้น มีความหมายมากกว่า การเรียนเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร เพราะมันสอน วิธีการดำรงชีวิต ให้แก่เราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ การใช้ชีวิต ที่ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากผมไม่เคยชินกับชีวิตแบบนั้น ตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งห่างจาก พ่อแม่ ห้าวันนั้นเอง น้ำก็ไม่ได้อาบทุกวันทั้งๆ ที่ต้องฝึกหนักตลอดวัน ที่เขาชนไก่นี่เอง ที่ทำให้ผม ได้เรียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบเสมอไป ไม่จำเป็นต้อง แต่งตัวเนี้ยบ หรือทำผมทุกวัน ก่อนออกจากบ้าน ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแพงๆ ก็มีชีวิต อยู่รอดอยู่ในสังคมได้ นี่คือ สิ่งที่ผมได้รับ จากการทำสิ่งที่ผมคิดว่ายาก

เรื่องที่สองคือการแสดงความรักต่อพ่อแม่ บางคนอาจจะคิด ไม่ออกว่าการแสดงความรู้สึกที่ดี ต่อบุพการีของเรา มันยากตรงไหน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างผม ครั้งแรกนั้น ถือเป็นเรื่อง ที่ยากมากทีเดียว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อสามปีที่แล้ว ในวันก่อนวันแม่หนึ่งวัน ผมไปซื้อของ เพื่อที่จะนำ มาให้แม่ในวันถัดไป จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้อยากซื้อของให้แม่ หรือ ทำอะไร ทำนองนี้ สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากเพื่อนไป ผมจึงตามไปด้วย สิ่งที่ผมซื้อในวันนั้น เป็นเพียง กระถาง ดอกมะลิ ประดิษฐ์ ที่ประดับอยู่บนรถม้า หรือรถเข็นอะไรสักอย่าง เมื่อซื้อแล้ว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปีนี้ล่ะ ที่จะให้ ของขวัญวันแม่เป็นครั้งแรก

ครั้นวันแม่มาถึง ผมกลับรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะให้อย่างไรดี กราบก่อน หรือให้ของก่อน ต้องพูดอะไรบ้าง จนกระทั่งดึก ผมก็ยังไม่ได้ให้แม่สักที เพราะยังทำใจกล้าไม่ได้ จนกระทั่งถึงโอกาสเหมาะ ที่แม่เข้ามาหาผมในห้อง ผมจึงตัดสินใจ ให้กระถางดอกมะลิแม่ พร้อมทั้งก้มลงกราบ ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร น้ำตาผมถึงไหลออกมา แทนที่แม่จะร้องไห้ เพราะความซึ้ง กลายเป็นผมเองที่ร้องไห้เพราะความตื้นตันใจ คงเป็นเพราะว่า ผมได้เห็นรอยยิ้ม ของแม่ ซึ่งมันอาจจะดูเป็นเพียงรอยยิ้มธรรมดา แต่ผมรู้สึกได้ว่า แม่ดูมีความสุขที่สุด เท่าที่ผม เคยเห็นมา และนั่นก็ทำให้ผมมีความสุขเช่นกัน

การทำสิ่งที่ยากที่สุดนั้น อาจจะทำให้เราได้พบกับอะไรบางอย่าง หรือความรู้สึกบางอย่าง ที่เราไม่เคย รู้สึกมาก่อนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องยอมอดทน หรือผ่านช่วงความรู้สึก ที่ไม่อยากทำ ไปให้ได้ เพียงแค่นี้ เราก็จะได้พบกับความสุข ที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน
*** สุชาย น้อยฉายา


 

ในชีวิตของข้าพเจ้า เคยประสบอุปสรรคและปัญหาหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่มีปัญหาใดที่คิดว่า ยากที่สุดเลย นอกจากปัญหาทางใจ ความลำบากทางกายนั้น ในเวลาที่เจอปัญหา ก็อาจจะคิดว่า ช่างยากเย็นเหลือเกิน แต่เมื่อผ่านมาได้แล้ว และลองย้อนกลับไปมองก็จะเห็นว่า มันไม่ยากเลย กลับกลายเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ก็ย่อมต้องเจออุปสรรคที่ยากกว่า ไม่เหมือนกับ ปัญหาทางจิตใจ ที่ข้าพเจ้าคิดว่า ยากลำบากที่สุด เพราะแม้เวลาจะผ่าน ก็ยังไม่เคยลืม และไม่มีเหตุการณ์ใด รุนแรงเท่าครั้งนั้นเลย

เหตุการณ์ที่ว่านี้คือการไม่ลงรอยกับคุณแม่ครั้งรุนแรง เหตุที่ไม่เรียกว่าทะเลาะ ก็เพราะว่า คุณแม่โกรธ อยู่ฝ่ายเดียว ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่โต้ตอบได้ แต่เก็บความเห็นที่โต้แย้งไว้ในใจ เพราะกลัวว่า เถียงไป คุณแม่จะยิ่งโกรธ จึงได้แต่เก็บกดความรู้สึก ความเครียด ความน้อยใจ ความโกรธ และความรู้สึก แง่ลบต่างๆ ไว้ ไม่สามารถระบายออกได้ ทำให้ตอนนั้นเครียดมาก มากที่สุด เท่าที่เคยเครียดมา ส่วนสาเหตุนั้น เป็นเรื่องเล็กมาก ขณะที่ทำไม่ได้คิดว่า จะกลายเป็น เรื่องใหญ่ได้ ข้าพเจ้าจึงต้องพยายามระวังทุกสิ่ง กลัวว่าจะทำให้ท่านเสียใจอีก ในที่สุด ก็สามารถ ปรับความเข้าใจกับท่านได้ ทุกอย่างจึงกลับมาอยู่ในสภาพปกติ
*** ดารารัตน์


 

เมื่อประมาณ ๓-๔ ปีที่แล้ว ดิฉันกับคุณแม่กำลังนั่งบนรถโดยมีคุณพ่อ เป็นคนขับ จะไป สวนจตุจักร เราตั้งใจว่า จะไปเดินซื้อของและรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น แต่คุณพ่อ ชวนให้เรา ไปรับประทาน อาหารกลางวัน ที่ร้านอาหารอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งดิฉันอยากไปรับประทาน ที่จตุจักรมากกว่า จึงบอกคุณพ่อว่า ไม่อยากไป

คุณพ่อโกรธมาก หาว่าดิฉันปฏิเสธความหวังดีของท่าน แทนที่จะได้ไปเดินซื้อของ จึงต้องกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน คุณแม่บอกให้ดิฉันไปขอโทษคุณพ่อ ซึ่งในใจดิฉันตอนนั้น คิดแต่ว่า ทำไมต้อง ขอโทษด้วย ในเมื่อดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ดิฉันแค่ต้องการไป รับประทาน อาหาร ที่จตุจักร ทำไมต้องทำ เหมือนเป็นเรื่องร้ายแรงด้วย แต่ในที่สุด ดิฉันก็ไปขอโทษคุณพ่อ เพราะเป็นวิธีเดียว ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งเป็นการฝืนความรู้สึกอย่างมาก ดิฉันคิดว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ที่ดิฉันเคยทำ คือ เป็นการชนะใจตัวเอง และยอม ลดทิฐิของตน เพราะเป็นการกระทำ ที่ตรงข้าม กับความคิด และขัดแย้งกับความเชื่อ ซึ่งดิฉัน ต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะทำใจให้ยอมรับได้
*** อลิสา


- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๐ พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๔๖ -