ต้องเป็นเรา ( โภชาชานียชาดก)


ตั้งหน้าตั้งตาสู้
รอบรู้ต้องเป็นเรา
ไม่ใช่คนอื่นเขา
หนักเอาไม่ละเพียร

พระศาสดาประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ได้รับสั่งเรียกตัว ภิกษุผู้ละความเพียรรูปหนึ่งให้เข้ามาพบ แล้วตรัสอบรมว่า

"ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ได้กระทำความเพียรอย่างยิ่งในสนามรบ แม้ได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ยังไม่ยอมละความเพียรเลย"

แล้วตรัสเล่าอดีตชาดกนั้น

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีม้าอาชาไนย (ม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้ว) ตัวหนึ่ง บังเกิดในตระกูลม้าสินธพ (ม้าพันธุ์ดีเกิดที่ลุ่มน้ำสินธู) ชื่อ โภชาชานียะ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยลักษณะเลิศทั้งปวง จึงได้เป็นม้ามงคลคู่บารมีของพระราชา

ม้าโภชาชานียะนั้น ตามปกติจะได้กินข้าวสาลีมีกลิ่นหอมที่เก็บไว้ ๓ ปี ถึงพร้อมด้วยอาหารรสเลิศต่างๆ ในถาดทองคำอันมีราคาแสนหนึ่ง และได้พักอยู่ในพื้นที่อันไล้ทาด้วยของหอม ส่วนในสถานที่ยืนนั้นเล่าก็วงด้วยม่านผ้ากัมพลแดง (ผ้าทอด้วยขนสัตว์) เบื้องบนดาดเพดานผ้าอันวิจิตร ด้วยดาวทอง ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ อีกทั้งโคมน้ำหอมอีกด้วย

เมื่อนครพาราณสีอุดมสมบูรณ์ไปทุกสิ่ง จึงทำให้พระราชาทั้งหลายต่างพากันปรารถนาราชสมบัติในนครพาราณสี ดังนั้นจึงปรากฏมีพระราชา ๗ พระองค์ ยกกองทัพมาล้อมนครไว้ แล้วส่งหนังสือแก่พระเจ้าพรหมทัตว่า

"ท่านจะยอมยกราชสมบัติให้แก่พวกเรา โดยดี หรือจะสู้รบกัน"

พระเจ้าพรหมทัตจึงรีบเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ ให้มาช่วยกันแก้ปัญหา

"ดูก่อนท่านทั้งหลาย บัดนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี"

"ข้าแต่สมมุติเทพ ตอนแรกนี้พระองค์ยัง ไม่ต้องออกรบก่อน แต่ทรงส่งยอดทหารม้าให้ไปกระทำการรบเถิด หากทหารม้านั้นพ่ายแพ้ ข้าพระบาททั้งหลายค่อยคิดแผนการใหม่ต่อไป"

พระราชาทรงเห็นด้วย จึงรับสั่งให้เรียกตัวยอดทหารม้าเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

"นี่แน่ะนายทหาร..... ท่านจะสามารถรบชนะพระราชาทั้ง ๗ พระองค์นี้หรือไม่"

"ข้าแต่พระจอมคน ถ้าข้าพระบาทได้ขี่ม้ามงคลโภชาชานียะออกรบแล้วไซร้ อย่าว่าแต่ พระราชาทั้ง ๗ พระองค์นี้เลย แม้พระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป ข้าพระบาทก็จะสามารถรบชนะได้ พระเจ้าข้า"

"ดีล่ะ ! อย่าว่าแต่ม้าโภชาชานียะเลย แม้ม้าอื่นๆ ก็จงนำไปเถิด"

นายทหารม้านั้นรับพระดำรัส แล้วถวายบังคมลาเดินลงจากปราสาท สั่งให้นำม้าสินธพโภชาชานียะมา จัดการผูกเกราะให้ แล้วตนเองก็สวมเกราะแน่นหนา เหน็บพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าอาชาไนยตัวประเสริฐ เคลื่อนทัพออกจากพระนคร โจมตีทำลายกองทัพที่ ๑ แตกพ่าย จับเป็น พระราชาได้พระองค์หนึ่ง นำมากักขังไว้ในพระนคร แล้วจึงกลับไปรบอีก

ได้บุกตีกองทัพที่ ๒, ๓, ๔, ๕ จนแตกกระเจิงเหมือนกัน จับเป็นพระราชาได้อีก จนกระทั่งตีแตกทำลายถึงกองทัพที่ ๖ ได้ ขณะบุกจับตัวพระราชาองค์ที่ ๖ นี้เอง ม้าโภชาชานียะได้รับบาดเจ็บมาก เลือดไหลโซมกาย ความเจ็บปวดรุนแรงเกิดขึ้น นายทหารม้าตรวจดูอาการแล้ว เห็นว่าบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก จะต้องให้ม้าโภชาชานียะนอนพักรักษาตัว จึงเริ่มลงมือคลายเกราะม้าให้หลวม เพื่อจะนำไปผูกเกราะให้ม้าตัวอื่น แต่....ม้าอาชาไนยทั้งที่นอนซมอยู่นั้น ก็ลืมตาโพลงแลดูนายทหารม้าทำอย่างนั้นด้วยความคิดว่า

"นายทหารม้านี้กำลังจะถอดเกราะเราออก ไปใส่ให้แก่ม้าตัวอื่น แต่ม้าตัวนั้นจะไม่สามารถทำลายกองทัพที่ ๗ และไม่อาจจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ หากเป็นดังนี้สิ่งที่เราได้ทำไว้แล้ว จะพินาศหมดสิ้น แม้นายทหารม้าซึ่งไม่มีผู้เปรียบ ได้นี้ ก็จะพินาศ แม้พระราชาของเราก็จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก งานนี้เว้นจากเราแล้ว ม้าตัวอื่นใดในที่นี้ จะไม่สามารถรบทำลายกองทัพที่ ๗ ได้เลย ศึกนี้ต้องเป็นเรา"

เมื่อมองออกถึงการศึกสงครามอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ทั้งๆ ที่นอนอ่อนล้าอยู่นั้นเอง ม้าอาชาไนยก็เอ่ยขึ้นว่า

"ดูก่อนนายทหารม้าผู้สหาย แม้เราจะถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว จนล้มนอนตะแคงอยู่อย่างนี้ ก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอกทั้งหลาย ฉะนั้นท่าน จงกระชับเกราะของเราให้แน่น แล้วไปออกรบด้วยกันเถิด"

นายทหารม้าฟังแล้ว ก็จำนนต่อขีดความสามารถต่ำของม้าอื่นๆ จึงตัดสินใจเพื่อส่วนรวม พยุงม้าอาชาไนยให้ลุกขึ้น จัดการใส่ยา พันแผลให้แน่นหนา แล้วผูกเกราะให้กระชับเรียบร้อย ขึ้นนั่งบนหลังม้ามงคลโภชาชานียะ ยกกองทัพออกไปทำลายกองทัพที่ ๗ จนพินาศสิ้น จับเป็นพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ นำมามอบให้แก่พระเจ้าพรหมทัต

แต่เมื่อสิ้นสุดการรบแล้ว เหล่าทหารหาญทั้งหลายต้องช่วยกันอุ้มม้าโภชาชานียะ กลับมายังประตูพระราชวัง พระราชาเสด็จออกมาทอดพระเนตร ด้วยพระองค์เอง ม้ามงคลตัวประเสริฐจึงทูลด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า

"ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชา ทั้ง ๗ พระองค์เลย ทรงให้กระทำการสาบาน แล้วปล่อยตัวไป ส่วนการที่พระองค์จะโปรดประทานยศแก่ข้าพระบาทนั้น ขอทรงยกให้เฉพาะแก่นายทหารม้าเท่านั้นเถิด อีกอย่าง การที่ต้อง ทำศึกสงครามนั้น ทำให้ทหารล้มตายด้วยกันเป็นอันมาก ย่อมไม่เป็นการสมควร ดังนั้นขอให้พระองค์ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ครองราชสมบัติโดยธรรมต่อไปเถิด"

จบคำของม้ามงคลแล้ว คนทั้งหลายจึง ถอดเกราะออกให้ เมื่อเกราะถูกถอดออกเท่านั้น ม้าโภชาชานียะก็ขาดใจตายตรงนั้นเอง

พระเจ้าพรหมทัต ทรงทำฌาปนกิจสรีระของม้าอาชาไนยแล้ว ก็ได้ประทานยศใหญ่ให้แก่ นายทหารม้า และทรงให้พระราชาทั้ง ๗ พระองค์กระทำสบถสาบาน ที่จะไม่มาประทุษร้ายพระองค์อีก จากนั้นก็ทรงปล่อยตัวไป แล้วพระองค์ก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมตลอดมา จนกระทั่ง สุดสิ้นพระชนมายุ


พระศาสดาครั้นนำชาดกนี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า

"พระเจ้าพรหมทัตในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ นายทหารม้าได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนม้าอาชาไนยโภชาชานียะ ได้มาเป็นเราตถาคตเอง"

แล้วทรงตรัสอีกว่า

"ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ได้กระทำความเพียรเพื่อผู้อื่นถึงอย่างนี้ แม้จะ ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอบวชอยู่ในศาสนานี้ อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้ ก็แล้วเพราะเหตุไร จึงจะมาละความเพียรเสียเล่า"

จากนั้นทรงประกาศอริยสัจ ๔ ครั้นในเวลาจบสัจจะแล้ว ภิกษุผู้ละความเพียรนั้นก็ได้สติ เกิดญาณ สามารถตั้งอยู่ในอรหัตตผลทันที

- ณวมพุทธ -
ศุกร์ ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๘
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๒๓ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๕ หน้า ๒๘๗)

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๑ มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -