ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน

เขียนโดยลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ
เริ่มลงในฉบับที่ ๑๐๘ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)


"เป็นอะไรไป มูริเอล" บาทหลวงโฆเซ่ มาริ ที่กำลังเดินเข้าบ้าน ถามเมื่อเห็นฉันนั่งกัดเล็บ อยู่ด้วยท่าทางโกรธแค้น

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" ฉันถอนหายใจ "กำลังคิดถึงเรื่องผู้ใหญ่บ้านอยู่น่ะค่ะ (เน้นคำว่าผู้ใหญ่บ้าน) เขาวุ่นวายอยู่กับการเก็บหญ้าจนไม่มีเวลาลากเอาหีบเก็บเอกสารออกมา ก็เลยให้รายชื่อเด็กนักเรียนไม่ได้ เราใช้เวลาตลอดบ่ายถกเถียงกันฉันมิตร เรื่องจะทาสีห้องเรียนใหม่เป็นสีเหลืองอ่อน และเรื่องงบประมาณของเทศบาล ถึงอย่างไรโรงเรียนก็ยังดู น่าเกลียดเหมือนเดิม ดิฉันไม่ทราบจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ไม่มีใครช่วยได้สักคน ถ้าเป็นแบบนี้ คุณพ่อคิดว่าคนเราจะทำงานได้หรือคะ"

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ" ท่านตอบอย่างสงบ

ฉันทำท่าไม่พอใจ

"อย่าเพิ่งโมโห เธอทำหน้าอย่างนั้น นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรแล้ว ยังไม่ดีกับตัวเองอีกด้วยรู้ไหม"

ฉันเกือบจะหันหลังให้ท่านอยู่แล้วเชียว

"คุณพ่อไม่เข้าใจดิฉันหรอกค่ะ"

"แย่จริงนะ พ่อพอเดาออก พวกบาทหลวงน่ะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักหรอก....."

"ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น คุณพ่อไม่เข้าใจหรอกค่ะ การมาทำงานในหมู่บ้าน แบบนี้ ในที่ที่เรารู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ผู้คนก็ราวกับไม่มีตัวตน ไม่ว่าดิฉันจะไปโรงเรียนหรือจะไปที่ไหนๆ ก็ไม่เห็นมนุษย์สักคน แต่ดิฉันมั่นใจว่าพวกเขาเห็นดิฉัน ทว่าไม่มีใครอยากพูดด้วยหรือเข้ามาช่วยทำอะไร" ฉันไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถอธิบายความรู้สึกให้คนอื่นเข้าใจได้หรือไม่ แต่อยากจะให้พวกเขารู้สึกอย่างฉัน สนใจงานที่ฉันทำ แต่พวกชาวบ้านดูเป็นคนที่แปลกประหลาด เมื่อแรกมาถึงฉันคิดว่าทุกคนช่างมารยาททรามเสียจริงๆ แต่หลังจากได้คบคุ้นกับครอบครัวของเปโย่ ฉันก็พบว่ามิได้เป็นอย่างที่คิด คงเป็นเพราะพวกเขาขี้อาย...ไม่รู้สิ บางทีเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ฉันคงจะนึกหาคำเหมาะๆ มาอธิบาย ความหมายของการขาดกำลังใจในการร่วมกันทำงาน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ได้

"คุณพ่อหัวเราะเยาะดิฉันหรือคะ"

"เปล่า พ่อไม่ได้หัวเราะเยาะ ตรงกันข้ามเสียอีก ทุกอย่างที่เธอพูดน่ะเป็นความจริง ก็จริงอยู่เธอมาทำงานในที่ที่ผู้คนค่อนข้างเก็บตัว ขี้อายอย่างที่เธอบอก พ่อรู้ว่าสำหรับเด็กสาวอย่างเธอซึ่งไม่คุ้นเคยกับชนบท มันคงจะง่ายกว่ามากถ้าเราทุกคนเป็นคนใจกว้าง เปิดเผย เป็นมิตร และร่าเริง จริงไหม อย่าพยายามทำความเข้าใจมนุษย์เลย มูริเอล จงรักพวกเขาเถิด และเมื่อเธอเริ่มเรียนรู้ที่จะรัก เธอจะรู้เองว่า แม้จะไม่เข้าใจพวกเขา ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร"

"แต่มันยากนะคะคุณพ่อ ดิฉันจะรักคนที่ไม่ทำตัวให้คนอื่นรัก หรือคอยแต่จะหาเรื่องกับงานของดิฉันได้อย่างไร"

"เอาเถอะ เอาเถอะ....เธอไม่คิดว่ามันเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงไปหน่อยหรือ ที่จะเหมาเอาว่าทุกคนหาเรื่องเธอ เพียงเพราะผู้ใหญ่บ้านคนดีซึ่งคงจะอายที่จะให้เธอเห็นลายมืออันโย้เย้ของเขา จึงยังไม่คัดรายชื่อเด็กให้เธอ แล้วใครอีกล่ะที่ไม่ยอมช่วยเหลือเธอน่ะ"

คุณพ่อพูดถูก ฉันก้มหน้างุด รู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยและน่าอายยิ่งนัก

"ก็จริงอยู่ค่ะ แต่..." ฉันพูดอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเคลือบแฝง "แล้วทำไมคุณพ่อต้องออกจากบ้านหลังนี้ล่ะคะ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีบ้านไหนในเบอิเรเชอานี้อยากรับดิฉันไปอยู่ด้วยดอกหรือ ไม่ใช่คุณพ่อหรือคะที่พยายามพูดให้เปโย่รับดิฉันไว้ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นที่นี่ก็จะไม่มีครู ดิฉันจึงได้อยู่ที่นี่ในขณะที่คุณพ่อต้องย้ายไปอยู่คนเดียวที่บ้านเก่าๆ ข้างโบสถ์"

ฉันชนะ ! ถึงคราวคุณพ่อจะคอตกบ้างล่ะ

แต่ฉันพลาดไปถนัด บาทหลวงคนนี้เข้มแข็งกว่าฉัน และท่านสามารถควบคุมสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

"ไม่หรอก...เธอพูดอะไรออกมาน่ะ พ่อต้องการความเป็นเอกเทศ พ่อมีที่ทำงานอยู่ในโบสถ์ ถ้าได้นอนเสียที่นั่นด้วยก็ยิ่งสะดวก เข้าใจไหม แต่น่าเสียดายที่พ่อทำครัวไม่เป็น"

"ค่ะ ค่ะ" ฉันตอบโดยทำทีว่าเชื่อสิ่งที่คุณพ่อพูดมา และสำนึกผิดในสิ่งที่พูดออกไป

"ทีนี้ย้อนกลับมาดูปัญหาของเธอ จะให้อะไรๆ เป็นไปตามใจนึกทันทีทันใดน่ะคงเป็นไปไม่ได้ เธอต้องใจเย็นๆ และรู้จักอดทน สิ่งที่วันนี้เธอคิดว่าเป็นวัชพืชอาจจะออกดอกงดงามในวันหน้าก็ได้ จิตวิญญาณของมนุษย์เรานั้นยิ่งใหญ่นัก แม้ว่ามันจะถูกครอบงำด้วยความหยาบกระด้างที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด พ่อรับรองได้เลยว่า ไม่ใช่เจตนาร้ายของชาวบ้าน ทว่าเป็นความเคยชินของพวกเขาต่างหาก"

ความเคยชิน ! จนถึงขณะนี้ทำไมฉันจึงต้องพบแต่เจ้าความเคยชินเท่านั้น บอกได้เลยว่าฉันเคารพมันเสมอ แต่แปลกใจที่โรงเรียนจะต้องทาสี (ที่พูดว่าทาสีเพราะฉันต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา) น้ำเงินไปตลอดกาล เพียงเพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเขาได้ทาสีนี้มาก่อน และผู้ใหญ่บ้านไม่ให้รายชื่อเด็กนักเรียนแก่ฉัน ก็เพียงเพราะไม่เคยมีครูคนไหนขอมาก่อน

บาทหลวง โฆเซ่ มาริ มองดูฉันอย่างนึกสนุก

"บางทีคงจะเป็นเพราะดิฉันเป็นคนหัวก้าวหน้าไปหน่อยกระมัง" ฉันกล่าวเสริม "แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาถึงส่งดิฉันมาโดยเฉพาะที่เบอิเรเชอา ที่ซึ่งไม่เคยมีครูคนไหน อยู่นานเกินสามเดือน และด้วย 'การเรียกร้องและความร้อนรน' แบบดิฉันอย่างที่ผู้ใหญ่บ้านว่า คงจะอยู่ได้ไม่เกินเดือนหรอก"

"แล้วทำไมเธอไม่คิดสักนิดล่ะว่า ก็เพราะเธอเป็นอย่างนี้น่ะสิ พระเจ้าจึงประทานเธอ ให้มาอยู่กับพวกเรา"

ใช่ ! คำว่า 'เรา' ทำให้ฉันใจอ่อนยวบและสยบฉันลงได้อย่างราบคาบ คุณพ่อโฆเซ่ มาริ ก็ไม่ใช่คนที่เบอิเรเชอานี่ ท่านเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่ปี การที่ท่านพูดคำว่า 'เรา' ทำให้ฉันเข้าใจในทันทีว่า ท่านได้กลายเป็นหนึ่งในพวกเขาแล้ว

ท่านไม่ได้เล่าให้ฟังว่า การเป็นบาทหลวงต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการอย่างไร บ้าง แน่ละ ย่อมหนักหนากว่าการไปขอรายชื่อเด็กนักเรียนที่ฉันคร่ำครวญอยากได้ คุณพ่อไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงอุปสรรคของท่านเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจ หรือสร้างความหวังใดๆ แก่ฉัน ฉันรู้สึกละอายใจและคิดว่าตัวเองยังเด็กและอวดดีเกินไป

"พ่อเชื่อใจเธอนะ ถึงแม้พ่อจะรู้จักเธอในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แต่พ่อก็สังเกตติดตามดูมาตลอด พ่อเชื่อว่าเธอเป็นคนฉลาด"

"ได้โปรดอย่าหัวเราะเยาะดิฉันเลยค่ะคุณพ่อ"

"เชื่อเถอะว่าพ่อไม่เคยหัวเราะเยาะใคร ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ตอนนี้เล็กน้อยมาก เธอเป็นคนฉลาด ต้องเอาชนะมันได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะเถอะ แล้วเธอจะหัวเราะได้กับความเจ็บช้ำน้ำใจในวันนี้"

คุณพ่อพูดคำว่า 'ลูกที่รัก' กับฉันก่อนจะลาจากไป คืนนั้นฉันเข้านอนพร้อมกับความฝันอันบรรเจิด ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป อย่างน้อยก็มีใครสักคนที่ฉันไว้วางใจและพูดคุยด้วยได้ ฉันนึกทบทวนคำพูดของคุณพ่ออีกครั้ง

"อย่าพยายามทำความเข้าใจมนุษย์เลย จงรักพวกเขาเถิด"

"แล้วทำไมเธอไม่คิดสักนิดล่ะว่า ก็เพราะเธอเป็นอย่างนี้น่ะสิ พระเจ้าจึงประทานเธอมาให้อยู่กับพวกเรา"

พระเจ้า... 'ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงพระเจ้าเลยนะ'

ที่จริงแล้วฉันก็เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่ง แต่ทำไมถึงไม่เคยมี 'พระเจ้า' สถิตอยู่ในใจ หรือเป็นเหตุผลของการดำรงชีวิตอยู่ของฉัน ไม่เลย...น่าแปลกจริงๆ ฉัน ไม่เคยตระหนักเลยว่า พระเจ้าคือความจริงแท้ ทรงดำรงอยู่และรักฉัน บางทีอาจทรงหวังเป็นอย่างยิ่งให้ฉันเป็นครูที่ดี อาชีพครูที่ฉันเลือกเอง ไม่แน่นะ ที่เบอิเรเชอานี้อาจจะมีสักคนที่ต้องการฉัน ต้องเป็นฉันนี่แหละ ไม่ใช่ครูคนไหนๆ ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร และจะทำเพื่ออะไร แต่แน่ใจว่าฉันต้องช่วยเขาได้ พระองค์ประทานฉันให้มาอยู่เคียงข้างเขา แต่ฉันก็แสนโง่เขลา...ไม่ได้รู้ตัวเลย

พระเจ้าช่วย! ฉันคิดว่าฉันเป็น 'คนดี' ถ้าพูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองละก็ แค่ 'พอใช้' เท่านั้นแหละ

ฉันเริ่มทำงานอย่างกระตือรือร้น หญิงสาวคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันมาหา เธอแนะนำตัวเอง

"สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออานา มาริ โกญิ คุณพ่อโฆเซ่ มาริ บอกว่า เธอทำความสะอาดโรงเรียนคนเดียวโดยไม่มีใครช่วย ฉันเลยมาดู เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง"

ฉันต้อนรับเธอราวกับต้อนรับพระผู้ไถ่ เราช่วยกันถูพื้น เช็ดหน้าต่าง ปัดหยากไย่ ทำความสะอาดเพดานและฝาผนัง จัดโต๊ะเก้าอี้ใหม่ และในตอนบ่ายเมื่อได้ฆ้อนกับตะปูที่พี่ชายของ อานา มาริ นำมาให้ เราก็ได้ซ่อมแซมอะไรต่อมิอะไรไปอีกมากมาย

เราติดหลอดไฟใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (แน่ล่ะ ด้วยเงินของครู ก็ใครจะกล้าไปขอผู้ใหญ่บ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าเทศบาลยังเป็นหนี้อยู่เลย) ส่วนโคมไฟก็ทำจากถังผงหุ้มด้วยผ้าสีสดใสที่มีลวดยึดอยู่ด้านใน โคมไฟสีน้ำเงินอันเดิมนั้นฉัน เอามันออกในวินาทีแรกที่เห็น แต่พอจับมันหงายขึ้นก็กลายเป็นแจกันดอกไม้ที่ทันสมัยและไม่เหมือนใคร ฉันไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่บ้านจะเห็นด้วยหรือไม่กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ไปขออนุญาต ทุกคนในบ้านพากันชอบใจสิ่งที่ฉันทำมาก ถึงขนาดเปโย่และโตมัสเอาไปเล่าให้คนทั้งหมู่บ้านฟังเลยทีเดียว

ต้องสารภาพว่าฉันวิตกอยู่หลายวัน เกรงว่าเขาจะไล่ฉันออกจากเบอิเรเชอา เพราะฉันหาญไปเปลี่ยนแปลงโรงเรียนขนานใหญ่ จากสิ่งที่พ่อแม่หรือจะพูดให้ถูก ปู่ย่าตาทวดเขาทำมา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ดี เพราะเขาไม่ไล่ฉันไป และก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไรกับฉันสักคำเดียว

และแล้ววันเปิดเทอมก็มาถึง ฉันตื่นเต้นกว่าตอนที่แม่พาฉันไปโรงเรียนครั้งแรกเสียอีก ฉันออกจากบ้านพร้อมด้วยหนังสือในอ้อมแขนและกุญแจในมือ

'เด็กของโรงเรียน' อย่างที่พวกเขาเรียกกันที่นี่มาถึงตรงเวลาและตื่นเต้นมากเช่นเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่าทำไม เพราะอันที่จริงพวกเด็กๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้ก็น่าจะชินกับการมีครูใหม่ๆ เปลี่ยนหน้ากันมาสอนเสียนักต่อนักแล้ว

พวกแกลงนั่งตามสบายอย่างกับอยู่ที่บ้าน ชื่นชมกันใหญ่กับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ชอบอกชอบใจภาพรูปสัตว์ที่ฉันพบมันซุกอยู่ในตู้ เลยนำมาปิดผนัง บังรอยเปื้อน ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกเก็บงำไว้อย่างมิดชิด ทั้งที่มันเป็นสิ่งเดียว ในโรงเรียน ที่ควรจะนำมาอวด

มีนักเรียนทั้งหมดยี่สิบสามคน และทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ฉันจัดกลุ่มเด็กๆ ไว้ตามอายุ ของพวกแก เพื่อจะได้แบ่งงาน

อย่างที่เปโย่ทำนายเอาไว้ ลูกสาวคนโตและคนรองของครอบครัวอิปาร๎รากิร๎เร่ไม่มา น้องเล็กบอกว่า พี่ๆปวดฟัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปแปดวัน ฉันก็รู้สึกว่าการ ปวดฟันนั้นไม่ธรรมดาเสียแล้ว ฉันจึงตัดสินใจไปบ้านของเด็ก แน่นอน ฉันไม่ทันได้ไปถึงบ้านหรอก เพราะฉันพบเด็กทั้งสองเก็บมันฝรั่งอยู่ที่ไร่ใกล้ๆ โรงเรียนนี่แหละ พ่อของเด็กก็อยู่ที่นั่นด้วย ดูท่าทางเขาไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น

เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งชื่อ มาร๎ต้า อาริเบ้ ก็ขาดเรียนด้วย แต่เด็กทั้งหลายยืนยันว่า เด็กหญิงคนนี้ไม่เคยมาโรงเรียนเลย และไม่มีใครรู้จักเธอด้วย อย่างไรก็ตาม ในรายชื่อที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาให้ฉันวันรุ่งขึ้น ก็มีชื่อมาร๎ต้าปรากฏอยู่ด้วย

บาทหลวงช่วยเอารายชื่อจากทะเบียนที่มีอยู่ในวัดมาให้ ฉันรู้สึกขอบคุณท่านเป็น อย่างยิ่ง แต่ยังคงใช้รายชื่อที่ผู้ใหญ่บ้านอิซาเอียส๎คัดมาให้ด้วยลายมือที่โย้เย้แบบเด็กๆ แสดงให้เห็นถึงระดับการศึกษาของเขา ดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจทำมาก ฉันยังเก็บมันไว้อยู่จนทุกวันนี้

"เอ้า...คุณครูของพวกเรามาแล้ว" บาทหลวงทักทายตอนที่ฉันกลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้าน ฉันเหนื่อยและหิวมาก แต่มีความสุข

"ท่าทางจะกินคนเดียวหมด ไม่เหลืออะไรให้เราแน่" ท่านพูดล้อฉันเสียงดังกับทุกคนที่โต๊ะอาหาร ขณะตักถั่วให้ฉัน

"เป็นไง เธอประสบความสำเร็จกับงานวันแรกไหม"

"ค่ะ ทุกอย่างเลย ดิฉันรู้สึกว่าจับเด็กๆ ใส่กระเป๋ากางเกงได้โดยไม่ต้อง ออกแรงมากนัก เด็กชายอายุห้าและหกขวบสองคนขอดิฉันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อว่าเป็นไงบ้างคะ"

"ดีทีเดียวที่ทุกอย่างล้วนเป็นความสำเร็จ แล้วเด็กโตล่ะ เขาว่าไงบ้าง เธอคงไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเด็กหมู่บ้านนี้น่ารักกว่าที่อื่น แถมเป็นเด็กดีด้วย"

"เรื่องเด็กโตนี่ดิฉันไม่มีอะไรจะบอก เพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน สงสัยจะหายเข้าป่าไปหมดกระมังคะ"

"นี่แน่ะ ที่นี่มีคนโสดอยู่คนหนึ่ง เขามีหุ้นในโรงงานผลิตกระดาษด้วย จริงไหม เปโย่ โตมัส"

พี่น้องทั้งสองพยักหน้ารับขณะหั่นชิ้นปลา พร้อมกับหัวเราะอย่างมีเลศนัย เขาใช้ศอกกระทุ้งสีข้างกันและชำเลืองมองมาที่ฉัน ฉันจึงสรุปเอาว่า ผู้ถือหุ้นที่ร่ำรวยคนนั้นน่าจะมีอายุมากพอๆ กับหุ้นที่เขามี

"ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณ ดิฉันไม่ชอบคนหัวล้าน" ฉันพูดอย่างสุภาพ

พวกเขาหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมทุกอย่างที่ฉันพูดถึงทำให้พวกเขาหัวเราะกันได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชนบทซึ่งฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเอาเลย ยังจำวันที่อาสาไปเอาต้นกระเทียมจากสวนมาให้คุณย่า แต่กลับเอาต้นหอมมาแทน พวกเขาหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ก็ไอ้ใบไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากดินน่ะ ฉันว่ามันเหมือนกันไปหมด แม้ว่ามันจะแตกต่างกันก็ตาม เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ !

เราไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก เมื่อพวกเขารู้ว่าฉันกลัวแม่วัว และจะออกจากห้องครัว ทุกครั้ง ที่อิซาเบล (ซึ่งแม้จะดูหน้าตาเป็นคนใจดี) จับไก่ห้อยหัวเข้ามาเชือด โดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน แต่อย่างใด

(อ่านต่อฉบับหน้า)

เขียนโดยลูเซีย บาเกดาโน่
แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ พิมพ์ครั้งที่ ๒ : ๒๕๔๒
ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบท
ราคาเล่มละ ๘๐ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่
นางรัศมี กฤษณมิษ ๒๐๒๙/๑๗๖ ถ.เจริญกรุง ๗๗ วัดพระยาไกร บางคอแหลม ปท.วัดพระยาไกร กรุงเทพฯ ๑๐๑๒๐ โทร. ๒๑๖-๙๑๕๐ โทรสาร ๒๑๖-๙๑๕๑

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๑ มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -