บันทึกน้ำค้างหยดเดียว
ค่าของคน

นานๆ จึงจะมีละครโทรทัศน์ดีๆ สักเรื่องหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้ตามดูทุกตอน แต่ก็ได้สาระประโยชน์ จากการดูไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการเข้าใจคน ขอบคุณ "ทีวีซีน" ที่หยิบบทประพันธ์สร้างสรร "เรือนไม้สีเบจ" ของว.วินิจฉัยกุล มาทำละครได้อย่างมีอรรถรส และวางตัวนักแสดงได้เหมาะสม

หลายๆ ครั้งที่เกิดความประหลาดใจเมื่อเห็นความร้ายกาจของคนบางคน แล้วอยากรู้ต่อไปว่า อะไรเป็นตัวผลักดันหรือบีบคั้นให้เขาทำเรื่องที่ไม่น่าทำ ไม่สร้างสรร โดยเฉพาะการทำร้าย เบียดเบียนคนอื่น และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมาไว้ในครอบครองอย่างไร้ศักดิ์ศรี

ตัวละครที่น่าสนใจในเรื่องคือ "ขจีรัตน์" หญิงสาวผู้มีความทะเยอทะยานสูง ที่แม้พ่อจะเป็น เพียงยามบริษัท แต่ก็ส่งเสียลูกจนเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเอกชน ด้วยรูปสมบัติ และสติปัญญา ที่มี หากไม่มิจฉาทิฏฐิ เธอก็น่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่เพราะไม่มี ความอดทน และอยากได้ใคร่มี เธอจึงปิดบัง ฐานะทางบ้าน ทำตัวมีระดับ เลือกคบคน นามสกุลดังๆ สุดท้าย ก็เอาตัวเข้าแลกกับรถ คอนโดฯ และความหรูหราประดามี ที่ใฝ่ฝัน ซึ่งพ่อก็ได้แต่พ้อว่า "ทำไมใจเร็วนักล่ะลูก"

เพราะใจเร็ว ใจร้อน หลงตัวเอง ประกอบกับเจอผู้ชายโหดที่นับถือเงินเป็นพระเจ้า เช่นเดียวกัน วิมาน ที่ตั้งอยู่ บนความเลื่อนลอย จึงพังครืนในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากคว้าอะไรไม่ได้แล้ว ยังเจ็บตัว ปางตายจากน้ำมือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามี (ชั่วคราว)

เมื่อพลาดจากคนหนึ่งก็หันกลับมาพยายามคว้าอีกคนทั้งที่เขามีครอบครัวแล้ว และภรรยาเขา ก็แสนดี ซึ่งตลอดเวลาเขาก็ไม่เคยคิดกับเธอเกินเพื่อน ความมีน้ำใจของคนดียิ่งทำให้คนชั่ว เหิมเกริม และสร้างความเดือดร้อนจนครอบครัวของเขา แทบล่มสลาย

สมดังคำโบราณว่า หากเมตตาไม่มีประมาณ ก็จะพบคนพาลทั่วเมือง จริงๆ ไม่ต้องพบใคร มากเลย แค่หนึ่งเดียว ที่ว่านี้ก็โชคร้ายเต็มที่แล้ว

แต่ที่สุดของที่สุด หลังจากป่วนจนสุดฤทธิ์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะใจพระเอกได้ (คนที่แพ้ใจ ตัวเองตลอด ไม่มีวันจะชนะใจใครได้) เมื่อตกต่ำไร้ค่าถึงที่สุด เธอก็ถึงกับสามารถ กลับเนื้อ กลับตัว เป็นคนดี ตั้งหน้าตั้งตา ทำงานอย่างหญิงธรรมดาสามัญ เลิกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินฐานะ จนแม้ในวันหยุด จากงานประจำ ก็ยังช่วยพ่อและน้องขายข้าวแกงได้ เปลี่ยนจากนางร้าย เป็นนางฟ้า ราวคนละคน

ขอเพียงเกิดจิตสำนึก คนผิดก็พร้อมจะแก้ไข

ดูแล้วชื่นใจยิ่งกว่าตอนพระเอกนางเอกปรับความเข้าใจกันได้เสียอีก

"ผู้ใดทำบาปแล้ว ละได้ด้วยการทำดี ผู้นั้นย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนพระจันทร์ที่พ้นจากเมฆ ฉะนั้น" (พระพุทธพจน์)

ยังมีหญิงสาวเช่นขจีรัตน์อีกมากมายในสังคม แต่กี่คนเล่าที่จะตระหนักรู้และกลับเนื้อกลับตัว

กี่คนที่จะ "พลันคิดได้" ถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าที่แท้จริงที่ตนมีอยู่

กี่คนที่จะมีโอกาสค้นพบสัจธรรมของชีวิต

ในวันนี้เราจึงเห็นหญิงสาวมากมายที่หลงใหลได้ปลื้มอยู่แค่เปลือก พากันแต่งเนื้อแต่งตัว ตามแฟชั่นไพร่ ราวเชิญชวน ให้คนมาย่ำยี เพราะคิดว่า มีของดีต้องอวด จนแยกไม่ออกว่า ใครทำอาชีพอะไร เพราะรสนิยม เท่ากันหมดทั้งเมือง

ของดีไม่ต้องอวด ความดีไม่ต้องอ้าง คนเราไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรูหรา ยินดีในสิ่งที่ตนเองได้ พอใจในสิ่งที่ตนเองมี กินก็แค่อิ่ม นอนก็แค่หลับ เหนื่อยนักก็พักผ่อน ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ แม้จะยังสร้างสรร เสียสละให้ใครไม่ได้ ก็อย่าเอาเปรียบเบียดเบียน ทำร้ายทำลายใคร แค่นี้ สังคมก็น่าอยู่ ผู้คนก็น่ารัก

- หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๒ มีนาคม - เมษายน ๒๕๔๗ -