แม่ของผู้เสียสละ - อุษา เกสรสุคนธ์ -


เสียงกริ่งโทรศัพท์ทำลายความเงียบในห้องพักผ่อน เธอวางมือจากงานถักโครเชต์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งทิ้งหนังสือการเย็บปักถักร้อยไว้ให้ แล้วกำชับเชิงบังคับกลายๆ "ถักไปเรื่อยๆ ให้จิตอยู่กับงาน" เธอซาบซึ้งน้ำใจของเพื่อนรักที่เต็มไปด้วยความห่วงใย นับแต่การจากไปของลูก แม้การดำรงชีวิตจะเป็นไปตามปกติ แต่ในใจยังคงทุกข์ระทม ความสุขได้หายไปจนหมดสิ้น เธอพอเข้าใจสัจจะแห่งชีวิต หากแต่ความรัก ความคิดถึง เสียดายอาลัยอาวรณ์ ยากจะขจัดได้ คนในครอบครัวและผู้ใกล้ชิดเท่านั้น จึงรู้ว่า ความสูญเสีย ได้ทิ้งบาดแผลในใจล้ำลึกนัก บ่อยครั้งเธอคิดว่า ตัวเองเสียสติไปหรือเปล่า การพูดคนเดียวซึ่งเธอคิดว่าคุยกับลูก การอยู่คนเดียวตามลำพังเป็นความพอใจอย่างยิ่ง บางครั้งเธอคิดว่า อาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เมื่อสักวัน ลูกเดินเข้าประตูบ้านมา หรืออาจ เห็นลูก อยู่ในกลุ่มคนที่ใดสักที่หนึ่ง ขอเพียงให้แม่รู้ว่า ลูกอยู่ที่ใดในพื้นพิภพนี้ แม่จะดั้นด้น ไปหาลูกให้จงได้ สามีบอกเธอว่า "ลูกได้สถิตย์อยู่ในดวงใจของเราแล้ว ชั่วนิรันดร์ ไม่ต้อง ตามหาอีกต่อไป"

กริ่งโทรศัพท์กังวานซ้ำ เธอแนบหูฟังพลางกล่าวทักทาย ข่าวสารจากโรงเรียนการบิน กำแพงแสน แจ้งว่า เธอได้เป็น "แม่ดีเด่น" คนหนึ่งของปีนี้ กับหมายกำหนดการ เข้ารับ รางวัล พระราชทานให้ทราบล่วงหน้า เมื่อวางหูเครื่องรับลง เธอยืนมองภาพถ่าย ขนาดใหญ่มาก บนฝาผนัง นักบินยิ้มร่า ในเครื่องบินฝึก ประกายตาฉายแวว แห่งความ ภาคภูมิในอาชีพ คำถามผุดขึ้นในใจ "แม่ควรยินดี หรือเสียใจ กันแน่ เกียรติยศนี้ แลกด้วยชีวิตลูก" ในความ เป็นจริง ตัวลูกต่างหาก ที่ควรได้รับรางวัล "ลูกกตัญญู" เพราะการปฏิบัติต่อพ่อแม่ อย่างดีเยี่ยม ในทุกทาง ลูกเป็นความงดงาม ในชีวิตพ่อแม่มา ตั้งแต่เกิด ลูกได้ทำหน้าที่ ส่วนของลูกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เธอเคยชม รายการโทรทัศน์ แม่ดีเด่นแต่ละ ปี ส่วนมาก คือผู้ทำคุณประโยชน์ ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ในด้านต่างๆ บ้างก็เป็นแม่ที่เลี้ยงลูก หลายคน ด้วยความ อุตสาหะ ฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ จนลูกทุกคนเติบโต มีการ ศึกษาดี เจริญก้าวหน้า ในอาชีพการงาน จึงคู่ควรกับรางวัล เกียรติยศ แล้วเธอล่ะ นอกจาก ความรักลูก ล้นเหลือแล้ว เธอปลูกฝังอะไรในตัวลูกบ้าง

ความคิดคำนึงย้อนหลังไปเมื่อสามสิบสามปี ที่แล้ว เมื่อเธอให้กำเนิดทารกชายที่น่ารัก แข็งแรง ผิวสะอาดใส ตัวกลมป้อม จากชีวิตครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้น อยู่กันตามลำพัง สามชีวิต พ่อ แม่ ลูก บางครั้งความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก แต่พ่อแม่ช่วยกันเลี้ยงดู อย่างทะนุถนอม ลูกเลี้ยงง่าย แต่ซนมาก พอเริ่มพูดได้หลายคำ ก็ชอบซักถามสารพัดเรื่อง หากคำตอบ ไม่สมเหตุสมผล ลูกจะถามไม่หยุด

พ่อ "เอ้า กินผักบ้างลูก"
ลูก "ทำไมต้องกินผักครับ"
"กินผักแล้วโตไว"
ลูก "ทำไมแม่ไม่กินผักล่ะครับ"
"แม่ก็เลยตัวเล็กไง นี่เห็นไหม พ่อตัวโต เพราะพ่อชอบกินผัก"
แล้วการโต้ตอบของสองพ่อลูกก็ยุติ ลูกและแม่กินผักโดยดี

การเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนไม่มาก ไม่มีรายได้เสริมอื่นใด แต่ความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ถึงกับเดือดร้อน งานบ้านทุกอย่างเธอทำเอง ตั้งแต่ ทำความสะอาดบ้าน เตรียมอาหารและเสื้อผ้าให้พ่อและลูก ยกเว้น งานหนักเกินกำลัง สามี จะช่วยด้วยความเต็มใจครอบครัวนี้ไม่เคยมีใครอื่นช่วยงานบ้าน พ่อใช้ รถจักรยานยนต์ ไปทำงาน ลูกขี่จักรยานไปโรงเรียน แต่เช้าทุกวัน เธอก็ขี่จักรยานไปสอน ในโรงเรียน ประถมศึกษา ห่างบ้านพักประมาณ ๓ กม. จนกระทั่งลูกอยู่ชั้นมัธยม จึงมีรถยนต์มือสองใช้ มีบ้านเล็กหลังหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ลูกได้รับการสอน เรื่องความประหยัด และให้พอใจ ในสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว ลูกได้ทุกอย่าง ตามความจำเป็น ของเล่นจะซื้อให้ เฉพาะวันพิเศษ ปีใหม่หรือวันเกิด นอกเหนือจากนั้น ลูกต้องเก็บเงิน ค่าขนมไว้ซื้อของเล่น นอกโอกาสเอง จนลูกโตขึ้น มีคำล้อเลียน ในครอบครัวว่า "ลูกอย่าซื้อนี่เลยนะ มันแพง เรายังจนอยู่"

แม่คิดเสมอว่า โชคดีที่มีลูกเชื่อฟังคำสั่งสอน แต่คำสอนนั้นต้องมีเหตุผลดีพอ "ลูกคบ เพื่อนได้ทุกคน แต่คนที่ควรสนิทด้วยมากคือเพื่อนที่ตั้งใจเรียน จะได้คอยช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน เป็นที่ปรึกษากันในบางวิชาที่ไม่เข้าใจ เพื่อนดีจะไม่ชักนำเราไปในทางไม่ดี ในวัยเรียนควรให้ความสำคัญ ต่อการเรียนมากกว่าเรื่องอื่น" นั่นคือการสอนที่ค่อนข้าง เอาจริงเอาจัง ส่วนใหญ่ลูกจะเล่าทุกเรื่องให้พ่อแม่ฟัง ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับลูกที่พ่อแม่ไม่รู้ การตัดสินใจทำกิจกรรมบางอย่าง ลูกมักขอความคิดเห็นและให้พ่อแม่รับรู้ "แม่ครับ กอล์ฟจะสมัครชกมวย โรงเรียนมีการแข่งกีฬาประจำปี" ลูกไม่ค่อยพอใจ เมื่อแม่ ไม่อนุญาต "การชกมวย ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็เจ็บตัวอยู่ดี ถ้าพลาดพลั้งบาดเจ็บมาก ก็อันตราย ลูกเลือกกีฬาอย่างอื่นเถอะ" วันต่อมา ลูกบอก "กอล์ฟเชื่อแม่แล้ว ไปอ่าน หนังสือในห้องสมุด พูดถึงอันตรายจากการชกมวยว่า นักมวยดังหลายคน ผ่านสังเวียน มากครั้ง ในบั้นปลาย ชีวิตมักพิการ โดยเฉพาะส่วนศีรษะ สมองได้รับการกระทบ กระเทือน กอล์ฟไม่สมัครแล้ว"

อีกครั้งหนึ่งที่ลูกทำตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจ นัก เมื่อแม่บอก "ลูกมีเวลาว่าง เล่นและดูทีวี มากไป ไม่ได้ประโยชน์ ไปสมัครเล่นดนตรีในดุริยางค์ของโรงเรียนดีกว่า" เป็นเพราะไม่อยาก ขัดใจแม่ ลูกเลือกเล่นเครื่องเป่า คอเนต ซ้อมไม่กี่วัน ลูกก็ได้ร่วมกิจกรรมของโรงเรียน แสดงความสามารถ ในขบวนพาเหรดบ่อยครั้ง นับเป็นความรู้พิเศษ ติดตัวจนอยู่โรงเรียน นายเรืออากาศ ได้ร่วมแสดงแฟนซีดริล แล้วลูกก็ปลื้มใจ "ดีนะที่แม่ให้กอล์ฟไปเข้าวง ดุริยางค์ ของพรหมานุสรณ์ เลยได้พื้นฐาน"

ขณะลูกเรียนอยู่เทอมปลายของชั้นมัธยม สาม ทางโรงเรียนเชิญรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่กำลัง ศึกษาอยู่ โรงเรียนนายเรืออากาศ มาแนะแนวทางเลือกศึกษาต่อ ระดับอุดมศึกษา ลูกประทับใจ รุ่นพี่คนนั้นมาก จึงค้นคว้าหาข้อมูลการเตรียมตัวสอบ เป็นเพราะลูก ติดพ่อมาก ตั้งแต่เล็ก พ่อเป็นวีรบุรุษในใจลูก คราวนี้พ่อได้ตำแหน่งพี่เลี้ยงช่วยฝึกฝน เพื่อให้ผ่านการสอบ ด้านสมรรถภาพทางร่างกาย หลายเดือน ก่อนการสอบคัดเลือก พ่อเตรียม อุปกรณ์ต่างๆ ให้ลูกฟิตซ้อมร่างกาย ทำบาร์เดี่ยวไว้ให้ดึงข้อ ช่วย จับความเร็ว ในการวิ่ง ว่ายน้ำ ฯลฯ ปลายปีถัดมาลูกจบมัธยมสี่ ลูกสามารถทำเวลาได้ตามกำหนด ในกีฬา ทุกประเภทที่ต้องทดสอบ เนื่องจากฝึกซ้อมทุกวัน ในสนามสอบ พ่อไปเป็นเพื่อน และช่วยดูแลลูก การสอบดำเนินต่อเนื่องกันหลายอย่าง เพื่อวัดความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ละคน เหนื่อยหอบแทบเป็นลม ลูกก็เช่นกัน พ่อคอยประคบด้วยผ้าเย็น ขณะพักเหนื่อย แม่แทบไม่มีส่วนร่วม ในช่วงนี้เลย นอกจากคอยให้กำลังใจ การสอบผ่านพ้นไป ทั้งข้อเขียน พลศึกษา และการสัมภาษณ์ เป็นช่วงรอผลลุ้นระทึก

คืนหนึ่งที่บนฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวกระพริบ แสงระยิบระยับราวประกายเพชร ลูกนอน เหยียดหนุนตักแม่ บนระเบียงบ้าน เธอยังจำคำของลูกได้ว่า "แม่จะผิดหวังไหม ถ้าสอบ ไม่ผ่าน กอล์ฟเรียนไม่ดีมาก ไม่ได้เป็นที่หนึ่งของห้อง" เธอลูบศีรษะลูกด้วยความรัก "แม่ดีใจ และภูมิใจในตัวลูก ถึงจะไม่เก่งที่สุด แต่การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี ที่สำคัญ ลูกเป็นเด็กดี แม่ไม่เคยหนักใจ เกี่ยวกับความประพฤติของลูก ถ้าสอบไม่ได้ไม่ต้องเสียใจ มีหนทางอื่น ที่ลูกจะเลือกเรียนต่อได้อีกหลายทาง ทำใจเป็นกลาง อย่าตั้งความหวังว่า จะต้องได้ เพื่อจะได้ ไม่ผิดหวัง ถือเสียว่า ลูกได้ทำเต็มที่และดีที่สุดแล้ว" "กอล์ฟเคย ได้ยินว่า ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ถ้าเห็นดาวตก เราขออะไรก็จะได้ตามนั้น" เธอและลูก ต่างมอง ไปยัง กลุ่มดาว ฉับพลันดาวดวงหนึ่งพุ่งวูบจากท้องฟ้า เธอรีบภาวนาในใจ เสียงลูก เอ่ยถาม "แม่ขออะไรครับ" "ขอให้ลูกแม่ผ่านการสอบเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศได้น่ะซี"

บางเรื่องลูกซึมซับจากพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องสอนด้วยวาจา และถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่พึงมีในจิตใจ คือความกตัญญู การกระทำของพ่อแม่นับเป็นแบบอย่าง ที่ดีที่สุด ยิ่งกว่า คำสอน เมื่อยังเล็ก ประมาณชั้น อนุบาล ลูกเคยถามเธอว่า "ทำไมแม่ต้องให้เงินยาย ทุกเดือน" เธอพยายามหาคำอธิบาย อย่างง่ายพอที่เด็กเข้าใจได้ "ยายเป็นแม่ของแม่ เลี้ยงแม่มาตั้งแต่เกิด เหมือนแม่เลี้ยงลูก นี่แหละ ให้กินข้าว กินขนม ไม่สบายก็ป้อนยา ซื้อเสื้อผ้าให้ใส่ ให้ไปโรงเรียน จนแม่ เรียนจบ แล้วมีงานทำ มีเงินเดือน แม่ก็ให้ยายบ้าง เป็นการตอบแทนพระคุณ ยายแก่แล้ว ทำงานไม่ไหวด้วย" พอลูกโตขึ้น เธอให้ลูกนำซอง ใส่เงิน ไปให้ยายบ้าง เอาของกินไปให้บ้าง กำชับให้ทำความเคารพผู้ใหญ่ทุกคน ด้วยเหตุฉะนี้ เมื่อลูกรับเงิน เดือนแรก ในตำแหน่ง เรืออากาศตรี ลูกนำเงินใส่มือพ่อแม่ พร้อมกราบลงตรงบ่า

เธอครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ถึงสายใยแนบแน่นระหว่างเธอและลูก ผู้ใหญ่หลายคน ทั้งที่เป็น ญาติ และไม่ใช่ญาติ ต่างเตือนเหมือนห่วงใย "เลี้ยงให้ดีนะ ลูกคนเดียว มันจะดื้อเกเร ว่ายาก สอนยาก ยิ่งเป็นผู้ชายและเกิดวันเสาร์ด้วย" แต่ลูกกลับเป็นตรงกันข้าม กับความวิตก เหล่านั้น เป็นเพราะพื้นฐาน ที่ติดตัวลูกมาดี หรือเป็นเพราะลูกรู้ว่า ลูกเป็น สิ่งแทนความรัก ทั้งหมด ที่พ่อแม่มีอยู่ในหัวใจ จึงตั้งชื่อลูกว่า "อนุสรณ์"สียงตักเตือน เปลี่ยนเป็นคำชม "เลี้ยงลูกอย่างไรจึงดีเช่นนี้ เป็นลูกที่รักพ่อแม่ ติดบ้าน" ลูกไม่ค่อย ไปไหนกับกลุ่มเพื่อน ในวันหยุด ชอบนอนดูทีวีและอ่านหนังสือการ์ตูน มากกว่า ลูกรู้ดีว่า เวลาไหนควรทำอะไร แม่เป็นครูแต่ชอบที่จะให้ลูกเรียนอย่างมีความสุข ไม่เคร่งเครียด เกินไป มีบางครั้ง ลูกขอ อนุญาตไปกับเพื่อนสนิท "กอล์ฟไปบ้านจ๊อย สองชั่วโมงนะครับ" แล้วลูกกลับมาตรงเวลา ตามสัญญา บางคนถึงกับชมว่า "เขาเป็น อภิชาตบุตรนะ" บ้างก็ถือลูกเป็นแบบอย่าง ไปสอนลูกตัวเอง "ดูอย่างพี่กอล์ฟสิ เรียนเก่ง สุภาพเรียบร้อย เป็นคนดี เป็นนายทหาร ด้วย" เป็น เพราะลูกดีเกินไป สำหรับ ครอบครัวเรา หรือ เป็นเพราะ พ่อแม่บุญน้อย จึงมีลูกอยู่ด้วย ได้ไม่นาน หรือเป็นเพราะ" สิ่งใดที่รักมากที่สุด มักถูกพราก ไปก่อนเสมอ" เธอเช็ดน้ำตา ที่เริ่มหลั่งริน เพื่อเพ่งมอง อีกภาพหนึ่งให้ชัดเจน นายทหารหนุ่มในชุด เครื่องแบบสีกรมท่า เต็มยศ ประดับกระบี่สั้น ด้านข้างซ้าย ยืนตรงหน้าอนุสาวรีย์บุพการี แห่งกองทัพอากาศ ถัดมา เป็นวันที่ทำพิธี เข้ารับ การติดปีกบิน คราวจบหลักสูตร ศิษย์การบิน วันนั้น พ่อแม่ ว่าที่นักบินแต่ละคน ล้วนปลาบปลื้มในความสำเร็จของลูกๆ ต่างแสดงความยินดีต่อกัน ใครเลยจะรู้ว่า อีกไม่กี่ปีต่อมา รอยยิ้มถูกแทนที่ด้วยน้ำตา

จากเด็กชายตัวน้อย ลูกเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวฐานะปานกลางที่แสนธรรมดา ทว่า ได้รับความรัก ความอบอุ่นท่วมท้น เธอแน่ใจว่า บ้านช่วยเสริมสร้างให้ลูกเป็นคนดี แต่เกียรติภูมิของลูก คือโรงรียนนายเรืออากาศ ได้หล่อหลอมให้ลูกเป็นชายชาติทหาร มีระเบียบวินัย เคร่งครัดต่อกฎระเบียบ ลูกสง่างาม เป็นสุภาพบุรุษสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี นายทหาร แห่งกองทัพอากาศ มีความรับผิดชอบสูงต่อการปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ จนวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต "แม่ดีเด่น ประเภท แม่ของผู้เสียสละ" คงเข้ารับรางวัลด้วยน้ำตา หาใช่ด้วยรอยยิ้ม เฉกเช่นแม่ดีเด่นประเภทอื่นไม่

ภาพถ่ายนั้นดูราวกับลูกได้มายืนอยู่ต่อหน้า ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มจ้องสบตาเธอ รอยยิ้ม เล็กน้อย ตรงมุมปากราวจะปลอบประโลมใจ "รางวัลนี้คือสิ่งสุดท้ายที่ลูกมอบให้ เฉพาะแม่ เพียงผู้เดียว" หยาดน้ำตาพร่างพรูเหมือนสายฝน ช่างมากมาย เหมือนจะหยุด ไม่ได้ "แม่เต็มใจรับไว้ ด้วยถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของครอบครัวเรา เป็นเครื่องเตือนใจ ให้ระลึกถึง ความดีและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของลูก ไปตราบนานเท่านาน"

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๗ -