ปัจฉิมลิขิต - กอง บก. -

ก่อนสิ้นแสงตะวัน
คำร้อง : "ยุบลรัตน์"
ทำนอง : สง่า ทองธัช

แดดเรืองแสงร้อนแรงคลุมหล้าวับวาม
แผ่รังสีในยามตะวันมิจร
อย่าระเริงหลงว่าเวลาผันผ่อน
จะพาร้อนใจ
แดดอ่อนแสงร้อนแรงพลันคลายมิคง
อย่าลืมหลงเวลาล่วงเลยล้ำไป
อย่ามัวเพลินหลงว่าเวลานั้นไม่-
ควรสนใจคำนึง
จงคิดอย่าเมินมอง
แดดอ่อนรองเรืองรำไรนั้นไซร้ควรคิดแหละพึง-
สำนึกดูเสียสมพอใจจึ่ง...
ซึ้งในคุณและค่าตะวัน
ก่อนสิ้นแสงตะวันจะจากลับไกล
โปรดจำไว้คือวัยล่วงไปพร้อมกัน
จึงควรตรองเสียก่อนอย่านอนหลงมั่น
วัยและวันจะผ่าน


คราวนี้มีข้อคิดดีๆ มาฝากท่าน ผู้อ่าน เป็นข้อคิดของศาสตราจารย์ คุณหญิงเต็มสิริ บุณยสิงห์ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือน ปักษ์แรก มกราคม ๒๕๓๗ หน้า ๑๐๘ (ถึงจะผ่านมาแล้วกว่าสิบปี ก็ยังปฏิบัติได้ ไม่ล้าสมัย แต่ให้ผลดีแก่ผู้ปฏิบัติแน่นอน)

อันความสุขปีใหม่นั้น ส่วนใหญ่จะเกิดจากความประพฤติปฏิบัติของตัวเราเอง และความชื่นชมจากการ แสดงน้ำใจ ที่ญาติพี่น้อง ศิษย์ และผู้คุ้นเคยมอบให้ หากจะให้พรเหล่านั้นบรรลุจุดหมาย ดิฉันขอมอบชุด ๔ ย เป็นของขวัญแก่ท่านผู้อ่าน คือ

ย ยิ้มแย้ม เพื่อแสดงไมตรี จิตและความเป็นมิตร โดยไม่ต้อง ลงทุนอะไรเลย แล้วยังกำจัดศัตรูไปในตัว
ย ยินยอม วิธีชนะที่ยืนยงที่สุดคือการเอาชนะด้วยการยอมแพ้ ใช้ได้ทุกที่ทุกโอกาสที่สมควร
ย ยกย่อง ยกย่องคนดีคนเก่งด้วยความจริงใจ เพื่อให้กำลังใจแก่เขาเหล่านั้น และป้องกันตัวเราออกจากความอิจฉาริษยา
ย ยืดหยุ่น ปรับตัวของเราให้เข้ากับคนอื่นให้ได้ ด้วยมนุษย-สัมพันธ์อันดี ไม่ใช้ตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วตัดสินหรือวัดทุกสิ่งทุกอย่าง
ย ยืนหยัด อะไรดีอะไรถูกต้องจะไม่ลดตัวไปค้านด้วยกาย วาจา ใจ อย่างมีอุดมคติและอุดมการณ์ และไม่เห็นแก่ตัว
๕ ย นี้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้แก่ตัวเอง ทำได้จะมีแต่ความสุขความเจริญ



ผมอยากหาทางพ้นทุกข์ตามหลักพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีวิธีทำง่ายๆ อย่างไรบ้าง
* ยุทธ หงษ์สามสิบเจ็ด/แพร่

- วิธีง่ายๆ คงจะไม่มีหรอกค่ะ นอกจากว่าเราเป็นคนมีบารมีจริงๆ ถึงจะทำได้ง่ายๆ อย่างเช่นคำสอนสั้นๆ ที่ดิฉันจำได้ "ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญ" "ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ" "พระเสขะผู้ประกอบด้วย องค์ ๘ (มรรค ๘) จึงเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วยองค์ ๑๐ (มรรค ๘ และ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ) " สรุปทางพ้นทุกข์ทางตรง ๓ ทางคือตั้งตนบนความลำบาก รักษาศีล และปฏิบัติมรรค ๘



ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขกับการเป็นแม่บ้านให้สามี ดิฉันออกจากงานมาเป็นแม่บ้านให้สามี ไม่มีลูก เลยเหงา งานบ้านทำเสร็จเร็ว เวลาที่เหลือก็จะอ่านหนังสือ เขียนจดหมาย แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองคุณค่าน้อยลง เพราะไม่ได้รับเงินเดือนเหมือนเมื่อก่อน ดิฉันทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่อายุ ๑๘-๓๘ ปี ตอนนี้หยุดพัก ไม่รู้จะทำอะไร ความรู้น้อยแค่ ม.๖
* ธราวดี มาลาวรรณ/ชลบุรี

- ปลูกต้นไม้สิคะ ถ้ามีที่ว่างบริเวณบ้าน ถ้าไม่มีพื้นที่ ก็หากระถาง มาปลูกต้นไม้ไว้ที่ระเบียงบ้านได้ ปลูกโหระพา กะเพรา พริก ต้นหอม มะเขือ หรือผักอื่นๆ ที่กินอยู่ประจำ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ถ้าพอมีสตางค์เหลือเฟือ ก็ทำอาหารไปเลี้ยงนักเรียนในโรงเรียนยากจนที่ ไม่ไกลเกินไปนักบ้างก็ได้ หรือจะทำ อาหารมังสวิรัติไปถวายพระ แล้วก็ช่วยล้างจานหลังพระฉันเพล หรือจะขอที่วัดปลูกผัก สำหรับทำอาหาร ถวายพระก็ยิ่งดี (ชวนสามีมาช่วยกันปลูกด้วยนะคะ) โอ้... งานมีเยอะ ค่ะ ถ้ายังมีเวลาว่างอีก คุณหา หนังสือดีๆ มาอ่านบันทึกเทป ส่งไปให้ห้องสมุดคลอฟิลด์สำหรับคนตาบอดก็ดีเหมือนกัน



ทำไมฉันโกรธ ไม่รู้ว่าตัวเองผิด พอหายโกรธแล้ว รู้สึกว่าฉันอยากบอกว่า ที่ด่าไป ฉันขอโทษ แต่ไม่กล้าเอ่ย ออกมา รึว่าฉันเป็นคนขี้ขลาด ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ไม่กล้าเอ่ยปากกับเพื่อนสักที ได้แต่บอกในใจว่าขอโทษ แต่ภายนอกไม่กล้ารับความจริง
* เรณู เถาจันทร์ตรี/ลำปาง

- คนเรานี่ก็แปลกนะ กล้าทำผิด แต่เวลาจะทำดีกลับไม่กล้า ดิฉันปรารภกับตัวเองอย่างนี้เสมอ เวลาที่คิด จะทำ ความดี แต่ไม่กล้าทำ เคยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่าเธอต้องทำนะ ขอให้ทำเถอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อย มีใครทำ เราต้องทำ ทำแล้วมีประโยชน์จริงๆ ใครเห็นก็ชื่นชม อิ่มใจ และคิดที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอีก สำหรับบางคนที่อาจจะมีความรู้สึกในเชิงลบนั้น อย่าเอามาเป็นอารมณ์เลยค่ะ เราทำอะไรเขาก็ไม่พอใจ ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นทำความดีทิ้งไว้ในโลกดีกว่า การเอ่ยคำว่า "ขอโทษ" ก็เป็นความดีประการหนึ่ง



ในชีวิตมนุษย์ สิ่งใดเป็นสิ่งประเสริฐเลิศล้ำที่สุดและมนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อจุดมุ่งหมายอันใด
* สามเณรจตุพล พรานบุญ/นครปฐม

- กรรมหรือการกระทำเป็นสิ่งประเสริฐสุด มนุษย์เกิดมาเพื่อสร้างสมกรรมดี



ตอนนี้ใกล้จะสอบแล้ว ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย งานที่อาจารย์ให้มาก็ยังค้างเต็มเลย ผมทำงาน ๑๒ ชั่วโมง คือเข้างานสองทุ่ม เลิกแปดโมงเช้า บางวันนั่งทำ ก.ร.ต. จนเกือบเที่ยง พอตอนเย็นไม่อยากจะลุกเลย มัน
เพลียมากเลยครับ
* สมาน นามวงศ์/กทม.

- ทำงานด้วยเรียนด้วย ก็ลำบากหน่อยนะคะ แต่ความลำบากนี่แหละสร้างคน ว่าแต่ ก.ร.ต. นี่อะไรล่ะคะ



ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหมวก ๖ ใบเท่าไร อาจจะเป็นเพราะสูงอายุแล้ว ไม่ได้เข้าสังคม ไม่ได้บริหารงานอะไร แต่ชอบใจคำว่า "ความขัดแย้งนำไปสู่ความมหัศจรรย์" เพราะปกติจะหลีกหนี ถ้าเราไม่สามารถโต้ตอบได้ เพราะพอโต้ตอบก็เกิดการขัดใจ มองหน้ากันไม่ติด เมื่อรู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์ ขัดแย้ง ก็จะค่อยๆ เขยิบตัวเอง ออกมา คิดว่าตัวเองคงร่วมงานกับเขาไม่ได้ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร จะถูกใจเขา โดยเฉพาะคนมีฐานะ และการเงินสูง จึงขอใช้วิธีหลีกดีกว่า
* สุภา ศิริบุญ/สุโขทัย

- หมวก ๖ ใบแทนจริตนิสัยหรือมุมมองต่างๆ ของคน ถ้าเรายอมรับความจริงว่าแต่ละคนมีธรรมชาติและวิธีคิดของตนเอง เข้าใจและให้โอกาสผู้อื่นได้แสดงตัวตนของเขา เราก็จะได้ขยายโอกาสการเรียนรู้ของตนเองด้วย บ้าน หน่วยงาน ชุมชน สังคมใดก็ตามส่งเสริมให้มีความแตกต่างหลากหลาย ก็จะสามารถสร้างสรรค์ "สิ่งมหัศจรรย์" ขึ้นได้ คนเราถ้าอยู่แต่กับคนที่ไม่คิดต่าง ก็ไม่มีโอกาสค้นพบสิ่งใหม่ ข้อสำคัญผู้นำต้องมีความสามารถในการบริหารความขัดแย้ง

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณครูสั่งให้นักเรียนทั้งห้องเรียนทำรายงาน เรื่องเดียวกันตามที่ครูกำหนดให้ ทั้งครูและนักเรียนก็จะได้รับความรู้เรื่องนั้นเรื่องเดียว แต่ถ้าคุณครูให้นักเรียนเลือกทำรายงานได้ตามที่ นักเรียนสนใจ แล้วนำความรู้ที่แต่ละคนได้รับมาแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน ทุกคนก็จะได้รับความรู้หลากหลายกว่ากันหลายเท่า เพียงแต่ครูจะต้องทำงานหนักหน่อย เพราะจะต้องแนะนำแหล่งข้อมูลที่นักเรียนแต่ละคนจะไปค้นหาเรื่องที่สนใจได้ จะต้องให้คำแนะนำการวางโครงเรื่องรายงานที่แตกต่างกัน และจะต้องยอมรับว่าครูไม่ได้รู้ทุกเรื่อง จึงพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมกับนักเรียน

ผู้ใหญ่ ผู้นำ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจ หรือผู้อื่นใดๆ ในลักษณะเดียวกันนี้ ที่ไม่มีความสามารถในการบริหารความขัดแย้งก็จะไม่ค่อยอยากฟังความเห็นที่แตกต่าง ไม่อยากเห็นการกระทำที่แตกต่าง เราผู้น้อยสงบปากสงบคำไว้ก็ดีแล้วค่ะ ตามสุภาษิตไทยว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" หรือ "เจ้าว่างาม ก็ว่างามไปตามเจ้า" เพื่อความสงบสุขของชีวิต แต่อาจไม่ส่งผลดีต่อสังคม การที่จะแสดงความเห็นต่างหรือประพฤติตนต่างออกไปต้องอาศัยความกล้าหาญและความเสียสละ ถ้าเราเห็นว่าเป็นผลดีต่อส่วนรวมจริงๆ ก็น่าจะลองดูบ้าง แต่ต้องพร้อมยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย

สิ่งที่อยากฝากคือถึงแม้เราจะเป็นคนเล็กคนน้อยอย่างไร ทุกคนก็มีคนที่เล็กกว่า เปิดใจรับฟังเขาบ้างนะคะ



ในครอบครัว ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่กินมังสวิรัติ จะโดนตั้งคำถามตลอดทั้งที่บอกไปแล้วว่า เพื่อลดการฆ่าสัตว์ ให้น้อยลง เขาก็ยังถามว่าไม่กลัวขาดสารอาหารหรือ กินเฉพาะวันพระได้ไหม และจะต้องทำอย่างไรให้สามีเข้าใจมากขึ้น
* พิงพวย แต้มชัยภูมิ/กรุงเทพฯ

- หาคำตอบอื่นบ้างสิคะ ทั้ง คนถามและคนตอบจะได้ไม่เบื่อ เช่น กินเพื่อสุขภาพ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ชวนให้กินผักมากกว่ากินเนื้อนะคะ แล้วยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันประเดี๋ยวก็สัตว์ประเภทนั้นเป็นโรคนั้น สัตว์ประเภทนี้เป็นโรคนี้ หรือตอบว่าอาหารผักปรุงง่าย จะต้มหรือผัดก็ใช้เวลาไม่นาน ประหยัดก๊าซ ประหยัดไฟ หากอารมณ์ดีกันทั้งสองฝ่าย ก็อาจจะตอบว่า ไม่อยากใช้พุงของเราเป็นสุสานฝังศพ ถ้าคุณเป็นคนใจร้อน คุณก็บอกได้ว่า ฝึกเจริญเมตตา เผื่อว่างดกินเลือดเนื้อแล้ว จะใจเย็นลงบ้าง

สำหรับเรื่องสารอาหาร เราก็ต้องดูแลให้ครบถ้วนค่ะ ถั่ว งา ผัก ผลไม้ อย่าให้ขาด

ถ้าคุณเลิกอาหารเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาดแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับไปกินอีกเลย แทนที่คุณจะแก้ปัญหาด้วยการหันกลับไปกินเนื้อสัตว์อีก คุณน่าจะฝึกจิตใจไม่ให้รำคาญ คนถาม เขาถาม เราก็ตอบ เขายังไม่เข้าใจ ถามอีก เราก็ตอบอีก พยายามคิดหาถ้อยคำใหม่อธิบายให้เขาเข้าใจ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้โกรธหรือหงุดหงิด เขาจะได้เห็นอานิสงส์ว่างดกินเนื้อสัตว์แล้ว อารมณ์ดี ใจเย็นจริงๆ
เพราะเรามั่นคง คนอื่นจึงมั่นใจค่ะ



เมื่อมีโอกาสก็สนทนาในเรื่องการเลิกละ ไม่อยากให้ติดอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงที่เป็นข้าศึกต่อกุศล แต่เขาบอกว่าเขาทำใจไม่ได้ ติดรสอร่อย ถ้าหากรสไม่อร่อยแล้ว กินไม่ได้ ทำงานก็ไม่มีแรง ข้าพเจ้าก็ได้แต่บอกไปว่า มันก็เกี่ยวกับบุญบารมี ใครเลิกได้ก็เลิกเอา ใครเลิกไม่ได้ ก็ยังไม่ถึงเวลา เขาไม่ทำผิดกฎหมายก็เป็นบุญแล้ว
* สมนึก ป้องหลักคำ/นครพนม

- บอกเขาด้วยนะคะว่า บุญบารมีน่ะสร้างได้ หัดฝืนใจตัวเองบ้าง ความดีอะไรที่ยังทำไม่ได้ ลองพยายามทำ นิดหน่อยก็ยังดี



ถ้าคนไปทำบุญแล้ว สิ่งของเงินทองมากกว่าคนอื่น และคนทำบุญน้อย สิ่งของเหมือนกัน แต่น้อย ได้บุญเท่ากันหรือเปล่า ได้ยินคนพูดกันว่า เราทำบุญน้อย ไม่เหมือนคนอื่น เขาทำมาก
* จันทร์เพ็ญ บุญทังที/อุบลราชธานี

- บุญมากบุญน้อยอยู่ที่ใจค่ะ ไม่ได้อยู่ที่ของ ถ้าให้ด้วยใจเสียสละจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าให้ของรักของหวง ของที่ท่านขาดแคลน สิ่งที่ไม่ผิดศีลธรรม แล้วก็ให้แก่คนดีมีศีลธรรม อย่างนี้ถึงจะเป็นบุญ แต่ถ้าให้แล้ว ตั้งจิตขอโน่นขอนี่ ขอให้กุศลผลบุญส่งให้ตนเองได้ลาภได้ยศ ได้นั่นได้นี่ อย่างนี้ได้บุญน้อย เพราะให้ด้วยจิตขี้โลภ



ถ้ากระแสโลกยังมัวเมากันอยู่เช่นนี้ การเกิดเป็นมนุษย์จะมิเป็นการเกิดมาเพื่อสร้างบาปกันหรือ เพราะมีสิ่งเร้ามากระตุ้นกิเลสแทบทุกนาที
* มานพ ไตรเจริญวัฒนะ/กทม.

- ยิ่งมีสิ่งเร้ามาก แต่เรามีอำนาจเหนือกว่า เราสามารถทวนกระแสสังคมได้ เราก็ยิ่งแข็งแรงและบำเพ็ญบารมี แก่กล้าขึ้น เหมือนนักเรียนยิ่งได้ฝึกทำโจทย์ยากๆ ยิ่งเก่ง ฉันเดียวกัน



ถ้าพ่อหรือแม่หรือญาติของเราป่วยใกล้จะตาย เข้าโรงพยาบาลแล้วใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ หมอ บอกว่าไม่รอดแล้ว จะเอาเครื่องช่วยหายใจออกไหม เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าไม่เอาออก ค่ารักษาพยาบาลก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าเราเอาออกก็เหมือนการตัดชีวิตท่าน แม้ลมหายใจจะมีนิดเดียวก็ตาม อีกเรื่องคือการบริจาคอวัยวะตนเองทั้งที่ยังเป็นๆ ให้คนอื่น โดยรับผลตอบแทนจะผิดไหม
* พระสิทธิเดช อุปสโม/นครสวรรค์

- การที่เราเอาเครื่องช่วยหายใจออก ไม่ได้เป็นการตัดชีวิตท่านนะคะ แต่ละคนก็มีเวลาที่เหมาะสมของ ตนเอง การใช้เครื่องช่วยหายใจต่างหากเป็นการฝืนธรรมชาติ ในเมื่อทรัพยากรของโลกมีจำกัด ทำไมเราต้องทุ่มเททรัพยากรมารักษาชีวิตที่ไม่มีความหวังแล้ว ในขณะที่ยังมีอีกหลายชีวิต ซึ่งถ้าได้ใช้ทรัพยากรนี้ เขาอาจจะกลับมีร่างกายแข็งแรง ทำประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป

อีกอย่างหนึ่ง เรารู้ได้อย่างไรว่า ขณะที่เราว่าเราช่วยคนป่วยนั้น คนป่วยต้องทุกข์ทรมานเพียงใดต่อการฝืนสังขารให้ดำรงอยู่

ส่วนเรื่องการขายอวัยวะ ตอบได้ยากเพราะมีเหตุปัจจัยประกอบหลายอย่าง ถ้าขายเพื่อต่อชีวิตตนเองและคนอื่นก็น่าจะไม่ผิดอะไร แต่ถ้าขายในราคาสูงมากจนคนซื้อและครอบครัวของเขาต้องทุกข์ยากลำบากมากเพื่อจะรักษาชีวิตคนคนหนึ่ง ก็ดูจะใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย อีกอย่างหนึ่ง สังคมไทยก็ยังไม่ค่อย ชินกับการขายอวัยวะทั้งของตนเองและผู้อื่น ดิฉันเองก็ยังรู้สึกแปลกๆ เพราะคิดว่าชีวิตร่างกายของคนไม่น่าจะใช้เป็นสินค้า (รวมทั้งการขายตัวและขายผู้หญิงด้วย)



ทำอย่างไรจึงจะลืมคำว่า "ศักดิ์ศรี" ได้ ข้าพเจ้ารู้ว่า ตัวเองอัตตาตัวตนสูง คำว่า "ศักดิ์ศรี" ถูกปลูกฝังมา ตั้งแต่ข้าพเจ้า จำความได้ มันยากจริงๆ ที่จะลบมัน
* คำผิง ภักมี/เลย

- ลองทำอะไรยากๆ ดูบ้างสิคะ เช่น ละอบายมุขทุกชนิด งดอาหารเนื้อสัตว์เด็ดขาด อาหารอะไรที่เคยชอบก็อย่ากิน คนมีศักดิ์ศรีต้องทำสิ่งดีๆ ในฐานะชาวพุทธได้ คุณลองทบทวนตัวเองดูหน่อยเถอะว่าในแต่ละวันทำคุณงามความดีอะไรให้แก่คนอื่นและส่วนรวมบ้าง คุณ มีความดีมากพอที่จะที่จะถือได้ว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีแล้วหรือยัง



๑. ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเก่ง แต่เราไม่เคยไปคุยกับใครๆ ว่าตัวเราเก่ง คือว่าคิดไปคนเดียวจะผิดไหมคะ
๒. ถ้าหากว่าเราสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน แล้วอธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองเราและบุพการี จะเป็นไปได้ไหมคะ
* นันทิยา ประสงค์เงิน/สิงห์บุรี

- ๑. ถ้าเกิดสถานการณ์ต้องการคนเก่งมาช่วยทำงาน หรือช่วยแก้ปัญหาอะไรบางอย่างที่เราคิดว่าเราทำได้ แล้วก็ไม่มีคนอื่นทำด้วย แต่เราก็ไม่บอกใครว่าเราทำได้ ดิฉันว่าน่าจะผิดนะ แต่ถ้าสถานการณ์ปกติ เราก็ไม่ต้องไปบอกใครหรอกค่ะว่าเราเก่ง แค่เราทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มันก็แสดงตัวอยู่แล้วว่าเราเก่งหรือเปล่า

๒. อธิษฐานไม่ได้แปลว่า "ขอ" นะคะ แต่แปลว่า "ตั้งใจ" เพราะฉะนั้นเวลาสวดมนต์หรือทำบุญใดๆ ก็แล้วแต่ ควรตั้งใจว่าจะประพฤติตนเป็นคนมีศีล ดำรงตนอยู่ในธรรม ความตั้งใจของเราจะเป็นพลังเสริมให้เรามั่นคงในคุณงามความดี และคุณความดีของเราจะคุ้มครองเราเอง ตามพุทธศาสนสุภาษิตว่า "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" เราชาวพุทธต้องพึ่งคุณธรรมของเราเองค่ะ อย่าไปคิดพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เลย



๑. ทำไมญาติธรรมบางคน ทำไม่ได้ก็ลาออกจากงาน ยังเห็นเขารับประทานปลาอยู่
๒. อาหารมังสวิรัติเดี๋ยวนี้ขายแพง ขนาดราคา ๒๐-๒๕ บาท เท่ากับก๋วยเตี๋ยว ๒๐-๒๕ บาท มีเนื้อหมูเลย ซื้อไม่พอกิน
๓. อยากให้เปิดร้านสาขาเรวดี เพิ่มขึ้นใกล้ๆ ตลาดเปรมสุขบ้างนะคะ
๔. ลงชื่อที่อยู่ของร้านมังสวิรัติเพื่อสะดวกไปหาร้านง่ายๆ ใกล้ๆ บ้าน
* ศรีวรรณา ชาลีวัลย์/นนทบุรี

- ๑. คนเราไม่ใช่ว่าจะทำทุกอย่างหรือหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกันหรอกนะคะ ใครทำอะไรได้ก่อนก็ทำ ส่วนที่ยังทำไม่ได้ ก็ฝึกฝนต่อไป
๒. ที่แพงๆ มักใช้แป้งหรือโปรตีนที่ปรุงแต่งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น หมู เป็ด ไก่ ปลา ลูกชิ้น ฯลฯ ใช่ไหมคะ มันปรุงแต่งยากก็เลยต้องแพงค่ะ

๓ - ๔ สองข้อนี้ต่อเนื่องกับข้อ ๒ ด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากรับประทานอาหารราคาแพงและไม่ต้องแสวงหาร้านอาหาร หัดทำเองสิคะ เริ่มจากอาหารง่ายๆ ก่อน ผัดผักสารพัดชนิดหมุนเวียนกันไปแต่ละวันค่ะ ง่ายกว่านั้นก็ต้มผักจิ้มซีอิ๊ว เต้าหู้ทอดใส่ซีอิ๊ว กินกับข้าว ก็อร่อยดีนะคะ แกงจืดเต้าหู้ ต้มน้ำให้เดือด ใส่เต้าหู้ ใส่ตำลึงหรือวุ้นเส้นลงไป (วุ้นเส้นต้องแช่น้ำให้นิ่มก่อนนะคะ) เติมซีอิ๊วเล็กน้อย น้ำตาลนิดหน่อย แล้วก็ต้นหอม ก็คงพออิ่มท้องได้ ถ้าอยากกินอาหารรสชาติแปลกใหม่บ้าง ก็ลองหาซื้อตำราอาหารเจหรืออาหารมังสวิรัติมาทำดู อีกหน่อยคุณก็จะเป็นแม่ครัวฝีมือดีได้ไม่ยากค่ะ ดิฉันโชคดีได้มาทำงานให้วัด กินข้าววัด ก็เลยไม่ต้องทำอาหารกินเอง แต่บอกคนอื่นให้เขาทำได้มาหลายคนแล้วค่ะ



ผัดผักกับเต้าหู้ทานแล้วจะเสียดท้องทุกครั้ง มีวิธีแก้อย่างไรคะ
* ทะวิน พูสี/ราชบุรี

- ไม่ทราบว่าเป็นเพราะผักหรือเต้าหู้ คุณลองผัดผักไม่ใส่เต้าหู้กินดูสัก ๗ วัน แล้วก็ทดลองผัดเต้าหู้ ไม่ใส่ผักกินดูอีก ๗ วัน ถ้าพบว่าเป็นเพราะเต้าหู้ คุณก็อาจจะเปลี่ยนไปรับประทานถั่ว ชนิดต่างๆ ต้มหรือตุ๋น ให้นิ่ม (แล้วก็อย่าลืมกินงาด้วยนะคะ) ถ้าเป็นเพราะผัก ก็ต้องสังเกตดูว่าผักชนิดไหนทำให้คุณเสียดท้อง คุณจะลองเปลี่ยนมาทำน้ำพริกผักต้มกินดูบ้างก็ได้ค่ะ พยายามรับประทานอาหารหลายๆ อย่างหมุนเวียน กันไป และสังเกตดูด้วยว่า อาหารชนิดไหนมีผลต่อ ร่างกายอย่างไร



๑. อายุยืนยาวด้วยหลัก ๗ อ. ไม่เข้าใจว่าแบบเดียวกับ ๔ อ. หรือไม่
๒. อยากทำให้คนทั้งโลกรู้ว่า ความดีคือสิ่งที่จีรังยั่งยืน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
* พรสวรรค์ บุรีรักษา/อุดรธานี

- ๑. ๗ อ. ขยายมาจาก ๔ อ. นั่นแหละค่ะ ๗ อ. ได้แก่ อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ เอนกาย (พักผ่อน) ออกกำลังกาย และเอาพิษออก
๒. ดิฉันก็เคยอยากเหมือนกัน เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าทำไม่ได้ เลยต้องลดความอยากของตัวเองลง เอาแค่เท่าที่ทำได้ เต็มกำลังความสามารถก็แล้วกัน



๑. ใครเขียนคอลัมน์ "ถ้อยคำสิริมงคล" คะ
๒. หนูเขียนเรื่องมาลงบ้างได้ไหม กำหนดหัวข้อหรือเปล่าคะ
* หนึ่งฝัน โคลนพันธ์/ศรีสะเกษ

- ๑. "สุวลี" ค่ะ
๒. ยินดีอย่างยิ่งค่ะ เขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เป็นเรื่องจริงหรือแนวคิดที่ส่งเสริมศีลธรรมจรรยา



ทำไมเมื่อก่อนเคยส่งหนังสือสารอโศกและแสงสูญมาให้ แต่พอได้ทราบว่าไม่ได้ทานมังสวิรัติอย่างเดียว เท่านั้น จึงงดส่งหนังสือมาให้
* พระบุญเรือง ทัสสนีโย/ยโสธร

- แสงสูญไม่ได้พิมพ์มานานแล้วค่ะ ส่วนสารอโศกได้แจ้งให้ฝ่าย จัดส่งหนังสือตรวจสอบแล้ว ถ้าไม่ได้ส่ง ก็จะส่งให้ต่อไปค่ะ แต่ต้องขอความกรุณาตอบรับสม่ำเสมอ ด้วยนะคะ



๑. จำนวนสมาชิกที่รับ "ดอกหญ้า" มีเท่าไร
๒. เพราะอะไรจึงไม่เปิดชุมชน อโศกที่ภาคใต้บ้าง
* สุรกิจ เงากระจ่าง/สงขลา

- ๑. กว่าหมื่นคนค่ะ
๒. มีชุมชนทักษิณอโศกที่จังหวัดตรังค่ะ ลองโทรศัพท์ไปถามสถานที่ตั้ง กิจกรรมของชุมชน หรือข้อมูลอื่นๆ ได้ที่หมายเลข ๐๗๕-๒๒๖๑๙๖



ดอกหญ้าทำมากี่ปีแล้ว เริ่มทำตั้งแต่ พ.ศ.ใด ใครเป็นต้นคิด ต้นแบบต่าง ๆ ของดอกหญ้า
* สุรสิน เนาคำแพง/อำนาจเจริญ

- เริ่มทำประมาณ พ.ศ.๒๕๒๗ ยี่สิบปีมาแล้ว ต้นคิดคือคณะกรรมการสมาคมผู้ปฏิบัติธรรมแล้วก็คุณธนิดา พึ่งทอง บรรณาธิการคนแรกของดอกหญ้า เธอเรียนจบด้านศิลปะมาโดยตรง คงจะมีส่วนมากทีเดียว ในการวางรูปแบบ ดอกหญ้า



ดิฉันชอบอ่านคอลัมน์ คิดตามหนัง เพราะได้ไปเล่าให้นักเรียน ฟัง และนักเรียนก็ชอบด้วย แต่สิ่งที่ดิฉัน ไม่เข้าใจ คือทำไมผู้ผลิตหนังไทยปัจจุบันนี้ จึงมักจะนำบทโป๊ มาใส่ในภาพยนตร์ บางเรื่องดิฉันอยากนำมา ให้นักเรียนดู เพราะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน แต่เมื่อดูแล้ว มีบทไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนดู ดูแล้วเหมือนกับสังคมนี้กำลังมอมเมาเยาวชน โดยขาดจิตสำนึกจากผู้สร้างภาพยนตร์
* มณีประภา สกุลลักษณ์

- ถ้าเป็นวิดีโอ คุณตัดตอนที่ไม่เหมาะสมออกได้นี่คะ ถ้าที่โรงเรียนมีฝ่ายโสตฯ ขอให้เขาตัดต่อให้ได้ไหมคะ ถ้าไม่มีคนตัดต่อให้ ก็ตัดเองได้ อัดทับภาพตอนนั้นไปเลยค่ะ



๑. หนังสือดอกหญ้าจัดส่งให้ทุกๆ เดือนหรือเปล่าคะ ถ้าหากว่าไม่ได้ติดต่อไปทางสำนักงานเลย ยังจะส่งหนังสือให้หรือเปล่า
๒. ปัจจุบันนี้พระมีโทรศัพท์มือถือกันเกลื่อนกลาด ไม่อาบัติหรือคะ ในความคิดของดิฉัน รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเลยจริงๆ
* พิไลวรรณ จันทร์เพ็ง/บุรีรัมย์

- ๑. ดอกหญ้ากำหนดออกรายสองเดือน ถ้าสมาชิกไม่ตอบรับ นานๆ ก็จะไม่ได้รับหนังสือค่ะ เพราะเรา ไม่ทราบว่าได้รับหรือเปล่า หรือได้ประโยชน์บ้างไหม เราอยากส่งให้คนที่ได้ประโยชน์มากกกว่าค่ะ เพราะงบประมาณมีจำกัด
๒. ดิฉันก็ว่าไม่ค่อยเหมาะสมเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ไม่มีญาติโยมมาช่วยงานท่านมากพอ ท่านก็ต้องติดต่องานเอง ถ้าใช้โทรศัพท์ติดต่องานศาสนาจริงๆ ก็ไม่อาบัติหรอกค่ะ แต่ถ้าใช้คุยเรื่อง ไร้สาระ โดยเฉพาะกับผู้หญิงล่ะก็ อาบัติแน่ค่ะ อาจเป็นอาบัติหนักด้วย ถ้ามีจิตอกุศลต่อผู้หญิง โยมที่จ่ายเงิน ค่าโทรศัพท์ให้ท่าน ตรวจสอบบ้างก็จะดีนะคะ แต่ถ้าท่านมีเงินจ่ายค่าโทรศัพท์เอง โยมที่ถวายเงินพระ ก็มีส่วนร่วมบาปล่ะค่ะ



๑. เห็นพระดังๆ บางองค์ไม่โกนคิ้ว เพราะเหตุใด นิกายใด
๒. เห็นพระบางวัด เวลาทำงานถอดผ้าออกหมดเหลือผ้าเตี่ยวผืนเดียว เหมาะสมหรือไม่ ในสายตาของชาวบ้านที่มองเห็น เพราะมีข้อห้ามไว้ว่าห้ามชะเวิกผ้า
๓. พระที่ขี่ม้าออกบิณฑบาต เป็นการทรมานสัตว์หรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ พระน่าจะเดินบิณฑบาต แล้วทำไมต้องไปอยู่ไกลชุมชนให้ลำบาก
๔. ศาสนาพุทธมีกี่นิกายกันแน่ และนิกายใดมีมากน้อยตามลำดับ
๕. เซนและพราหมณ์เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธหรือไม่
๖. การแต่งกายห่มผ้าเหลืองของพระอินเดีย ศรีลังกา จีน ฯลฯ ทำไมแตกต่างจากพระไทย
๗. การกราบแม่ชี กราบกี่ครั้ง และการใช้คำเรียกการทานอาหารของแม่ชีจะใช้ว่า ฉัน หรือ กิน
* สุวิเศษศักดิ์ บัวขาว/อุบลราชธานี

- ๑. พระนิกายมหายานไม่โกนคิ้วค่ะ ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีกำหนดให้ผู้จะบวชต้องโกนคิ้ว อาจเป็นเพราะคิ้วมันยาวแค่นั้น ไม่ได้ยาวออกมาเรื่อยๆ เหมือนผม
๒. ถ้าใครสามารถกราบเรียนท่านได้ ก็ช่วยเสนอความเห็นให้ท่านนุ่งห่มให้เรียบร้อยขึ้นด้วย หากไม่ขัดขวางการทำงานจนเกินไป งานบางอย่างที่โยมทำแทนได้ ก็ช่วยท่านบ้าง วัดกับบ้านต้องพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกันค่ะ ถึงจะเรียบร้อยงดงาม
๓. ข้อนี้ดิฉันตอบไม่ได้ว่าทำไมท่านต้องไปอยู่ไกลชุมชน
๔. เฉพาะในประเทศไทยก็มีมหานิกายและธรรมยุต แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยเป็นเถรวาท ศรีลังกาและพม่าก็เป็นเถรวาท ส่วนในจีน ไต้หวันและญี่ปุ่นเป็นมหายาน ซึ่งทั้งเถรวาทและมหายานก็มีสาขาย่อยอีกมากมายค่ะ
๕. เซนเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ มหายาน ส่วนพราหมณ์เป็นลัทธิดั้งเดิมของอินเดีย ก่อนเกิดศาสนาพุทธ
๖. ธรรมเนียมต่างกัน
๗. ที่จริงแม่ชีไม่ใช่นักบวช นักบวชของศาสนาพุทธต้องถือศีล ๑๐ ขึ้นไป ไม่ใช้เงิน ส่วนศีล ๕ และศีล ๘ เป็นข้อปฏิบัติสำหรับ อุบาสกอุบาสิกา แม่ชีถือศีล ๘ เป็นอุบาสิกา เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรต้องกราบ และควรใช้ภาษาเหมือนฆราวาสทั่วไป แต่ถ้าชุมชนใดยกย่อง แม่ชีเหนือกว่าฆราวาสทั่วไป คุณจะอนุโลม ปฏิบัติตามด้วย ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะพิจารณา



๑. ทำไมพระสงฆ์ต้องไปมองไปแสวงหาภาชนะอื่นๆ อีกเล่า ทั้งๆ ที่มีบาตรบริขาร
๒. ทำไมต้องไปค้นคว้า ค้นหา ศึกษาวิชาการให้มากจนฟุ้งซ่าน ทั้งๆ ที่มีรูปธรรม-นามธรรม กาย-จิตใจตนให้ศึกษา
๓. ทำไมรู้ทั้งรู้ว่า เบญจศีล ดีอย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าความดี ทำดีได้ดี แต่ทำไมไม่กระทำความดี
* พระวิศรุตม์ ถิรคุโณ/สงขลา

- ๑. ท่านคงยังไม่พอกระมังคะ
๒. ก็คนมันฟุ้งซ่านอยู่แล้ว รู้เรื่องนอกตัวมันง่ายกว่ารู้เรื่องในตัว
๓. ยังมีเรื่องดีๆ อีกตั้งหลายเรื่องที่เรารู้ แต่ยังไม่ได้ทำหรือยังทำไม่ได้ คนอื่นก็เหมือนกัน รู้แล้วแต่ยังทำไม่ได้



๑. ทำไมมนุษย์ต้องดื่มสิ่งเสพติดตลอด ไม่งดเว้นเลย
๒. ทำไมผู้มีศีลและแม่ชีจึงชอบมองความผิดของคนอื่น ไม่ตรวจสอบตนเอง
๓. ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา ทำไมไม่มีคนปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
* เจษฎาภรณ์ ทาคำวงศ์/เชียงใหม่

- ๑. เพราะจิตใจอ่อนแอ ต้อง ใช้สิ่งเสพติดมอมเมาจิตใจตนเอง จะได้ทำชั่วได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
๒. เพราะว่าจะได้ช่วยบอกไงคะว่าควรจะต้องแก้ไขอะไรบ้าง ส่วนที่ท่านไม่ตรวจสอบตนเอง เราก็บอกท่านสิคะ บอกด้วยความเคารพนอบน้อม ถ้าไม่กล้าก็เขียนจดหมายไปบอกก็ได้ค่ะ
๓. มีค่ะ อย่างน้อยก็เราคนหนึ่ง



ทำไมผู้คนพากันเห็นแก่ตัว มีความโลภกันมาก แม้จะมีการศึกษาสูง พวกเราจะมีทางแก้ไข หรืออยู่ร่วมกับ พวกเขาอย่างไรให้มีความสุข เพราะที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจะใช้วิธีหนีให้ไกลจากคนกลุ่มนี้
* นวพร เทพแก้ว/ลำปาง

- แรงจูงใจประการหนึ่งของคนส่วนใหญ่ที่พากเพียรเรียนหนังสือสูงๆ ก็เพื่อจะได้มีโอกาสมากกว่าคนอื่น ในการกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง เราจะอยู่กับพวกเขา อย่างมีความสุขได้ด้วยการอย่าไปคิดแข่ง หรือ เปรียบเทียบกับเขา เขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราพอใจแม้มีอยู่น้อยก็แล้วกัน



อยากทราบความหมายของ วิริยะ เนกขัมมะ เต-ช-สุ-เน-ม-ภู-จ-นา-วิ-เว
* เจษฎา กาฬจันทร์/อุบลราชธานี

- วิริยะคือความเพียร
เนกขัมมะคือการออกจากกิเลส
เต-ช-สุ-เน-ม-ภู-จ-นา-วิ- เว เป็นอักษรย่อของทศชาติชาดกหรือเรียกว่าหัวใจพระเจ้าสิบชาติ ได้แก่ พระเตมีย์ (บำเพ็ญเนกขัมมบารมี) พระมหาชนก (บำเพ็ญวิริยบารมี) พระสุวรรณสาม (บำเพ็ญเมตตาบารมี) พระเนมิราช (บำเพ็ญอธิษฐานบารมี) พระมโหสถ (บำเพ็ญปัญญาบารมี) พระภูริทัตต์ (บำเพ็ญศีลบารมี) พระจันทกุมาร (บำเพ็ญขันติบารมี) พระนารท (บำเพ็ญอุเบกขาบารมี) พระวิธุร (บำเพ็ญสัจจบารมี) และพระเวส- สันดร (บำเพ็ญทานบารมี)



อยากถามคำแปลในบทสวดมนต์ที่ว่า เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
* วารุณี กิจทวีสมบูรณ์/นครปฐม

- เอหิปัสสิโก แปลตรงตัวว่า จงมาดู จงมาเข้าใจ หมายความว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่เรียกให้ผู้คน มาตรวจสอบศึกษาได้ หรือท้าทายให้มาพิสูจน์กันได้
โอปนยิโก หมายความว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ควรน้อมนำให้มีให้เกิดขึ้นในตน
ปัจจัตตัง แปลว่า เฉพาะตัว หมายความว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่แต่ละคนรู้ เห็น เข้าใจได้เฉพาะตน ถึงแม้จะมีคนบอกอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใจได้เหมือนการปฏิบัติด้วยตนเอง
เวทิตัพโพ วิญญูหิ หมาย ความว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่วิญญูชน คือ ผู้รู้ ผู้ฉลาด ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ



มีคนบอกว่าคนที่บวชชี ถ้า ไม่มีเงิน บวชไม่ได้ เวลาพระบิณฑบาตอาหารไม่พอ ชีต้องหากินเอง มันจริงหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาจะบวชกันทำไมคะ
* พิกุล ศรีองครักษ์/จันทบุรี

- เท่าที่ทราบมาก็มีหลายเหตุผล แต่ส่วนใหญ่ก็หนีทุกข์ ทุกข์จากความรักบ้าง จากครอบครัว จากปัญหา สารพัด สารพันมากมายในแต่ละชีวิต ชีวิตในวัดน่าจะสงบกว่านอกวัด ปัญหาแค่เรื่องอาหารการกินเรื่องเล็ก แต่ละวัดคงจะมีวิธีบริหารจัดการต่างกัน ถ้าวัดไหน แม่ชีต้องรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินเอง ก็คงลำบากหน่อย แต่บางวัดก็ดูแลแม่ชีอย่างดีเช่นเดียวกับพระ



ถ้าแบ่งเส้นความดีความชั่วอย่างนี้ สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างความดีกับความชั่วคืออะไร
* จันทร์ศิริ คำแสน/อุบลราชธานี

- ตรงกลางจริงๆ ก็คือไม่ดีไม่ชั่ว ซึ่งตามความเข้าใจของดิฉันแล้ว จุดไม่ดีไม่ชั่วนี้ไม่มีหรอกค่ะ ในโลกแห่ง ความเป็นจริง คนเราทำอะไรสักอย่างก็ตัดสินได้ทั้งนั้นว่าดีหรือชั่ว แม้แต่ไม่ทำอะไรเลย ก็ยังพิจารณาได้ว่า ดีหรือชั่ว เช่น ถ้าร่างกาย แข็งแรงดี สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ แล้วไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้น่าจะค่อนไปทาง ไม่ค่อยดีเพราะขี้เกียจ แต่ถ้าป่วยหนักอยู่ ไม่ทำอะไรเลย ถือว่าดี เพราะรู้จักประมาณตน ไม่สร้างความลำบาก ให้ตนเอง

การตัดสินความดีความชั่ว มีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ค่ะว่า ถ้าเบียดเบียน คนอื่นนับว่าชั่ว ถ้าเป็นประโยชน์แก่ ผู้อื่นนับว่าดี



*** ธรรมบท
บุคคลไม่ควรใส่ใจความผิดของคนอื่น
ไม่พึงพิจารณากิจที่ผู้อื่น ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ
พึงใส่ใจพินิจกิจแห่งตน อันใดทำแล้ว อันใดยังมิได้ทำ

- ส.ร้อยดาว แปล -

ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๖ พฤศจิกายน- ธันวาคม ๒๕๔๗