ปัจฉิมลิขิต - กอง บก. -


อยากจะบอกว่า เมื่อจิตใจเป็นทุกข์ ก็จะมีดอกหญ้าเป็นเพื่อนปลอบโยน รู้สึกเหมือนเพื่อนที่เข้าใจเรา จะหาเพื่อนแบบนี้ได้ที่ไหน... ก็ที่สันติอโศกยังไงล่ะ ไม่สบายใจ... หรือสุขใจ ก็อยากจะกลับเข้าบ้าน บ้านหลังนี้แม้จะไม่คุ้นเคย แต่ก็อุ่นใจค่ะ ขอขอบคุณทุกสรรพสิ่ง ทุกชีวิตที่ช่วยให้มีความรู้สึก
เช่นนี้
* กุลวดี ปทุมชาติ/กรุงเทพฯ
- อยากให้คนในบ้านทุกคนทุกบ้านมีความรู้สึกที่ดีต่อกันแบบนี้ค่ะ


๑. คนเราต้องชดใช้กรรมทั้งแต่ปางก่อนและปัจจุบันกรรมหรือเปล่า
๒. คนเราต้องมาพบกัน เจอกัน แล้วรักกัน และบ้างก็เกลียดกัน คนเหล่านี้ทำอะไรกันไว้แต่ปางก่อน
* สุพิศ หน่อแก้ว/ปัตตานี
- ๑. ต้องชดใช้ แต่ผัดผ่อนได้ด้วยการทำกรรมดีมากๆ จนกรรมชั่วแพ้ฤทธิ์ของกรรมดี อาจจะผ่อนหนัก เป็นเบา หรือเลื่อนเวลาการใช้กรรมออกไป แต่การทำกรรมดีไม่ใช่ตื้นๆ แค่ให้ทานเท่านั้น ต้องทำถึงขั้น ลดละกิเลสด้วย
๒. เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะว่าทำกรรมอะไรไว้แต่ปางก่อน รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำไปแล้ว แก้ไขอะไร ไม่ได้ มีหน้าที่สร้างกุศลกรรมใหม่ให้มากไว้เท่านั้นก็พอ


ผมเป็นคนไข้ไตวายเรื้อรัง ๒๐ ปีแล้ว มาฟอกเลือดที่โรงพยาบาลเสนา พระนคร- ศรีอยุธยา อาทิตย์ละ ๓ วัน ใช้เวลาอยู่ โรงพยาบาลไม่น้อยกว่าวันละ ๔ ชั่วโมง ผมอ่านหนังสือในห้องไตเทียมทุกเล่ม คุณพยาบาล เลยเมตตาไปขนดอกหญ้าที่บ้านมาให้อ่าน อ่านจนถึงเล่มที่ ๑๑๕ จึงขออนุญาตเจ้าของ หนังสือ เขียนความคิดเห็น... ตอนแรกผมจะขอเป็นสมาชิก แต่ทราบจากคุณพยาบาลว่าไม่มีค่าใช้จ่าย ผมเกิดเกรงใจ อาศัยคุณพยาบาลไปเรื่อยๆ ดีกว่า จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย... ถ้าผม ขับรถจากแยกเกษตรไปตามถนนนวมินทร์ จะสังเกตอย่างไรว่าสันติอโศกอยู่ตรงไหน
* วิทยา พรรณทรัพย์/พระนครศรีอยุธยา
- เราส่งใบสมัครสมาชิกให้คุณแล้ว นะคะ กรุณากรอกใบสมัครแล้วส่งกลับไป ฝ่ายจัดส่งหนังสือ จะได้ส่งไปให้ที่บ้าน เผื่อว่าสมาชิกในครอบครัวจะได้อ่านด้วย ทีนี้คุณวิทยาหรือใครก็ได้ ในครอบครัว มีพันธะต้องตอบรับหนังสือเป็นครั้งคราวค่ะ เพื่อเราจะได้ทราบว่าหนังสือมีประโยชน์ต่อคุณจริง ส่วนค่าใช้จ่ายในการเป็นสมาชิกนั้น ขอเป็นการถือศีลปฏิบัติธรรม ก็แล้วกัน มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง มากเชียวค่ะ


ทำไมศาสนาพุทธในเมืองไทยถึงได้หลงทางกันมาก ทำไมต้องแยกนิกายกัน ทุกๆ ศาสนาต่างก็สอน ให้คนเป็นคนดี แล้วทำไมบ้านเมืองไทยถึงได้เละเทะกันเพราะคนไม่มีศีลธรรม
* สุริยา สุขสวัสดิ์/อุทัยธานี
- สาเหตุที่แยกนิกายกันก็เพราะความเข้าใจในพระธรรมและการปฏิบัติแตกต่างกัน สาเหตุที่ต่างกัน เพราะตีความต่างกัน และมีปัญญาไม่เท่ากัน คนเราบังคับความเข้าใจ หรือบังคับสติปัญญากันไม่ได้... เอาเถอะ จะเข้าใจต่างกัน ปฏิบัติต่างกัน ก็ตามใจ อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันก็แล้วกัน และข้อสำคัญ อย่าตั้งใจหลอกลวงคนอื่น

ประโยคสุดท้ายของคุณคงไม่ใช่คำถามนะคะ เพราะตอบเองอยู่แล้วว่า เพราะคนไม่มีศีลธรรม แต่ถ้าจะถามว่าทำไมคนไม่มีศีลธรรม ทั้งที่ทุกศาสนาก็สอนดี... อ้าว! ถึงจะสอนดี แต่ไม่ปฏิบัติตาม คำสอนนั้น มันจะมีผลอะไรล่ะคะ เหมือน ครูสอนอะไรดีๆ ให้เราตั้งเยอะ เราก็ยังไม่ทำตาม หลายอย่างเลย จริงไหมคะ


ทุกวันนี้ทำงานบริษัทเอกชน ตื่น ๐๕.๐๐ น. เพื่อเข้าทำงาน ๐๖.๐๐ น. เลิก ๒๐.๐๐ น. เป็นอย่างนี้ ทุกวัน งานที่ทำก็เครียด ทำไม่มีวันเสร็จ มีงานเฉพาะหน้าเข้ามาตลอด พักกินข้าว ๑๒.๓๐-๑๓.๐๐ น. เท่านั้น ที่เหลือเวลาทำงานทั้งหมด เงินล่วงเวลาไม่ได้เพราะเป็นถึงหัวหน้างาน วันหยุดวันอาทิตย์ วันเดียว พยายามหาเวลาทำปุ๋ยหมักเพื่อปลูกผักกินเอง แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล ตอนนี้ตั้งความหวัง อยากจะออกจากงานที่ทำอยู่ ปัญหา ตัวคนเดียว พ่อแม่ไม่มีใครดูแล ถ้าออกจากงาน เงินเดือนที่ได้ ทุกเดือนจะทำอย่างไร ตัวเองจะทำอย่างไร ฐานะทางบ้านไม่ดี จะเริ่มต้นอย่างไรก่อนดี
* ประภัสสร ออกแมน/ลพบุรี
- ก็คงต้องอดทนทำงานไปก่อน และพยายามประหยัดเก็บออมเงินไว้บ้าง พอมีเงินสักก้อนหนึ่ง แล้วค่อยขยับขยาย ยกเว้นแต่ว่าจะใจเด็ดจริงๆ ออกจากงานพาพ่อแม่ไปอยู่ในชุมชนของชาวอโศกเลย แต่ต้องมั่นใจว่าอยู่ได้นะคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องทำตามกฎระเบียบ ทำอะไรตามใจ ตัวเองไม่ได้ ไม่มีสมบัติส่วนตัว

ถ้ามีหนทางจะเปลี่ยนงานได้ ก็ลองหางานใหม่ ที่เราจะมีเวลาทำสวนบ้าง ไปวัดบ้าง ต้องได้งานใหม่ แน่นอนก่อน ค่อยลาออกจากงานเก่านะคะ


ดิฉันไม่สบายใจกับงานที่ทำอยู่ อยากกลับบ้านนอกไปช่วยแม่เกี่ยวข้าว ลูกๆ ก็ไม่สบาย มีโรคประจำตัว ต้องมาหาหมอที่กรุงเทพฯ ทุกๆ ๒ เดือน สามีก็ไม่อยากให้ ออกจากงานเลี้ยงคนแก่ ได้เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท จิตใจสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก ช่วยตอบให้หน่อยค่ะ
* อารียา อำนวย/กรุงเทพฯ
- ก่อนตัดสินใจต้องชั่งใจหลายเรื่อง ประการแรก ไม่สบายใจเรื่องอะไร หนักหนาแค่ไหน ประการที่สอง ลูกป่วยเป็นโรคอะไร หาหมอที่โรงพยาบาลที่บ้าน ในต่างจังหวัดได้หรือไม่ ประการที่สาม สามีทำงาน มีรายได้หรือไม่ หรือทำนาอยู่หรือเปล่า

ถ้าเรื่องที่ไม่สบายใจไม่หนักหนาอะไร แล้วลูกจำเป็นต้องมาหาหมอในกรุงเทพฯ เท่านั้น หมอต่างจังหวัด รักษาไม่หาย และสามีทำนาช่วยครอบครัวอยู่แล้ว คุณก็ไม่ต้องออกจากงานหรอกค่ะ จะได้มีค่าใช้จ่าย ไว้รักษาอาการป่วยของลูก

ดิฉันแนะนำให้ปรึกษาพ่อแม่และสามีดีกว่านะคะ จะได้ช่วยกันคิดให้รอบคอบ


ถ้าคนสองคน (สามี-ภรรยา) เดินเส้นทางเดียวกันไม่ได้ เราจะแยกกันเดินดีหรือเปล่า หรือว่าคน คนหนึ่งต้องอดทนต่อไปดี การมีลูกด้วยกัน จะต้องถือว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องอดทนเพิ่มขึ้นกับสามี เพราะกลัวว่าลูกจะขาดพ่ออย่างนั้นหรือ การที่ให้ลูกอยู่กับย่า แล้วเราฝากเงินไปให้แทน เป็นการ ทำหน้าที่แม่ไม่สมบูรณ์ใช่ไหม ดิฉันควรทำอย่างไรดี จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
* พิงพวย เสาทอง/กรุงเทพฯ

- เรื่องนี้ก็ตอบทันทีไม่ได้เหมือนกันค่ะ ต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รู้สึกว่าเดินทางเดียวกันไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอทนได้ ก็น่าจะอดทน

ดิฉันว่าไม่มีใครที่อยู่ด้วยกันหรือทำงานด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปแล้วจะเข้ากันได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องอดทนด้วยกันทั้งนั้น

แต่ถ้าทนจนสุดจะทนแล้ว ถึงขนาดต้องทะเลาะกันบ่อยๆ แยกกันอาจจะดีกว่า เมื่อแยกกันแล้ว ใครที่ทำหน้าที่ ดูแลลูกก็ต้องทำงานหนักหน่อย ที่สำคัญต้องเข้มแข็ง อย่ามัวแต่เสียใจหรือโกรธ อดีตคู่ครอง ไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจของลูกได้ ลูกจะไม่มีความสุข

ก่อนตัดสินใจคิดดีๆ นะคะ ปรึกษาญาติผู้ใหญ่ด้วย ถ้าลูกโตพอควรแล้ว ลองหยั่งเสียงลูกด้วยก็จะดีค่ะ


ดิฉันกับสามีหย่ากันแล้ว ตอนที่อยู่ด้วยกัน เขาผลาญสมบัติของดิฉันไปเกือบหมด พอหย่าเสร็จ ทุกวันนี้ก็เป็นคนอื่น แต่ถ้าเกิดเขาตายก่อนดิฉัน ดิฉันควรไปงานศพเขาหรือไม่คะ ตอนหย่ากัน เขาก็ขอ อโหสิกับดิฉันแล้ว แต่ใจดิฉันทำไมบางทีก็ยังเสียดายของที่เสียไปคะ
* ชนมน ภูดี/กรุงเทพฯ
- ควรไปสิคะ ในฐานะคนเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมา ขนาดเพื่อนที่ไม่สนิทสนม อะไรกันเลย เรายังไป งานศพเขานี่คะ แต่ดิฉันสงสัยว่าทำไมคุณคิดไกลถึงวันที่เขาตายล่ะคะ ถ้าเป็นเพราะกังวลฟุ้งซ่านไป ก็พยายามควบคุมจิตใจ ไม่ต้องคิดถึงเขาอีกแล้วล่ะค่ะ ถ้าเป็นเพราะอกุศลจิต ก็พยายามล้างจิต ล้างใจนะคะ

ของที่เสียไปแล้ว ก็คิดเสียว่าใช้หนี้ เขาไปแล้วกัน ไม่รู้ว่าเป็นหนี้เขามาแต่ชาติไหน หรือไม่ก็คิดเสียว่า ทำบุญ เราให้เขาทั้งๆ ที่รู้ตัว ดีกว่าโจรมาปล้นไปนะ ธรรมดาค่ะที่เราจะเสียดาย ขนาดเงินหาย ร้อยสองร้อย เรายังเสียดายนี่นะ แต่ถ้าเรามัวแต่ผูกใจกับสิ่งที่สูญไปแล้ว ยังไงๆ ก็ไม่ได้กลับคืนมา เสียเวลาเปล่า เสียอารมณ์ เสียกำลังใจทำไมล่ะคะ เราผูกใจไว้กับอะไรกับใคร ชาติหน้าก็เจอกันอีก แต่ไม่รู้จะเจอแบบไหนสิคะ เคยมีเรื่องเล่าว่า พระสมัยพุทธกาลรูปหนึ่งได้จีวรมา ชอบใจ แล้วก็บังเอิญ มรณภาพในช่วงนั้นพอดี ท่านเกิดใหม่เป็นเล็นติดอยู่กับจีวรผืนนั้นนั่นแหละ


ปกติจะเป็นคนเครียด คิดมาก จะทำอะไรเพื่อคนอื่นหมด พยายามเข้าใจคนอื่น ห่วงคนนั้นคนนี้ แต่ไม่มีใครห่วงหรือเข้าใจความรู้สึกเราเลย จะเป็นคนมีความทุกข์ตลอดเวลา ไม่ค่อยทำอะไร เพื่อตัวเอง... ทำอย่างไรจึงจะตัดใจและทำใจไม่ให้เป็นทุกข์จากสิ่งที่รัก โดยเฉพาะลูก ตอนนี้ห่วง เขามาก ในเมื่อเขาไม่ได้ดังใจ ก็ยิ่งเป็นทุกข์กับเขามาก และแม่มาเสียอีก ยิ่งทุกข์ยิ่งขึ้น
* พิศมัย ว่องวิทย์การ/อุทัยธานี
- ถ้าพูดให้แม่เลิกห่วงลูกได้ ดิฉันจะเปิดสำนักงานคลายทุกข์ฟรีเลยค่ะ ดิฉันซาบซึ้งความรักที่แม่ มีต่อลูกมากๆ จริงๆ เวลาเห็นแม่อุ้มลูกที่ยังตัวเล็กๆ ทำอะไรก็น่ารักไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าโตขึ้น ลูกจะสามารถทำอะไรให้แม่ช้ำใจได้มากมาย

อยากเป็นห่วงก็ห่วงไปเถอะค่ะ แต่อย่าทำร้ายตัวเอง ขนาดที่บอกว่ามีความทุกข์ตลอดเวลานี่ อาการหนักนะคะ น่าจะคิดในแง่ดีว่า การที่ "ไม่มีใครห่วงหรือเข้าใจความรู้สึกเราเลย" แสดงว่า เราเข้มแข็ง ไม่มีอะไรน่าห่วง ใครๆ ก็เชื่อใจ ดิฉันว่าเป็นความรู้สึกที่ดีนะ น่าจะภูมิใจในตัวเอง อย่าทำตัวอ่อนแอ ต้องให้คนมาดูแลประคบประหงม คิดอะไรไม่เป็นเลยค่ะ ถ้าเราเป็นคนเข้มแข็ง และมีอิสระในตัวเอง เราก็จะรู้จักดูแลลูกให้เขาเข้มแข็งและมีอิสระเหมือนกัน

แทนที่คุณจะมัวเป็นทุกข์เพราะห่วงลูก คุณน่าจะคอยส่งเสริมให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนสิ่งไม่ถูกต้อง ที่เขาทำ ห้ามแล้ว เขาไม่เชื่อ ก็ต้องคิดว่า ชีวิตเป็นของเขา เราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว อย่ายึดเป็นเจ้าเข้า เจ้าของว่าเขาเป็นสมบัติที่เราจะจับวางอย่างไรก็ได้ คนนะไม่ใช่สิ่งของ บางทีเรา ห่วงเขามากเกินไป เขารำคาญเสียด้วยซ้ำนะคะ ปล่อยให้เขามีอิสระในชีวิตของเขาบ้างเถอะค่ะ


การที่เราพยายามประพฤติปฏิบัติตามคำสอนตามหลักพุทธศาสนา แล้วขออุทิศส่วนกุศล ในการทำ ความดีนี้ ให้กับผู้มีพระคุณของเรา เช่น พ่อ แม่ ฯลฯ จะมีผลอย่างไร หรือไม่ จะเหมือนกับเราถวาย สิ่งของต่อพระสงฆ์ หรือไม่
* น.ท.ทวีศักดิ์ สุภานันท์/อุดรธานี
- ชาวอโศกเราเชื่อว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และกัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของ ของตน โอนให้กันไม่ได้หรอกค่ะ ใครทำใครได้ ถวายของให้พระ พระก็ได้ฉัน คนถวายก็ได้บุญ กรรมให้ผลตอบแทนอย่างซื่อตรง ไม่ให้อภิสิทธิ์ใคร ไม่มีพรรคมีพวก ถ้าอุทิศส่วนกุศลได้ คนตาย ที่มีพรรคพวกอุทิศส่วนกุศลให้มาก ได้รับผลกรรมดี ทั้งที่ตัวเองทำเลวทำชั่วมามากมาย อย่างนี้ จะยุติธรรมหรือคะ

กุศลกรรมนี่อุทิศให้กันได้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นค่ะ เช่น เราเป็นคนมีเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ไม่โกรธใครง่ายๆ ไม่อาฆาตมาดร้าย ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่อยู่กับเราอาจจะซึมซับความดีของเรา เข้าไปไว้ในจิตใจเขาได้บ้าง อย่างนี้ไม่เป็นการอุทิศให้ฟรีๆ แต่เป็นตัวอย่างให้เขาทำตาม


ถ้าศาสนาพุทธไม่สอนเรื่องการอุทิศส่วนกุศลแล้ว ที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลให้เปรตญาติ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ข้อปัตติทานมัย และการใช้ทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบแล้ว ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย หรือเทวดาบ้าง เป็นคำสอนของใครล่ะคะ หมายความว่าอย่างไร
* กัญญารัตน์ อยู่สะบาย/สมุทรปราการ
- ถ้าจะแปลเปรต หรือ เปตะ (ภาษาบาลี) ว่าผู้ที่ตายไปแล้ว ก็อาจจะอธิบายได้ว่า เป็นการคล้อยตาม พระราชา คุณเคยได้ยินใช่ไหมคะว่า The King can do no wrong. พระมหากษัตริย์จะกระทำผิดมิได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงยกให้พระราชาเหมือนกันค่ะ นอกจากนี้ก็มีอีกคำอธิบายหนึ่งบอกว่า เปรตหมายถึง ผู้ที่อดอยาก อย่างที่เราเคยได้ยินว่าเปรตมีปากเท่ารูเข็มไงคะ กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม คนแบบนี้มีจริง ในโลก เราก็ต้องแบ่งให้เขาบ้างตามสมควร เขาจะได้ไม่ต้องไปปล้นชิงใคร

สำหรับบุญกิริยาวัตถุนั้นในพระไตร-ปิฎกมีแค่บุญกิริยาวัตถุ ๓ นะคะ มีทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย ปัตติทานมัยมีในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งอาจารย์รุ่นหลังที่เรียกว่าอรรถกถาจารย์เขียนขึ้นค่ะ

ส่วนการใช้ทรัพย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายนั้น ดิฉันไม่ทราบว่าใครสอนนะคะ พระพุทธเจ้า ทรงสอน ให้แบ่งทรัพย์เป็น ๔ ส่วนค่ะ ส่วนหนึ่งใช้จ่ายเลี้ยงตน คนที่ควรบำรุงและทำประโยชน์ อีกสองส่วนใช้ลงทุนประกอบการงาน และอีกหนึ่งส่วน เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ลองอ่านดูใน พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๑๙๗ นะคะ


๑. เวลานั่งสมาธิ บางครั้งรู้สึกเหมือน ร่างกายโอนเอนไปมา ทั้งๆ ที่นั่งท่าเดิมอยู่ บางทีรู้สึกเหมือน มีแสงสว่างเกิดขึ้น จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างคะ
๒. จะมีวิธีแก้ไขพวกมือถือสาก ปากถือศีลอย่างไรบ้างคะ
* พิไลวรรณ จันทร์เพ็ง/บุรีรัมย์
- ๑. ลืมตาขึ้นค่ะ จะได้ไม่ตกภวังค์ ปกติดิฉันไม่ได้นั่งสมาธินะคะ ที่ตอบนี่ตอบตามประสบการณ์ เล็กน้อย ที่เคยฝึกมาบ้างนานมาแล้ว และตามที่เคยได้ยินหรือได้อ่านมาเล็กน้อยอีกเหมือนกัน เท่าที่ทราบ การนั่งสมาธิมี ๒ แบบ คือ

สมถวิธีและวิปัสสนาวิธี สมถวิธีก็คือ ผูกจิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่ากสิณ เพื่อควบคุมจิต ไม่ให้แล่นฟุ้งซ่านไป วิปัสสนาวิธีคือการปล่อยจิตให้ดำริในสิ่งที่เป็นกุศล เวลาจิตแล่นไปดำริ ในสิ่งที่ เป็นอกุศล ก็ตามรู้ให้ทัน แล้วดึงจิตกลับมาอยู่กับกุศลธรรม ดิฉันเคยทำทั้งสองวิธี เหนื่อยมาก ทั้งสองวิธี ทั้งๆ ที่นั่งนิ่งๆ แท้ๆ พอเหนื่อยแล้วลงท้ายก็หลับ การนั่งสมาธิจึงเป็นการฝึกจิตที่ดีวิธีหนึ่ง

สมถวิธีและวิปัสสนาวิธีกระทำได้ในชีวิตประจำวันด้วย เช่น เวลาคุณโกรธใครสักคน อยากจะใช้ วาจาทำร้ายจิตใจเขา พอคุณรู้ตัวว่าเป็นอกุศลจิต คุณหยุดทันที ห้ามตัวเองก่อน อย่างนี้เรียกว่าสมถวิธี หลังจากนั้นถึงมานั่งสอนตัวเอง พิจารณาเหตุผล พูดหรือไม่พูดมีข้อดีข้อเสียอย่างไร อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนาวิธี

๒. ตัวเราเองถือศีลให้เคร่งครัดขึ้น อย่างที่พระท่านสอนว่า ทำความดีให้มากจนคนตาบอดเห็นได้



การที่เราไม่ได้โต้ตอบด้วยวาจา แต่ใจของเราคิดถึงการโต้ตอบการที่ถูกด่าถูกว่านั้น รู้ว่าผิดศีล แต่อยาก ถามว่าตัวเราจะกลายเป็นคนเก็บกดไหมคะ
* ดวงตา ไชยรัตน์/ร้อยเอ็ด
- ถ้าทำบ่อยๆ ก็เก็บกดแน่นอนค่ะ ทางที่ดี ทันทีที่รู้ตัวก็ต้องอบรมตนเอง ให้ใจไม่ตอบโต้ หรือรู้สึก ไม่พอใจด้วย คุณชนะใจตนเองขั้นหนึ่งแล้วที่ไม่ได้ตอบโต้ด้วยวาจา เป็นสมถวิธี แต่ต้องเสริมด้วย วิปัสสนาวิธี จะได้ไม่เก็บกดค่ะ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของคนมีปัญญา ทำทุกอย่างด้วยความรู้ ด้วยความเต็มใจ จึงเบิกบานร่าเริงสมกับคำว่า "พุทธ" ค่ะ


ตอนนี้ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ถูกกันหลายครั้ง คือดวงไม่สมพงศ์ กันก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ เวลาทะเลาะกัน เจอกันก็จะกินเลือดกินเนื้อเลยก็ว่าได้ พอตอนนี้ตั้งแต่อ่านหนังสือ ของสันติอโศก รู้สึกว่าใจเย็นลง พอทะเลาะกันเสร็จ ก็จะหยุด แต่ไม่พูดคุยกันนะ คุยก็แต่เฉพาะ งานเท่านั้น นอกนั้นไม่มองตา ไม่พูดด้วย อยากให้แนะนำว่าเราทำอย่างนี้ดีหรือยัง
* ชลารัตน์ ดลใจธรรม/ตาก
- ทำดีแล้วค่ะสำหรับขั้นที่หนึ่ง อนุโมทนาด้วยที่หยุดก่อนได้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ทะเลาะกันแล้ว ก็แล้วกันไปเถอะ พูดกับเขาก่อน ปฏิบัติกับเขาเหมือนไม่ได้โกรธกัน ทำตัวพูดคุยเหมือนเดิม นี่ดีขั้น ที่สองนะคะ ดีขั้นที่สาม ก็คืออย่าทะเลาะกันเลย ถ้าเราเองยังทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับคน ในครอบครัว เราก็เป็นเชื้อเป็นเหตุหนึ่งของสงครามในโลกนี้นั่นแหละค่ะ เรามาช่วยกันสร้าง สันติภาพ ของโลก ด้วยการสร้างสันติภาพในใจของเราก่อน และควบคุมพฤติกรรมของเรา ให้เป็นไปเพื่อ สันติภาพจริงๆ


จะมีวิธีทำใจได้อย่างไรเมื่อได้พบคนที่ฉ้อโกงเรา และในความรู้สึกของเรา พอเห็นเขา เราจะแค้น อยากจะด่า อยากจะตบตีเขาให้ได้รับความอาย แต่เราก็ทำไม่ได้เพราะยอมรับว่าใจยังไม่กล้าพอ แต่จะมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้เห็นเขาคนนั้น
* จินดา รัชตผดุง/นครปฐม
- โชคดีนะที่ยังไม่ได้ทำ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คนที่อายจะกลายเป็นคุณและลูกเอง พระท่านสอนไว้แล้วค่ะ ว่าในโลกนี้มีคน ขี้เกียจ คนขี้โกง คนด้อยสมรรถภาพ ที่เราจะต้องทำเผื่อเขา

ของหรือเงินคุณก็เสียไปแล้ว ทำไมต้องมาเสียอารมณ์อีกล่ะคะ อารมณ์ของคุณมีผลต่อลูกๆ นะคะ ถ้าคุณเป็นคนแจ่มใสเบิกบาน มีเมตตา เสียสละ ให้อภัย ลูกๆ ก็จะได้ซับซาบอาการจิตแบบเดียวกันค่ะ

ดิฉันเป็นโรคอยู่อย่างหนึ่ง คือ กลัวว่าเกิดใหม่จะมาเจอคนบางประเภท เพราะฉะนั้น ดิฉันจะพยายาม ที่จะไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโกรธแค้นเกลียดชังหรือดูถูกดูแคลน และถ้าเป็นไปได้ จะไม่เอาตัว เข้าไปร่วมกิจกรรมใดๆ ด้วยเลย อยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน แต่เจอกันก็พูดคุยตามปกตินะคะ อย่าทำอาการ ให้เขาเกิดอารมณ์กับเราได้ด้วย ถึงแม้เราไม่ผูกเขา เขาผูกเรา เดี๋ยวก็เจอกันอีก อโหสิกรรม เถอะค่ะ


๑. ทำไมเราต้องมีความรู้สึกดีใจ เสียใจ โกรธ เกลียด หรืออื่นๆ อีกมากมาย
๒. เพราะอะไรเวลาทำงานมากๆ จึงมีความรู้สึกท้อ ไม่อยากทำงานเลย อยาก พักผ่อน
* สนธยา แก้วมหาคุณ/เชียงราย
- ๑. เพราะยังมีกิเลสอยู่น่ะค่ะ อยากได้นั่น ไม่อยากได้นี่ อยากเป็นนั่น ไม่อยากเป็นนี่ ถ้าเป็นไป อย่างที่อยาก ก็ดีใจ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็เสียใจ ใครมาทำให้เราไม่ได้อย่างที่อยาก ก็โกรธเขา ใครทำ ให้เราได้อย่างใจ ก็รักเขา คนเราก็อย่างนี้แหละค่ะ เห็นแก่ตัว

๒. คงเหนื่อยเกินไป ก่อนที่จะลุกขึ้นมาตอบจดหมายท่านผู้อ่านดอกหญ้าฉบับนี้ ดิฉันก็เกียจคร้าน เป็นอันมาก อยากนอนอย่างเดียว ก็เลยเปลี่ยนงาน จากงานที่ทำอยู่ประจำ มาตอบจดหมาย เหมือนมีเพื่อนคุย อาการค่อยดีขึ้นหน่อยค่ะ


๑. เวลาไม่ได้ดั่งใจ ทำอย่างไรจึงจะชนะอารมณ์ตนเองได้ พยายามนับ ๑-๑๐ หรือทำนิ่งเฉยแล้ว แต่ก็ยังว้าวุ่นในใจอยู่
๒. ทำอย่างไรจะชนะอารมณ์ของคนอื่นในขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังโกรธ/ไม่พอใจ ในเวลานั้น เราก็อยู่ ในสภาวะอารมณ์เช่นเขาด้วยเหมือนกัน
* ไพรวัลย์ นงค์พรหมมา/สระแก้ว
- ๒ ข้อนี้ตอบรวมกันได้ เพราะว่าข้อ ๒ ตอบว่าต้องควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้ก่อน ซึ่งตอบใน คอลัมน์นี้ หลายครั้งแล้ว ต้องขออภัยท่านที่เคยอ่านมาแล้ว ต้องอ่านซ้ำอีกที

คนเราจะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ จิตใจต้องเข้มแข็ง จิตใจจะเข้มแข็งได้ก็ต้องออกกำลังจิตอยู่เสมอ เหมือนกับที่ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงนั่นเอง วิธีออกกำลังจิตก็คือฝึกหัดขัดใจตัวเองค่ะ เช่น ชอบฟังเพลงอะไร ก็อย่าฟังเพลงนั้น ชอบอาหารอะไร ก็ไม่กินอาหารนั้น ชอบอะไรอื่นใด ที่ไม่ได้ มีประโยชน์หรือเป็นความจำเป็นอะไร เลิกทำให้ได้ ถ้าเลิกไม่ได้ทันที ค่อยๆ ลดลงก่อน เช่น เคยซื้อ เสื้อผ้าใหม่ทุกเดือน ลดเป็นสองเดือนครั้ง สามเดือนครั้ง เป็นต้น

ส่วนอะไรดีๆ ที่ไม่เคยทำ ก็หัดทำดูบ้าง เช่น ทำความสะอาดบ้าน เริ่มจากอาทิตย์ละครั้ง สองวันครั้ง วันเว้นวัน แล้วก็ทำทุกวัน ช่วยแบ่งเบางานของเพื่อนร่วมงานบ้าง และที่อยากให้ทุกคน ทำมากๆ เลย คือ อ่านหนังสือทุกวันค่ะ ถ้ายากนักก็เริ่มจากวันละบรรทัดเดียว วันละย่อหน้า วันละหน้า วันละตอน วันละเรื่อง หาหนังสือดีๆ มาอ่าน เช่น ประวัติบุคคล หนังสือเด็ก หนังสือธรรมะ หรือความรู้อื่นๆ ทั่วไป การเลือกหนังสือนี่สำคัญนะคะ ต้องเลือกให้ดี จะได้ประโยชน์มาก

การฝึกขัดใจตัวเองขั้นสูงขึ้น เวลาคุณจะทำอะไรก็ตาม อย่าทำแบบอัตโนมัติ ต้องทำด้วยความรู้ตัว คิดเสียก่อนว่าทำไปทำไม ไม่ทำได้ไหม เช่น คุณเกิดไม่พอใจคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของเพื่อน จะเดินไปพูดกันให้รู้เรื่อง คุณก็คิดเสียก่อนว่าจะพูดอะไร พูดแล้วจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง ถ้าไม่พูดก็ไม่เสียหายอะไร ก็อย่าพูดเลย เป็นต้น

ดิฉันเองชอบซื้อหนังสือ ทั้งที่หนังสือที่มีอยู่ก็ยังไม่ได้อ่านเท่าไรเลย ถ้าไปร้านหนังสือ บางทีก็ห้าม ตัวเองได้ แต่ส่วนใหญ่จะห้ามไม่ทัน ดิฉันก็เลยแก้ปัญหาด้วยการไม่ไปร้านหนังสือ เวลาที่อยากจะไป แต่จะไปเมื่อจำเป็นต้องไปซื้อหนังสือที่จะใช้จริงๆ แล้วก็ซื้อเฉพาะเล่มนั้นแล้วกลับเลย ไม่เดินดู หนังสืออื่นอีก

ถ้าคุณขัดใจตัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว คนอื่นขัดใจคุณ ก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้วล่ะค่ะ


ใช้อุจจาระทำปุ๋ยใส่ผัก แล้วนำผักมากินดิบๆ ไม่กลัวพยาธิหรือ คนส่วนใหญ่ยังรับไม่ได้จริงๆ แล้วการทำเกษตร จะหลีกเลี่ยงศีลข้อหนึ่งได้อย่างไรไม่ให้ขาด เพราะแค่ถางหญ้า พรวนดิน ก็เจอสัตว์เล็กๆ แล้ว เช่น ไส้เดือน ไหนจะหอย จะทาก และพวกมดอีก ไม่อยากทำร้ายแต่ก็มองไม่เห็น เพราะพวกเขาอยู่ในดินและหญ้ารกๆ หอยนี่กินผักเก่ง เจอประจำ
* สุดา อุเทน/ลำปาง
- ก่อนจะตอบ ขอบอกความรู้สึกหน่อยนะคะว่า ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเรียกสัตว์ว่า "เขา" ดิฉันว่าเรียกว่า "มัน" ตามที่เคยเรียกกันมา น่าจะทำให้แยกแยะได้ดีว่าพูดถึงคนหรือสัตว์ ได้ยินคนสมัยนี้เรียกสัตว์ว่า "เขา" เรียกคนธรรมดาที่ไม่ใช่เจ้าว่า "ท่าน" รู้สึกแปลกๆ ค่ะ

การที่ใช้อุจจาระใส่ผักก็ทำกันมาตั้ง-แต่ดึกดำบรรพ์นะคะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่เรารวมทั้ง ดิฉันด้วยรู้สึกรังเกียจและกลัวพยาธิก็เพราะอิทธิพลของการศึกษาสมัยใหม่ ที่ทำให้เรารักตัว กลัวตาย มากเกินไป แต่เวลาที่ดิฉันคิดรังเกียจขึ้นมา ดิฉันก็จะถามตัวเองว่าแล้วอาหารต่างๆ ที่ขนส่งมาจาก ที่ต่างๆ วางขายในตลาดนั้น ผ่านอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ ทั้งมือคนที่หยิบจับอะไรต่ออะไรมาสารพัด (รวมทั้งเงิน ที่ผ่านมากี่มือก็ไม่รู้ ใครเป็นโรคอะไรบ้างก็ไม่รู้) บางทีก็หล่นลงบนพื้น ที่คงเคยมีคน บ้วนน้ำลาย หรือทำอะไรน่ารังเกียจตรงนั้นมาแล้ว นี่พรรณนาแค่บางส่วนนะคะ คิดแล้วก็ต้องปลงวาง ปลอบใจตัวเองว่า ล้างสะอาดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก มือเราเองเวลาโดนสิ่งสกปรก ก็ยังล้างออกได้ ถ้าเรารังเกียจมือตัวเองล่ะก็ แย่เลย

สำหรับการเบียดเบียนสัตว์ในการทำกสิกรรมนั้น แก้ไขได้ด้วยการทำกสิกรรม ธรรมชาติ ซึ่งไม่ขุด-ไม่ไถ-ไม่พรวนดินค่ะ แล้วก็ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง



ผมมีเวลาว่างเฉพาะวันอาทิตย์และเป็นคนที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็น หากจะเพิ่มฐาน ของตัวเรา ควรจะทำอะไรและอย่างไรก่อนครับ
* อนันต์ สายสนิทเสรีกุล/กรุงเทพฯ
- มีให้เลือกค่ะ เพราะไม่ทราบว่าคุณทำอะไรได้บ้างแล้ว
๑. บำเพ็ญประโยชน์ในครอบครัว เช่น ทำความสะอาดบ้าน ปลูกต้นไม้ ซักผ้า รีดผ้า ทำกับข้าว ล้างจาน ฯลฯ
๒. ถ้ายังรับประทานอาหารเนื้อสัตว์อยู่ ก็ลดลง และเลิกขาดให้ได้ในที่สุด
๓. ถ้ายังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ประหยัดลง ไม่ใช้จ่ายซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น ช่วยประหยัดน้ำ-ไฟ น้ำมัน ถ้าปกติ ขับรถไป ทำงาน ก็ลองออกจากบ้านเช้าขึ้น นั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าดูบ้าง
๔. บำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม เช่น อ่านหนังสือบันทึกเทปสำหรับคนตาบอด ไปช่วยงานวัด ไปช่วยดูแล เด็กกำพร้า เด็กพิการ
๕. ขัดเกลาตนเอง เช่น งดอาหารที่ชอบ งดกินขนม ลดมื้ออาหาร เลิกอบายมุข ๖ คือ เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ดื่มน้ำเมา เที่ยวดูการละเล่น เกียจคร้าน และคบคนชั่วเป็นมิตร พยายามถือศีล ๕ หรือ ศีล ๘ เช่น ไม่ พูดปดหรือเจตนาให้เข้าใจผิด ไม่หยิบของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช้ดอกไม้ ของหอม เครื่องประดับตกแต่งและเครื่องสำอาง เป็นต้น


รู้ตัวเองดีว่ามีกิเลสมาก แค่โสดาบันยังทำไม่ได้เลย เพราะสู้กิเลสไม่ได้ ที่ติดมากคือเนื้อสัตว์ โกหก ก็พอมีบ้าง บุหรี่และขี้เกียจ ส่วนอย่างอื่นไม่ค่อยมีอะไรมาก เช่น เที่ยวกลางคืนไม่เที่ยว เหล้าก็ไม่ดื่ม ทีวี ก็ไม่ค่อยดู เพลงก็ไม่ค่อยฟัง เป็นต้น ทำอย่างไรจึงพอจะสู้กับกิเลสเหล่านี้ได้ เพราะมันมีฤทธิ์แรง มากเหลือเกิน
* ธงชัย ลักษมีมงคล/เชียงใหม่
- เรื่องเนื้อสัตว์ คุณค่อยๆ เลิกทีละอย่างก็แล้วกัน เลิกสิ่งที่ชอบน้อยที่สุด และคาดว่าทำได้ไม่ยากนัก ก่อน เช่น ถ้าคุณไม่ชอบทานเนื้อวัว คุณก็ตั้งตบะเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่ พอเลิกได้มั่นคงแล้ว ค่อยเลิกเนื้อสัตว์ชนิดต่อไป (โดยไม่เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ที่งดได้แล้วนะคะ) เช่น งดเนื้อสัตว์ปีก สัตว์น้ำ หรือสัตว์ทะเล แล้วแต่คุณจะกำหนดเอง ระยะแรกที่งดทีเดียวเลยไม่ได้ คุณอาจจะตั้งใจงด วันใดวันหนึ่งในสัปดาห์ก็ได้ งดอาทิตย์ละ ๑ วัน อาทิตย์ละสองวัน (วันอาทิตย์กับวันเกิด) งดวันเว้นวัน เป็นต้น

ส่วนการโกหก คุณคงยังไม่เห็นโทษ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนที่โกหกไม่ทำบาปไม่มี ทันทีที่คุณ รู้ตัวว่ากล่าวคำเท็จ คุณต้องหาวิธีลงโทษตัวเองค่ะ เช่น กินข้าวเปล่า ๑ มื้อ อดข้าว ๑ วัน งดขนม ๑ อาทิตย์ หรืออ่านพระไตรปิฎกทุกวัน วันละ ๑๐ หน้า เป็นเวลา ๑ สัปดาห์


๑. คนที่ติดเหล้า แต่เขาไม่อยากเลิก เราจะมีวิธีช่วยเขาได้อย่างไร
๒. อยากได้วิธีทำน้ำยาล้างจานของอโศก ไม่ทราบว่าจะช่วยบอกสูตรได้ไหม ทำเองได้ไหม วัสดุ จะหาซื้อได้ที่ไหน
๓. อยากสมัครเป็นสมาชิกดอกหญ้า จะต้องทำอย่างไร
๔. อโศกที่เชียงรายมีหรือไม่ อยากไปสัมผัสชีวิตที่นั่นดูบ้าง
* เกศกนก ท่าดีสม/เชียงราย
- ๑. ทำให้เขาอยากเลิกก่อนค่ะ ต้องรู้ว่าทำไมเขาถึงติดเหล้า แล้วก็แก้ไขสาเหตุตรงนั้น คงต้องอาศัย นักจิตวิทยา ถ้าคุณ อยากช่วยจริงๆ ลองไปคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา น่าจะได้รับคำแนะนำ ที่ดีกว่า
๒. และ ๔. ชุมชนดอยรายปลายฟ้า ตั้งอยู่ที่ ๒๕๙ หมู่ ๘ ต.ท่าลาย อ.เมือง จ.เชียงราย โทร ๐๕๓-๗๐๐๕๐๔ เขาคงจะทราบเรื่องน้ำยาล้างจาน พอคุ้นเคยกันดีแล้ว คุณค่อยฝากเขาซื้อวัสดุแล้วกัน นะคะ
๓. ส่งใบสมัครให้คุณแล้วค่ะ


ตอนนี้ทางหมู่บ้านและในเขตพื้นที่ ภาคเหนือ มีการตื่นตัวเกี่ยวกับการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยหมักชีวภาพ การทำอาหารเสริมไว้ให้สัตว์เลี้ยงในฤดูแล้งมาก ผมอยากทราบว่า ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน มีวีซีดี จำหน่ายจ่ายแจก ให้สมาชิกอย่างไรบ้าง อยากรู้รายละเอียด จะได้นำมาตั้งกลุ่มปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง ของกลุ่มต่อไป
* เนรมิต ต๊ะขัด/ลำปาง
- ขอแนะนำให้คุณไปเยี่ยมชุมชนดอยรายปลายฟ้า จังหวัดเชียงราย ตามที่อยู่ข้างบน และชุมชน ภูผาฟ้าน้ำ หมู่บ้านแม่เลา ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๕๐ อยากทราบข้อมูลอะไร ก็ถาม และดูงานได้ ส่วนวีซีดีนั้น มี ๖ เรื่อง คือ เคล็ดลับกสิกรรมธรรมชาติ (ครูอุดม ศรีเชียงสา) สาธิต การทำน้ำหมักชีวภาพ (ป้าเกลี้ยง) บัญญัติ ๕ ประการฯ กสิกรรมไร้สารพิษ (คุณสมพงษ์ คงจันทร์)

ทำนาไร้สารพิษ นาไร้สารพิษ ๑๐๐ ถัง / ๑ ไร่ และสงครามเมล็ดพันธุ์ เรื่องละ ๖๐ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐ ซ.เทียมพร ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐ โทร. ๐ - ๒๓๗๕ - ๔๕๐๖


อยากทราบวิธีทำน้ำหมักชีวภาพแบบ ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์เยอะ
* สมเกียรติ นันตะสุข/สกลนคร
- วิธีทำน้ำหมักชีวภาพก็เคยบอกแล้ว ขอบอกซ้ำอีกทีแล้วกันนะคะ ขั้นแรกคุณก็หั่นเศษผักผลไม้ และ เปลือกผลไม้ แล้วตวงใส่ภาชนะที่จะใช้หมัก หลังจากนั้นตวงน้ำตาลอ้อยหรือน้ำตาลทรายแดง จำนวนเท่ากัน (๑:๑) คลุกให้เข้ากัน ปิดฝา หมักไว้ประมาณ ๓ เดือน กรองเอาเศษผักผลไม้ ที่เหลือ ไปคลุกดิน จะช่วยทำให้ดินมีชีวิตขึ้นได้ ส่วนน้ำหมักเข้มข้นที่ได้ เวลาเอาไปใช้ ให้ผสมน้ำ ๑:๑๐ ใช้ล้าง ภาชนะ ซักผ้า ดับกลิ่นในห้องน้ำ แต่ถ้าจะใช้รดต้นไม้ ต้องผสมน้ำสัก ๑:๑๐๐ เพราะถ้า เข้มข้นเกินไป ต้นไม้อาจตายได้


ถ้าอยากให้เนื้อเรื่องหรือสาระความรู้ของเราไปลงในหนังสือจะได้หรือไม่
* วนิดา จินตยาวุฒิ/นครราชสีมา
- ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นกุศล ให้ฟรี และยินดีให้แก้ไขสำนวนภาษา ก็ยินดีค่ะ


ตั้งแต่ทานอาหารมังสวิรัติ รู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นเยอะจริงๆ ดูเหมือนว่าสุขภาพกายจะดีขึ้นด้วย ลูกหลานก็เป็นห่วง เห็นแม่ทานมังสวิรัติอย่างตั้งใจจริงๆ เขาก็ ไม่กล้าขัดใจ เขาพยายามหาซื้อ ของกิน ที่ไม่ทำจากเนื้อสัตว์มาให้ ดิฉันก็พยายามเรียนรู้วิธีทำอาหารมังสวิรัติ จนมีหลายอย่างแล้ว ที่ลูกหลาน ทานได้ และบอกว่าอร่อยด้วย แทบไม่อยากเชื่อว่า มันจะอร่อยจริงๆ แต่รับรองได้ค่ะ ว่าไม่ได้เขียนอะไร เกินความจริงเลย
* จินดา สมชาติ/เชียงราย
- ภูมิใจด้วยค่ะ

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๗ ม.ค. - ก.พ. ๒๕๔๘ -