- ทีม สมอ. -


ครูเพียร แห่ง 'สวนเกษตร'

สวนเกษตร เป็นสวนอาหารมังสวิรัติ อยู่บนถนนนวลจันทร์ ตรงข้ามวัดนวลจันทร์ หลังโรงเรียนอนุบาลสายสุดา สัมผัสแรกที่เข้าไปภายในร้าน นอกจากสีเขียว ของแมกไม้ที่ร่มรื่นรอบบริเวณแล้ว เราจะได้พบกับบริการที่เป็นกันเอง เหมือนได้มานั่งกินข้าวในบ้านคนคุ้นเคย

'สวนเกษตร' คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีกลุ่มคนจากมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งพร้อมจะเหน็ดเหนื่อยเพื่อเผยแพร่อาหารมังสวิรัติอันประกอบด้วยผักไร้สารพิษ เพื่อสุขภาพของผู้บริโภค ในยุคที่อาหารเต็มไปด้วยสารพิษ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างมากมาย

'ครูเพียร' (เพียรเพ็ญธรรม) ชื่อเดิม มาลินี ถนอมสวย สตรีใบหน้าอิ่มบุญ ท่าทีเป็นมิตร อายุ ๔๗ ปี เป็นสมาชิก คนหนึ่งในมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อนที่เราจะมาทำความรู้จักวันนี้

'ครูเพียร' เป็นคนอยุธยา คุณพ่อรับราชการรถไฟ คุณแม่ค้าขาย เติบโตมาอย่างอบอุ่นท่ามกลางพี่น้อง ลุงป้าน้าอา และย่าซึ่งมีธรรมะ สอนลูกหลานดี พาครูเพียรเข้าวัดทุกวันพระและวันสำคัญทางศาสนา ในวัยเด็ก ชอบดูภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ สนใจถือศีล ๕ เวลาพระสอนศีลข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ ก็นึกสงสัยว่า แล้วทำไม พระยังฉันเนื้อสัตว์ ซึ่งต้องฆ่ามันมากิน ฆ่ากันเยอะแยะ ทำไมไม่เห็นมีใครห้าม ก็ทำผิดกันหมด เลยน่ะซี

ต่อมาพบว่ามีเทศกาลเจ เขาไม่กินเนื้อสัตว์กัน ๑๐ วัน ก็ทำตามโดยอัตโนมัติ รู้สึกพอใจ ยินดีที่ได้ทำบุญ แต่เอ๊ะ ทำไมกินแค่ ๑๐ วัน ไม่กินตลอดไปเลยล่ะ

พบอาจารย์ชิงไห่ สะดุดใจคำสอน 'ชาติเดียวหลุดพ้น' ก็คิดว่าดีจะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะจำคำสอนพระพุทธเจ้าได้ว่า ความสุขที่สุดคือไปนิพพาน อยากรู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร จะหาพบได้อย่างไร และที่สำคัญ อ.ชิงไห่ให้ตั้งสัจจะ งดเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต พอจะทำจริงๆ ชักกลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่ในที่สุดหลังจากศึกษาอยู่พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจงดเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต และถือศีล ๕

สมัยนั้นใครกินมังสวิรัติ ต้องรู้จักร้านชมรมมังสวิรัติของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่จตุจักร เพราะที่นั่น มีอาหารหลากหลายชนิด ราคาถูก และยังมีคนขายพูดคุยแนะนำให้ความรู้เรื่องธรรมะ ไปกินบ่อยๆ ก็สนิทสนมกัน ช่วยล้างจานทำโน่นทำนี่ ตอนนั้นยังสอนหนังสือ ไปช่วยได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และช่วงปิดเทอม รู้เพียงว่ากลุ่มนี้เป็นพวกถือศีลปฏิบัติธรรม และกินมังสวิรัติ

ปกติเป็นคนชอบฟังเพลง บางคืนก่อนนอนก็เปิดวิทยุฟังไปจนหลับ จนตี ๔ เจอรายการท่านจันทร์เทศน์ วันนั้นท่านจันทร์สากัจฉากับพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เรื่องศาลพระภูมิ คนทรง ว่าเป็นความเชื่อที่ผิดๆ และผิดกันมานาน ซึ่งชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีแต่กรรมดี-กรรมชั่วในตน เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา และเหตุผลต่างๆ อีกที่ฟังแล้วใช่เลยๆ เห็นด้วยในสิ่งที่พูดทั้งหมด

พอจบรายการตอนตี ๕ ก็โทรหาท่านจันทร์ นิมนต์ท่านมารื้อถอนศาลพระภูมิ ถามท่านว่าได้ไหม ท่านตอบตกลง หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ท่านมาที่บ้าน ตอนนั้นท่านห่มผ้าขาว (ช่วงที่สมณะสันติอโศก มีคดีความอยู่) ก็ไม่ได้สนใจรูปแบบของท่าน ขอให้เป็นพุทธแล้วกัน ตอนนิมนต์ท่านฉันอาหาร กราบเรียน ท่านว่า บ้านนี้ไม่มีอาหารเนื้อสัตว์ถวาย จะฉันได้ไหม ท่านบอกว่าทำไมจะไม่ได้ อาตมาฉันอาหารมังสวิรัติ มาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว เลยรู้ว่าท่านเป็นพวกเดียวกับคนที่จตุจักร ท่านเป็นพระสันติอโศก ก็ตื่นเต้น ตอนท่านจะกลับ ถวายปัจจัย (เงิน) เหมือนที่เคยถวายพระอื่นๆ ท่านไม่รับ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล ในการไม่รับ ทำให้เราคลายสงสัย เพิ่มความศรัทธาและเกรงใจท่านมากขึ้น จึงปวารณาว่า ถ้าท่านมีอะไร ให้โยมช่วย ก็ขอให้บอก ถ้าช่วยได้จะทำทันที ท่านก็บอกว่า ถ้ามีเวลาว่าง ก็ไปช่วยงานมูลนิธิ เพื่อนช่วยเพื่อน ที่สันติโศกก็ได้ เพราะเป็นงานที่ยังขาดแคลนคนทำอยู่มาก

จุดเริ่มต้นตรงนี้ นำชีวิตครูเพียรเดินเข้าสู่เส้นทางศาสนา ละทิ้งตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนอนุบาล เอกชน เงินเดือน หมื่นกว่าบาท (ถ้าสอนพิเศษด้วยก็ตกเดือนละเกือบ ๒ หมื่น) และครอบครัวสามีเป็นคนดี ไม่เคยบังคับ ตามใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินมังสวิรัติ หรือไปวัด บางทีก็ตั้งสมญาให้เป็น ลูกเจ้าแม่กวนอิม โชคดี ที่ไม่มีลูกให้ต้องเป็นห่วง ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับวัด และเริ่มห่างบ้านมากขึ้นๆ เมื่อเลือกช่วยงาน สอนเด็กที่ ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก โดยไม่มีเงินเดือน

อยู่ที่นี่มีความรู้สึกว่า อยู่กับคนมีศีล อบอุ่นดี ปลอดภัย เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่นานๆ เข้าหลายปี จิตใจ เอนเอียงมาทางสงบ รักสันติสุข เลือกอยู่ทางนี้ดีกว่า เพราะรู้ว่าคงไม่สามารถดึงใคร ออกมาสู่ เส้นทางเดียวกับเราได้ เพราะทางนี้เป็นเส้นทางวิบาก มีการขจัดกิเลสตัวน้อยใหญ่ ให้เบาบาง จางคลาย ลงเสมอๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเอาเสียเลย เพราะฉะนั้น ต้องเอา ตัวเองให้รอดก่อน

ปัจจุบันครูเพียรช่วยงานด้านร้านอาหารและยังมีพืชผักไร้สารพิษซึ่งปลูก ในบริเวณสวนเกษตร บนเนื้อที่ ๑๕ ไร่ นอกจากนำมาประกอบอาหารแล้ว เมื่อมีมากพอก็นำมาจำหน่ายด้วย เช่น ช่วงที่ผ่านมา มีแตงกวา กวางตุ้ง ผักบุ้ง คะน้า หัวไชเท้า ขายทุกวัน ราคากิโลกรัมละ ๒๐ บาทตลอด ไม่ว่าราคาผักที่อื่น จะขึ้นลง อย่างไร ก็ไม่สนใจ เพราะจุดหมายคือ ให้ลูกค้าได้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ได้บุญ ซึ่งนี่คือความภูมิใจ ที่ลบล้าง ความเหนื่อยยาก ทั้งมวล

สวนเกษตรเกิดจากความริเริ่มของท่านจันทร์ พื้นที่เดิมเป็นของโรงเรียนอนุบาลสายสุดา ซึ่งอนุญาต ให้เขตบึงกุ่ม ใช้ทำประโยชน์ให้แก่ชุมชนในพื้นที่ โดยรับคนในชุมชนและบุคคลทั่วไป มาอบรม เรื่องต่างๆ เพื่อส่งเสริม อาชีพ ท่านจันทร์พูดคุยกับคุณรัชนี เจ้าหน้าที่เขต จนได้เปิดร้านอาหารนี้ขึ้น เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้ชุมชน เรามีการอบรมทำจุลินทรีย์ เอาสิ่งที่ปฏิบัติจริงมาสอน ลงสวนกันจริง ดูปุ๋ยจุลินทรีย์ที่เราทำ เปิดอบรมเป็น ครั้งคราว ทางเขตจะประกาศให้ชาวบ้านรู้ อีกทางคือท่านจันทร์ ประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ ซึ่งมีประชาชน ให้ความสนใจดี

ที่นี่เน้นให้ลูกค้าบริการตัวเอง ตั้งแต่ ตักเอง ใครใคร่ตักอาหารชนิดใดก็ตักตามชอบใจ กี่อย่างก็ได้ เดินตัก กี่เที่ยวก็ได้ แต่ขอให้ประมาณให้พอเหมาะ กินให้หมด จากนั้นก็เก็บล้างเอง คำนวณค่าอาหารเอง จ่ายเงินเองเสร็จ

ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นความคิดของท่านจันทร์อีกนั่นแหละ เพื่อฝึกให้ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ประเมินตัวเอง บางคนสงสัย ถ้ามีผู้กิน แล้วไม่ยอมจ่ายล่ะ "ก็ไม่เป็นไร คิดว่าคงไม่น่าจะมีหรอก แต่จ่ายน้อยจ่ายมากก็แล้วแต่เขา"

ถามว่า วิธีการบริหารแบบที่สวนเกษตรทำ จะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ สำหรับความคิดของ ครูเพียร รอดแน่ เพราะมีความเชื่อว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนใจบุญมีเยอะ เขาใจบุญ เขาไม่กินฟรีกันหรอก แต่ถ้าจะกินฟรีจริงๆ เราก็ให้กิน ถือว่าทำบุญ

ส่วนบรรดาอาสาสมัครมีทั้งคนหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่หลายชีวิตหมุนเวียนกันเข้ามาเป็นครั้งคราว มาเป็น แรงงานฟรี บางคนช่วงเย็นมาช่วยปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว ๒-๓ ชั่วโมงกลับก็มี บางคนมาช่วย ด้านเกษตร ด้านนั้นด้านนี้ ส่วนหนึ่งเป็นแฟนรายการท่านจันทร์ เรามีแม่ครัวหลักๆ ประจำอยู่ ๓ คน ผู้ช่วยอีก ๓ คน อุปสรรคก็มีอยู่ เมื่อมีลูกค้ามามากขึ้น แถมเดี๋ยวนี้มีบริการรับทำอาหารส่งนอกสถานที่ ทำให้แรงงาน ไม่พอ พวกเราก็เหนื่อยกันมากขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ใครมีเวลาพอจะ เสียสละเพื่อทำสิ่งดีๆ ให้เกิดในสังคม ก็เชิญแวะไปร่วมบุญได้ ทุกเวลาค่ะ

สวนเกษตร โทร.๐๒-๙๔๔-๕๒๗๕

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๙ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๘ -